ความจริงพิสูจน์แล้วว่า ร่างกายและความสามารถในการแบกรับของเด็กยุคนี้แข็งแกร่งทรหดมาก ต่อให้ลั่วล่างโกรธอีกแค่ไหน เขาก็ยังยืนหยัดอย่างมังกรคะนองพยัคฆ์ผาดโผน[1] เพียงแต่สีหน้าของเขาดูไม่มั่นคง มองออกว่าเขาโกรธไม่น้อยเลยจริงๆ
เมื่อหลิงหลานเห็นท่าทีแบบนี้ของลั่วล่าง เธอก็อดสงสารไม่ได้ เมื่อเธอเอาชีวิตสองชาติมาบวกกันก็มีอายุสามสิบกว่าปีแล้ว สามารถมองว่าอยู่ในระดับเดียวกับคุณน้าประหลาดได้เลย แล้วเธอจะรังแกเด็กแบบนี้ได้อย่างไร
หลิงหลานที่รู้สึกกระดากใจเล็กน้อยก็เอ่ยกับลั่วล่างด้วยรอยยิ้มว่า “ล้อเล่นน่า นายก็อย่าโกรธเลยนะ”
รอยยิ้มของหลิงหลานทำให้ลั่วล่างอึ้งไป ท่าทียอมแพ้กะทันหันของเธอก็ทำให้เขาเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทันเช่นกัน ดังนั้นท่าทางเซ่อซ่าที่นิ่งอึ้งของเขาก็ทำให้พวกเพื่อนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาอีกครั้ง ช่วยไม่ได้นะ ท่าทางแบบนี้มันดูโง่งมน่ารักมากจริงๆ ขนาดน้องสาวของลั่วล่างก็ยังลอบยิ้มขึ้นมาที่มุมปากเมื่อเห็นพี่ชายทำท่ามึนงงได้อย่างน่ารัก อย่างไรก็ตามเธอก้มหน้าด้วยความเขินอายอย่างรวดเร็ว และรู้สึกเสียใจกับพฤติกรรมของตัวเองอยู่บ้าง เธอหัวเราะแบบนี้ใส่พี่ชายที่รักเอ็นดูเธอมาตลอดได้อย่างไรกัน…
เป็นเพราะรอยยิ้มมั่วซั่วของตัวเองทำให้หลิงหลานรู้สึกปวดหัวไม่หยุดไม่หย่อน ปัญหาเยอะมาก ที่แท้เมื่อสักครู่นี้เธอเผยรอยยิ้มล่อลวงวิญญาณออกมาโดยไม่ระมัดระวัง ทำให้เสี่ยวซื่อคลุ้มคลั่งไปแล้ว เวลานี้เธอกังวลว่าจะปลอบเสี่ยวซื่อที่ดูเหมือนถังระเบิดมากขึ้นเรื่อยๆ ให้สงบลงอย่างไรดี
ในขณะที่หลิงหลานกำลังปลอบเสี่ยวซื่อที่บ้าคลั่งอยู่นั้น ลั่วล่างก็ได้สติขึ้นมาในชั่วพริบตาเนื่องจากเสียงหัวเราะของพวกเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆ และพบว่าตัวเองขายหน้าอีกแล้ว ดังนั้นใบหน้าขาวผ่องของเขาก็ขึ้นสีแดงเลือดฝาดออกมาสองดวงก่อนจะลามไปถึงหู
หลังจากนั้น ตัวเขาที่ขุ่นเคืองจากความอับอายก็กระโจนเข้าใส่หลิงหลานด้วยความเดือดดาล…เอ่อ ฉีหลงที่อยู่ด้านข้างกดเขาไว้จนล้ม แล้วทั้งสองคนก็ต่อสู้กันอย่างรวดเร็วเช่นนี้เอง
ฉีหลงกับลั่วล่างต่อสู้พัวพันกันเป็นกลุ่มก้อน ในฐานะหานจี้จวินเป็นเพื่อนสนิทของฉีหลง เขาก็ไม่ได้ห้ามปราม หากแต่ดึงหลิงหลานกับหานซู่หย่ามาหลบที่ด้านข้างและเฝ้าดูอย่างเอื่อยเฉื่อย ส่วนน้องสาวของลั่วล่างก็ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ เธอหลบอยู่ด้านข้างและมองพี่ชายตัวเองด้วยแววตากังวลเท่านั้น
กว่าหลิงหลานจะปลอบเสี่ยวซื่อลงได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จากนั้นเธอก็พบว่าไม่มีคนเข้าไปไกล่เกลี่ยให้เลิกทะเลาะกันเลย นี่ทำให้หลิงหลานรู้สึกประหลาดใจมาก ควรทราบว่าในยุคของเธอ เวลาที่เด็กทะเลาะกันทุกครั้งจะต้องถูกคนจับแยกและห้ามปรามทันที ทว่าที่นี่ เจ้าหน้าที่บนสนามกีฬาก็อยู่ไม่ไกล มองเห็นสถานการณ์ทางด้านนี้ได้ชัดเจน แต่พวกเขากลับทำเหมือนกับมองไม่เห็น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลิงหลานรู้สึกกว่าสามมุมมองของตัวเองกำลังถูกโลกใบนี้ท้าทาย
หลิงหลานไม่ใช่คนที่สามารถอดทนได้ เธอเอ่ยถามข้อสงสัยในใจออกมา ดึงดูดสายตาสำรวจของหานจี้จวินอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพบว่าหลิงหลานไม่เข้าใจจริงๆ ก็รู้สึกงงงวยอยู่บ้าง เนื่องจากความรู้ทั่วไปแบบนี้เป็นเรื่องที่บิดาควรจะสั่งสอน หรือว่าบิดาของหลิงหลานไม่เคยบอกเลย?
ถึงแม้ว่าหานจี้จวินจะไม่เข้าใจ แต่เขายังอธิบายให้หลิงหลานฟังว่า “นี่เป็นธรรมเนียมที่อบรมสั่งสอนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่มีความคิดขัดแย้งกับใครและต้องการจะสะสาง ก็อนุญาตให้ต่อสู้กัน แต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พอเรื่องจบแล้วก็จะต้องยิ้มและปล่อยความแค้นไป”
เป็นการสั่งสอนที่ประหลาดจริงๆ ไม่กลัวว่าจะเลี้ยงออกมาเป็นคนป่าเถื่อนหรือไง หลิงหลานรู้สึกอีกแล้วว่าการอบรมทางด้านความคิดที่เธอได้รับในชาติก่อนขัดกับความคิดผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ของที่นี่อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะเป็นสามัญชน ชนชั้นสูง หรือว่าตระกูลเก่าแก่ เป้าหมายแรกของเด็กที่นี่ก็คือทหาร เป้าหมายที่สองยังคงเป็นทหาร เป้าหมายที่สามก็ยังคงเป็นทหาร…เพราะว่าทหารถึงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด โดยเฉพาะเมื่อกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบ มีเพียงพวกคนที่คุณสมบัติร่างกายไม่เหมาะสม ไม่สามารถกลายเป็นทหารได้เท่านั้นถึงจะจำใจเลือกอาชีพอื่น
และการอบรมสั่งสอนที่หลิงหลานได้รับมาตั้งแต่เด็กๆ ก็คือทำอย่างไรถึงจะกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่แข็งแกร่งที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอร่ำเรียนมาก็ทำเพื่อเป้าหมายนี้ และมารดาของเธอกับพ่อบ้านหลิงฉินก็ไม่เคยคิดจะถามเธอเลยว่าชอบหรือไม่ชอบกันแน่
อันที่จริงเธอก็เฉยชาต่อการควบคุมหุ่นรบมากจริงๆ นั่นแหละ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงนะ เธอย่อมไม่สนใจเรื่องการต่อสู้อะไรมากมาย เพียงแต่เธอไม่คิดว่าจะมาถึงโลกที่ทุกคนกลายเป็นทหารแห่งนี้ และยิ่งไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีอุปกรณ์การเรียนรู้ของราชาหุ่นรบติดสอยห้อยตามมาด้วย…
หลิงหลานอดลูบคางใคร่ครวญไม่ได้ หรือว่านี่ก็คือเจตจำนงของสวรรค์? ทุกสิ่งทุกอย่างต่างบอกกับเธอว่า เธอต้องเดินไปยังเส้นทางของผู้ควบคุมหุ่นรบสายนี้
ฉีหลงกับลั่วล่างต่อสู้กันจนยากจะแยกออก ว่าตามความจริงแล้ว พลังรบของฉีหลงสูงกว่าหนึ่งระดับ อย่างไรก็ตาม ลั่วล่างมีความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ แต่เขาก็ยังยืนหยัดต่อไปได้
ความจริงหลิงหลานอยากรู้ผลการต่อสู้สุดท้ายของพวกเขา แต่เมื่อเธอเห็นเจ้าหน้าที่เรียกหมายเลขกลุ่มเข้าสอบที่เข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้ว่าไม่มีโอกาสแล้ว เธอเอ่ยเตือนด้วยความเสียใจอย่างยิ่งว่า “ดูเหมือนจะถึงตาพวกเราเข้าสอบแล้วนะ พวกนายต่อสู้แบบนี้ต่อไปจะไม่เป็นไรเหรอ”
ทันใดนั้นเด็กสองคนที่อยู่บนพื้นก็ตัวแข็งทื่อพร้อมกัน ปฏิกิริยาตอบสนองของลั่วล่างเร็วกว่าฉีหลง เขาผลักฉีหลงออกอย่างแรงและลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มจัดเสื้อผ้าของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอีกแค่ไหนก็กลับไปมีความรู้สึกเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ในตอนเริ่มต้นไม่ได้แล้ว ทว่าการอบรมสั่งสอนมารยาทอันดีงามไม่อนุญาตให้เขาเผชิญหน้ากับผู้คุมสอบในสภาพที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยแบบนี้ได้
ฉีหลงไม่ทันได้เตรียมตัวก็ถูกลั่วล่างผลักจนกลิ้งออกไปสองตลบ เขาคลานขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพูดด้วยความดื้อดึงว่า “รอสอบเสร็จก่อน พวกเราค่อยมาสู้กันต่อ” เขาไม่ยี่หระต่อสภาพย่ำแย่ของตัวเองจนเคยชินไปแล้ว เขาแค่ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อสองครั้งแล้วก็เสร็จ
ลั่วล่างไม่มีทางกลัวหัวหดแน่นอน ดังนั้นทั้งสองคนก็ตกลงกันว่ารอให้การสอบสิ้นสุดลงก่อนค่อยมาตัดสินว่าใครเหนือกว่า
ช่างเป็นเด็กน้อยสองคนที่กระตือรือร้นมุ่งมั่นในการต่อสู้ หลิงหลานพบว่าเธอแก่แล้วจริงๆ เธอไม่ชอบเรื่องการประลองที่ไม่สามารถอธิบายได้ของพวกเขาเอามากๆ ตอนนี้หลิงหลานลืมไปนานแล้วว่า ตัวการที่ทำให้ฉีหลงกับลั่วล่างต่อสู้กันก็คือตัวเธอเอง
ความเร็วในการสอบของผู้สมัครสอบรวดเร็วมาก ฉีหลงกับลั่วล่างเพิ่งจะหยุดพักได้ครู่เดียวเท่านั้น ยังไม่ทันได้ฟื้นฟูกำลังทั้งหมด เจ้าหน้าที่ฝั่งนั้นก็ตะโกนเรียกกลุ่มของหลิงหลาน กลุ่มของหลิงหลานสิบคนไม่กล้าชักช้า รีบวิ่งเข้าไปทันที
พวกเขาทั้งสิบคนต่างยืนอยู่บนลู่วิ่งและทำการเตรียมพร้อมครั้งสุดท้าย ผู้คุมสอบนายหนึ่งเดินเข้ามาบอกรายละเอียดการสอบในครั้งนี้ นั่นก็คือต้องการให้พวกเขาเริ่มวิ่งจากจุดสตาร์ทไปยังเส้นชัยได้อย่างปลอดภัยก็จะถือว่าสอบเสร็จลุล่วง ส่วนคะแนนก็จะมอบให้ตามเวลาที่ผู้เข้าสอบใช้ไป
ในตอนที่หลิงหลานทำการเตรียมตัว เธอก็ไม่ลืมสังเกตกลุ่มผู้สมัครสอบที่เรียงแถวอยู่ด้านหน้าพวกเขา นี่เป็นนิสัยเสียที่ได้รับมาจากหมายเลขหนึ่ง ทุกครั้งที่หมายเลขหนึ่งออกมา การกระทำท่าทางของเขาต่างก็มีสิทธิที่จะเป็นการทดสอบได้ ทำให้หลิงหลานจำเป็นต้องตื่นตัว ไม่กล้าปล่อยปละการเคลื่อนไหวและคำพูดที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการบอกใบ้สักอย่างเลย การระมัดระวังรอบคอบนี้กลายเป็นสัญชาตญาณของเธอไปแล้ว
หลิงหลานเห็นผู้สมัครสอบกลุ่มนั้นวิ่งออกจากจุดสตาร์ทท่ามกลางคำสั่งของผู้คุมสอบอย่างรวดเร็ว แล้วไม่นานเงาคนก็หายไป….
“นายสังเกตเห็นแล้ว?” หานจี้จวินเขยิบศีรษะเข้ามาและกล่าวเสียงเบา เขาเองก็สังเกตเห็นปัญหาแล้ว
“อื้อ เห็นได้ชัดว่าอากาศแจ่มใส แต่ลู่วิ่งกลับมีหมอกหนา…” หลิงหลานมองจุดผิดแปลกออก และก็รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมผู้เข้าสอบพวกนั้นวิ่งออกไปไม่ไกล ร่างของพวกเขาก็หายไป
“ดูท่าที่นี่จะใช้เทคโนโลยีจำลองสภาพแวดล้อม ฉันรู้สึกว่าการสอบครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น” หานจี้จวินย่อมเป็นเด็กฉลาด บางทีเด็กคนอื่นอาจจะยังไม่เข้าใจเทคโนโลยีระดับสูงมากนัก (ยกตัวอย่างเช่น หลิงหลาน) แต่เขากลับรู้เรื่องดีมาก
การเตือนของหานจี้จวินทำให้หลิงหลานลอบระมัดระวังตัวขึ้นมา
ไม่นานผู้คุมสอบบนลู่วิ่งก็ส่งสัญญาณให้กลุ่มของหลิงหลานเข้าไป เมื่อเห็นพวกเขาเตรียมพร้อมเสร็จแล้วก็ค่อยออกคำสั่งให้เริ่มวิ่ง
ฉีหลงนำหน้า ส่วนลั่วล่างก็ตามหลังไปติดๆ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนตั้งใจจะแข่งขันกัน
หลิงหลานวิ่งนำเป็นคนที่สาม คนที่ตามหลังหลิงหลานคือหานจี้จวิน เด็กที่ชอบใช้สมองคนนี้กับหลิงหลานคิดเหมือนกันว่าตั้งใจจะตามหลังฉีหลงเพื่อสังเกตการณ์สักระยะก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ส่วนเด็กคนอื่นๆ ก็ทยอยกันตามหลังหานจี้จวิน
…………………………………………..
[1] มังกรคะนอง พยัคฆ์ผาดโผน หมายถึง มีชีวิตชีวา