หลินจงชิงยืนอยู่คนเดียวในมุมแห่งหนึ่ง ก้มหน้าเปิดอ่านข้อมูลรอบแข่งและสถานที่แข่งขันของตัวเองในอุปกรณ์สื่อสารของเขา เขาได้ยินเสียงพูดของพวกเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบๆ บริเวณเอ่ยปลอบใจเพื่อนที่อยู่อันดับที่สามสิบสี่ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาเงียบๆ มองไปยังพวกฉีหลงที่ตอนนี้กำลังพูดคุยกับหลิงหลาน แววตาของเขาเผยความซับซ้อนยากจะเข้าใจ
หลินจงชิงย่อมรู้ว่าหลิงหลานแข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่สามารถทำให้ฉีหลงกับลั่วล่างที่แข็งแกร่งพอที่จะเทียบกับสามอันดับแรกของห้องเอยอมเชื่อฟังอยู่ใต้อำนาจเขา ยังมีหานจี้จวินที่ชาญฉลาดไม่เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไปยอมรับเขาเป็นลูกพี่อีกด้วย (จากคำพูดและการกระทำของพวกเขาก็ทำให้รู้เรื่องนี้ได้) แต่เขาไม่นึกเลยว่าหลิงหลานจะเก่งกาจขนาดนี้ เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้เลื่อนอันดับขึ้นมาด้วยกระบวนท่าเดียว นี่มันน่ากลัวไปหน่อยแล้ว
ควรทราบว่า ขนาดหลี่อิงเจี๋ยที่เห็นว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะระดับสุดยอดสอบเข้าสถาบันมาอย่างยอดเยี่ยมก็ไม่สามารถทำผลการต่อสู้นี้ได้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะดูเย็นชาเหินห่างอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเรื่องที่เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ช่วยเหลือเขาเมื่อครั้งก่อน…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของหลินจงชิงก็ปรากฏรอยยิ้มฝืดเฝื่อนขึ้นมาอย่างช้าๆ ความรู้สึกเสียใจภายหลังค่อยๆ ลอยขึ้นมาในหัวใจ
บางครั้งทำพลาดก็คือทำพลาด ถ้าหากตอนนั้นเขาไม่คิดจะใช้ประโยชน์หลิงหลาน แต่รับใช้อีกฝ่ายด้วยความจริงใจละก็ บางทีเขายังมีโอกาสได้รับมิตรภาพจากหลิงหลาน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว ไม่มีใครยอมคบหากับคนที่เคยใช้ประโยชน์กับตัวเองมาก่อน
แววตาของหลินจงชิงส่องประกายขึ้นมาฉับพลัน เขาตัดความหวังลมๆ แล้งๆ ในใจออกไป ประสบการณ์ในวัยเด็กทำให้เขาไม่สามารถลดการป้องกันไว้ใจใครได้…ดังนั้นชาตินี้เขาถูกลิขิตได้แต่อยู่ตัวคนเดียว มิตรภาพความจริงใจอะไรนั่นก็เป็นแค่ เมฆเลื่อนลอย
ในขณะที่หลินจงชิงอดทนรอให้การต่อสู้เริ่มต้นนั้น เขาก็พบว่ามีคนที่เขาเกลียดชังมากปรากฎขึ้นที่ข้างกายเขาสองคน นั่นก็คือหลี่อิงเจี๋ยกับสุนัขรับใช้ของเขา คนที่อยู่อันดับสามจากทางท้ายของห้องเอ
หลินจงชิงดูแคลนเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่อันดับล่างสุด ไม่เป็นที่น่าสนใจในห้องเอ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทิ้งเกียรติยศของตัวเองไปเป็นข้ารับใช้คนอื่น ให้อีกฝ่ายด่าทอสั่งให้ทำเรื่องต่างๆ เพียงเพราะผลประโยชน์บางอย่างได้ แน่นอนว่าถ้าเป็นเหมือนพวกฉีหลงกับลั่วล่างที่ชื่นชมนับถือในความแข็งแกร่งกับเสน่ห์ของอีกฝ่าย เต็มใจยอมรับให้เป็นลูกพี่ เขาก็ไม่มีทางดูถูกแน่นอน ถึงขนาดที่ยังรู้สึกเลื่อมใสด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่นอกจากความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าคนอื่นแล้ว หลี่อิงเจี๋ยก็ไม่มีเสน่ห์อะไรที่ทำให้คนนับถือเลยจริงๆ เขาไม่อาจเทียบกับหลิงหลานได้เลย ตอนนี้หลินจงชิงยังไม่ได้ตระหนักว่าในใจเขายอมรับหลิงหลานไปแล้ว บางทีลูกน้องของหลี่อิงเจี๋ยอาจจะสัมผัสได้ว่าหลินจงชิงเหยียดหยามเขา นักเรียนที่ได้อันดับสามจากข้างท้ายของห้องเอคนนั้นก็เริ่มเอ่ยปากเย้ยหยันว่า “โย่ว นี่ไม่ใช่หลินจงชิงที่อยู่อันดับท้ายสุดของพวกเราเหรอ? ไม่นึกเลยว่านายยังอยู่ในห้องเอ โชคดีจริงๆ เลยนะ” หลังจากที่นักเรียนอันดับรองสุดท้ายถูกนักเรียนอันดับสองของห้องบีโค่นล้มไป เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหนือกว่าจากในตัวหลินจงชิงตรงหน้าอยู่บ้าง
หลินจงชิงไม่สนใจการยั่วยุของอีกฝ่าย ถ้าหากเขายังอดทนกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ละก็ เขาจะอดทนต่อการถูกใช้เป็นหนูทดลองศึกษาวิจัยมาหกปีได้ยังไง? เขาเพียงแต่เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา หลังจากนั้นก็ก้มหน้าดูอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง ท่าทางที่ทำเป็นไม่รู้จักนี้ทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงขึ้นมาฉับพลัน
ท่าทีของหลินจงชิงทำให้เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่รอบๆ หัวเราะขึ้นมา ความสัมพันธ์ของหลินจงชิงกับเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ไม่เลวมากๆ นับว่าเป็นคนที่เข้าได้กับคนไปทั่ว เพียงแต่ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับพวกหลี่อิงเจี๋ยแล้ว ท่าทีของหลินจงชิงไม่ค่อยดีนัก
ไม่ว่าเขาจะมีความอดทนอีกสักแค่ไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายแตะเกล็ดย้อนของตัวเองก็ไม่สามารถอดทนต่อไป หลินจงชิงที่สูญเสียอิสระมาหกปี สิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดก็คืออิสรภาพของตัวเอง แต่หลี่อิงเจี๋ยกลับอยากจะใช้วิธีคุกคามบีบบังคับให้หลินจงชิงกลายเป็นลูกน้องของตน สั่งให้เขาไปทำเรื่องต่างๆ ซึ่งแตะเกล็ดย้อนของหลินจงชิงโดยสิ้นเชิง นี่ก็เลยเป็นสาเหตุหลักที่หลินจงชิงโกรธหลี่อิงเจี๋ย น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้หลี่อิงเจี๋ยยังไม่รู้ว่าทำผิดตรงไหน เขายังคงใช้วิธีการคุกคามบีบบังคับแบบนี้ และก็ทำให้หลินจงชิงเกลียดเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ท่าทีของหลินจงชิงยั่วโมโหลิ่วล้อของหลี่อิงเจี๋ยโดยสิ้นเชิง เขาเอ่ยเสียงดังอย่างอดทนไม่ไหวว่า “แกอย่าลำพองใจเกินไป อีกเดี๋ยว ลูกพี่หลี่จะต้องสั่งสอนแกแน่นอน” เขากล่าวถึงช่วงหลัง น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความยินดีในความโชคร้ายของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
หลินจงชิงได้ยินคำพูดนี้ก็เงยหน้าเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าแปลกพิกล แววตานั้นย่อมเป็นแววตาที่มองเห็นคนโง่ ทำให้อีกฝ่ายโกรธจนหัวหมุน เงื้อมมือขึ้นมาเตรียมตัวสั่งสอนหลินจงชิง
หลินจงชิงรอคอย ถ้าหากอีกฝ่ายโจมตีเขาก่อน เขาก็จะได้มีข้ออ้างสั่งสอนไอ้เด็กนี่
เมื่อเห็นว่ากำลังจะเกิดการต่อสู้ส่วนตัวขึ้น สายตาของทุกคนถูกดึงดูดเข้ามา หลี่อิงเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วน้อยๆ ตวาดโดยไม่มีความสุภาพเลยสักนิดว่า “หยวนลี่ ยังไม่ถอยอีก”
เสียงของหลี่อิงเจี๋ยทำให้หยวนลี่เก็บมือทันทีก่อนจะถอยหลับไปอยู่ข้างกายหลี่อิงเจี๋ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ตั้งแต่ที่รับปากเป็นผู้ติดตามของหลี่อิงเจี๋ย เขาก็ได้รับผลประโยชน์มาไม่น้อยเลยจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ยายีนระดับสูงที่เมื่อก่อนต้องวางแผนใช้อย่างละเอียดรอบคอบ แต่ตอนนี้สามารถดูดซับได้หนึ่งหลอดทุกๆ ไตรมาสของปี นี่ก็เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ความสามารถของเขาไม่ได้ตกลงมาตลอด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็สูญเสียไปมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เกียรติยศศักดิ์ศรี….
หลี่อิงเจี๋ยหยุดหยวนลี่ไว้แล้วค่อยมองไปที่หลินจงชิงและกล่าวด้วยสีหน้าหยิ่งยโสว่า “หลินจงชิง อย่ายั่วโมโหลูกน้องฉัน จงใจหาเรื่องทะเลาะกัน ไม่สู้พวกเราสองคนมาเดิมพันกันสักตาเป็นไง?”
หลินจงชิงหัวเราะหยัน ยั่วโมโหหยวนลี่? เขาว่างไม่มีเรื่องให้ทำหรือไง? เหลวไหลสิ้นดี!
หลี่อิงเจี๋ยเองก็ไม่สนใจว่าหลินจงชิงจะตกลงหรือไม่ตกลง เขากล่าวต่อว่า “รอบต่อไปก็น่าจะเป็นการต่อสู้ของฉันกับนาย ไม่สู้เรามาพนันกัน ถ้านายสามารถยืนหยัดอยู่ในเงื้อมมือฉันได้ห้าสิบกระบวนท่า ฉันก็ไม่สนใจความผิดในอดีต แต่ถ้านายแพ้ฉันภายในห้าสิบกระบวนท่า นายก็ต้องยอมรับฉันเป็นลูกพี่” สุดท้ายหลี่อิงเจี๋ยก็ยังไม่ทิ้งเรื่องกำราบหลินจงชิง
หลินจงชิงได้ยินคำพูดนี้ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เฮ้ หลี่อิงเจี๋ย สมองนายมีปัญหาหรือเปล่า?”
คำพูดที่ออกมานี้ทำให้ทั่วทั้งใบหน้าของหลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนเป็นดำทะมึนขึ้นมา ในสายตาของเขามองว่าเขาไว้หน้าหลินจงชิงมากพอแล้ว ไม่นึกเลยว่าเจตนาดีของเขาจะทำให้หลินจงชิงกล้าโอหังขนาดนี้ ไม่รู้ที่ตายมากเกินไปแล้วจริงๆ แววตาของหลี่อิงเจี๋ยฉายความดุดันออกมาแวบหนึ่ง เขาตัดสินใจแล้วว่ารอบต่อไป เขาจะทำลายหลินจงชิง ขับเขาออกไปจากห้องสเปเชียลเอ
อย่างไรก็ตาม คำตอบของหลินจงชิงได้ทำลายแผนการที่หลี่อิงเจี๋ยตั้งใจไว้ “นายควรจะแน่ใจก่อนนะว่า คู่ต่อสู้ของตัวเองคือใครกันแน่?”
ความรู้สึกแรกของหลี่อิงเจี๋ยคือเกิดเรื่องผิดพลาดแล้ว เขารีบค้นข้อมูลในอุปกรณ์สื่อสาร ก่อนจะเห็นข้อมูลนักเรียนอันดับที่ห้าสิบที่เขาต้องต่อสู้ด้วย คนที่อยู่อันดับที่ห้าสิบไม่ใช่หลินจงชิงหรือไง?
เขาอ่านต่อไปก็เห็นชื่อที่อยู่ด้านหลังอันดับที่ห้าสิบว่าไม่ใช่หลินจงชิงจริงๆ หากแต่เป็นชื่อที่เขาไม่คุ้น หรือพูดได้ว่าหมอนี่ไม่ใช่คนในห้องเอของพวกเขาแน่นอน
ความคิดของหลี่อิงเจี๋ยแล่นวาบขึ้นมา เขาเข้าใจทันที อันดับสองของห้องบีที่ล้มรองบ๊วยห้องเอของพวกเขาในรอบที่แล้วได้เข้ามาเป็นอันดับที่ห้าสิบ เนื่องจากเป็นการโค่นล้มเข้ามา ออปติคัลคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางของสถาบันเลยกำหนดให้เขาอยู่อันดับที่ห้าสิบ ส่วนหลินจงชิงก็เลื่อนขึ้นมาหนึ่งอันดับกลายเป็นอันดับที่สี่สิบเก้าโดยอัตโนมัติ พูดได้ว่า คู่ต่อสู้คนต่อไปของเขาไม่ใช่หลินจงชิง หากแต่เป็นคนที่ขึ้นมาจากห้องบี เขาทำพลาดไปเสียแล้ว
“น่าเสียดายจริงๆ เดิมทีฉันก็อยากจะพนันกับนายมากจริงๆ นะ” หลินจงชิงเขยิบเข้าไปใกล้หลี่อิงเจี๋ยช้าๆ เมื่อเฉียดผ่านตัวเขาไป จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าและทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า “ห้าสิบกระบวนท่า? แย่เกินไปแล้ว หลิงหลานใช้กระบวนท่าเดียวก็ล้มฉันได้แล้ว เทียบกับเขาแล้ว นายห่างชั้นมากไปจริงๆ”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ดวงหน้าของหลี่อิงเจี๋ยแดงก่ำทันที เขากำหมัดแน่นบังคับตัวเองให้สะกดกลั้นอารมณ์ไว้ ทางสถาบันห้ามไม่ให้นักเรียนต่อสู้กันเอง ถ้าเกิดถูกทางสถาบันพบเข้า มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกลงโทษลดระดับลง นี่เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้ ถ้าเขาร่วงลงไปที่ห้องบี มันอาจจะถึงขนาดทำให้เขาสูญเสียสิทธิในการสืบทอดตระกูลหลี่ไป
กลุ่มของหลิงหลานที่อยู่อีกฝั่งสังเกตเห็นว่าหลินจงชิงที่อยู่ทางด้านนี้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินคำพูดสุดท้ายที่หลินจงชิงทิ้งท้ายไว้ พวกเขาก็อดนิ่วหน้าคิ้วขมวดไม่ได้
“หมอนั่นเพิ่มค่าความแค้นให้นายอีกแล้ว” คำพูดของหานจี้จวินในตอนนี้แฝงไปด้วยพวกคำศัพท์ที่อยู่ในชาติก่อนของหลิงหลานด้วยความเคยชิน เขาคิดว่ามันมีชีวิตชีวามากจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ค่าความแค้น หัวไวและก็ภาพพจน์
ดวงหน้าที่งดงามของลั่วล่างเผยความดุดันขึ้นมาขณะกล่าวว่า “ฉันจะไปสั่งสอนมันสักยก”
“รวมฉันด้วย” ฉีหลงรีบพูด เขาไม่ได้ไปเพื่อสั่งสอนอีกฝ่าย หากแต่เป็นหาโอกาสต่อสู้ก็เท่านั้น
หลิงหลานยื่นมือไปบีบแก้มลั่วล่าง เธอบีบนวดแรงๆ จนได้ยินเสียงขอความเมตตาที่ทุกข์ตรมของลั่วล่างถึงค่อยปล่อยมือลง “จะบุ่มบ่ามไม่ได้นะ ถ้าเกิดสั่งสอนเขาจริงๆ ละก็ นั่นก็จะเป็นไปตามที่เขาต้องการนะ”
“เอ่อ…” ลั่วล่างตะลึงงันไป เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง
ทว่าแววตาของหานจี้จวินกลับเปล่งประกาย คิดอะไรบางอย่างออก หลิงหลานกับเขาสบตายิ้มให้กัน การพูดคุยกับคนฉลาดก็คือการประหยัดแรง
ฉีหลงขยี้หัว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากขึ้นมา เขาเชื่อว่าอีกเดี๋ยวหานจี้จวินย่อมจะต้องอธิบายให้เขาฟัง ความเชื่อใจของฉีหลงไม่ได้สูญเปล่า หานจี้จวินเอ่ยปากอธิบายให้ฉีหลงกับลั่วล่างตามที่คาดไว้จริงๆ “หลินจงชิงกำลังติดอยู่กับการไม่มีข้ออ้างมาพูดคุยกับพวกเรา ถ้านายไปหาเขา ไม่ใช่ว่าตรงกับความตั้งใจของเขาเหรอ”
“แต่ฉันจะไปสั่งสอนมัน” ลั่วล่างไม่ยินยอมมากๆ
หานจี้จวินส่ายหน้ายิ้มขื่นว่า “นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าเขาทำหน้าด้านใส่นาย ฉันคาดว่านายก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ คิดถึงก่อนหน้านี้สิ…”
ลั่วล่างไร้คำพูดทันที หนึ่งเดือนนั้น หลิงหลานเมินใส่หลินจงชิงด้วยความเย็นชามากมาตลอด หานจี้จวินก็เจ้าเล่ห์มาก เขาไม่ให้โอกาสหลินจงชิงเข้ามาใกล้มากนัก ส่วนฉีหลงก็มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝน ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ มีเพียงลั่วล่างเท่านั้นที่อดพูดคุยกับหลินจงชิงไม่ได้ ถึงขนาดที่เขาเอ่ยปากกู้หน้าให้หลินจงชิงอยู่หลายครั้ง….
“เอาเถอะ ฉันจะอยู่ห่างเขาหน่อยละกัน” ข้อดีของลั่วล่างคือ เมื่อรู้ว่าตัวเองทำพลาดก็จะแก้ไข ถึงแม้ว่าบางทีเขายังคงทำพลาดในครั้งต่อไปก็ตาม….
การประลองในช่วงเช้าเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ คราวนี้มีทั้งหมดสองรอบ หานจี้จวินแข่งรอบแรก ส่วนอีกสามคนที่เหลือต่างแข่งรอบสอง อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเมื่อพวกหลิงหลานสามคนแข่งขันเสร็จและกลับมา การต่อสู้ของหานจี้จวินก็ยังไม่จบ เห็นได้ว่าหานจี้จวินต่อสู้อย่างยากลำบากขนาดไหน
สุดท้าย ความอดทนของหานจี้จวินก็ดีกว่าอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงยืนหยัดได้นานกว่าฝ่ายตรงข้าม ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หานจี้จวินก็แทบจะหมดแรงเหมือนกัน เขาถูกส่งไปที่แคบซูลรักษาเพื่อฟื้นฟูกำลัง
ฉีหลงกับลั่วล่างไม่ได้เจอกับความยากลำบากมาก หลังจากที่ฉีหลงประมือกับคู่ต่อสู้ได้ห้าสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว เขาก็ล้มคู่ต่อสู้คว้าชัยชนะมาได้ ลั่วล่างด้อยกว่าเล็กน้อย เขาเกือบจะใช้ไปแปดสิบกระบวนท่าถึงค่อยคว่ำคู่ต่อสู้และเลื่อนอันดับขึ้นมา ส่วนหลิงหลาน….
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น หลิงหลานก็ไม่กล้าลืมตา เธอกลัวว่าตัวเองจะเห็นจุดอ่อนถึงตายอะไรอีก หลังจากนั้นร่างกายก็ทำการตอบสนองโจมตีล้มคู่ต่อสู้โดยอัตโนมัติ
หลิงหลานทำการศึกษามาหนึ่งคืนถึงค่อยเข้าใจสาเหตุ พบว่าการตอบสนองที่ไม่สามารถควบคุมได้เช่นนี้เป็นผลตกค้างเล็กๆ อย่างสุดท้ายที่คงเหลือจากการสูญเสียการควบคุมจิตใจในตอนนั้น ความจริงแล้วมันไม่มีปัญหาอะไร เธอเพิ่งจะฟื้นกลับมาเป็นปกติ จิตใจกับกายเนื้อยังไม่ได้รวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง ขอเพียงผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์หรือครึ่งเดือนก็ไม่มีปัญหาแบบนี้แล้ว ได้แต่โทษที่หลิงหลานฟื้นกลับมาเป็นปกติช้าเกินไป ไม่สามารถกำจัดผลตกค้างได้หมดก่อนหน้าการประลอง ถึงได้ทำให้ตอนนี้เธอถูกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
คราวนี้หลิงหลานจึงเลือกหลับตาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เอาชนะคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียวอีก เธอคิดจะหลับตาไม่เห็นการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามจะได้ไม่มีทางโจมตีกลับอัตโนมัติ หลิงหลานกล้าทำขนาดนี้ย่อมเป็นเพราะเธอเชื่อมั่นในหูสองข้างของตัวเองมาก เธอเคยได้รับการฝึกฝนจากหมายเลขห้าในมิติการเรียนรู้ หลบการโจมตีของอาวุธลับในห้องลับที่ไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย เธอเริ่มต้นจากการตายอย่างน่าอนาถนับครั้งไม่ถ้วนจนกระทั่งไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิดเดียวในเวลาต่อมา ฝึกฝนให้หูทั้งสองข้างของเธอเฉียบคมอย่างไร้ที่เปรียบ ความสามารถในการฟังเสียงลมแยกแยะตำแหน่งย่อมสุดยอดแน่นอน
แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลังจากที่หลิงหลานหลบหลีกฝ่ายตรงข้ามไปสิบกว่ากระบวนท่า เธอก็อดทนไม่ไหวอีกแล้ว เท้าที่หงุดหงิดอยู่นานก็เตะออกในตอนที่เธอไม่ได้สนใจ
หลังจากนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็กลิ้งตรงดิ่งตกลงไปจากสนามประลอง…..
หลิงหลานลืมตาขึ้นมาก็เห็นกรรมการตัดสินที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นใกล้จะโมโหจนเส้นเลือดสมองแตกแล้ว ในใจก็ส่งเสียงดังกึกๆ ทำไมถึงเป็นอาจารย์ที่ตัดสินคนนั้นอีกแล้ว เนื่องจากหลิงหลานขึ้นไปบนสนามประลองก็หลับตาลง เลยไม่ได้สังเกตว่าคนที่รับหน้าที่ตัดสินในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นกรรมการของการประลองสองรอบที่แล้วของเธอ
หลิงหลานรีบทำหน้าให้ดวงหน้าน้อยๆ ของตัวเองดูใสซื่อทันที ดวงตาโตที่เปล่งประกายมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเธอไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ หลิงหลานตัดสินใจทำตัวน่ารักอีกครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
กรรมการพุ่งเข้ามาฉับพลัน กล้ามเนื้อใบหน้าเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขากัดฟันกล่าวเสียงต่ำว่า “เธอแกล้งทำเป็นต่อสู้พัวพันกับคู่ต่อสู้สักหลายกระบวนท่าแล้วค่อยล้มอีกฝ่ายไม่ได้เลยหรือไง?”
หลิงหลานทำหน้าใสซื่อมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเธอหลบสิบกว่าท่าแล้วเหรอ?
เมื่ออาจารย์เห็นหลิงหลานยังไม่รู้ความผิด เขาก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วและตวาดเสียงดังว่า “เธอแม่งหลับตาสองข้าง และเอาสองมือไพล่หลัง ทำตัวหยิ่งทระนงอยู่อย่างสงบนิ่งเยือกเย็นให้เขาโจมตีเข้ามา เธอเห็นพวกเราตาบอดจริงๆ เหรอ?”
ที่แท้การกระทำของหลิงหลานที่อยู่ในสายตาของพวกเขาก็ยังคงเป็นการเอาชนะศัตรูในกระบวนท่าเดียว นอกจากนี้ยังทำลายความเชื่อมั่นของเด็กหนักกว่าเดิมด้วย
การประลองสองรอบก่อนหน้านี้ พวกเขายังสามารถใช้ข้ออ้างว่าหลิงหลานแค่โชคดีเท่านั้น มีพลังเหนือมนุษย์แต่กำเนิดอะไรก็ว่าไป หรือไม่พวกเขาก็ประมาทมากเกินไปเลยถูกหลิงหลานลอบโจมตีมาปลอบใจเด็กเพื่อกู้ความเชื่อมั่นของเด็กที่พ่ายแพ้ไปกลับคืนมา ทว่าเวลานี้การที่หลิงหลานทำแบบนี้ก็เป็นการบอกอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้วว่า เขาไม่เห็นนายอยู่ในสายตาจริงๆ ต่อให้หลับตาและให้นายโจมตีสิบกระบวนท่า นายก็ยังโจมตีเขาไม่โดน สุดท้ายยังถูกเขาเอาชนะไปในกระบวนท่าเดียวอย่างสบายๆ การโจมตีนี้ลึกล้ำมากเกินไปแล้ว และก็ทำให้อาจารย์หาข้ออ้างมาปลอบใจไม่ได้ คุณว่าพวกเขากลุ้มใจไหมล่ะ
นี่ก็เลยเป็นสาเหตุที่อาจารย์ไม่สามารถข่มกลั้นโทสะไว้ได้ เจ้าเด็กหลิงหลานคนนี้ก็คือนักฆ่าที่มีพรสวรรค์ชัดๆ
……………………………………………..