I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ – ตอนที่ 81 ลูกศิษย์แรกเริ่ม!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ค่ำคืนเงียบสงัด เช้าวันที่สอง พวกหลิงหลานสี่คนมาถึงหอต่อสู้กันแต่เช้า เวลานี้นักเรียนในหอต่อสู้น้อยลงมากกว่าเดิม ในทางตรงกันข้ามอาจารย์ที่มากลับมีมากขึ้น เป้าหมายที่พวกเขาเข้ามาในครั้งนี้คือรับเด็กที่มีพรสวรรค์โดดเด่นสักคนสองคน เพื่อสั่งสอนด้วยตัวเอง นี่ก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่เป็นอาจารย์

ควรรู้ไว้ว่าเด็กที่สามารถอยู่จนถึงวันสุดท้ายได้ย่อมเป็นเมล็ดพันธุ์อันโดดเด่นที่ผ่านคลื่นชะทราย[1]บุคคลที่สามารถอบรมบ่มเพาะได้ย่อมสามารถเติมเต็มความต้องการในการรับนักเรียนของพวกเขา แน่นอนว่าจะรับศิษย์หรือไม่นั้นยังต้องดูพรหมลิขิตด้วย

ควรทราบว่า ผู้แข็งแกร่งบางคนไม่ได้รับศิษย์จากการดูคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่แล้วยังต้องดูด้วยว่าถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นหรือไม่

อีกไม่นานการแข่งขันก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว การแข่งแรกคือการแข่งจาก 13 อันดับแรกเข้าสู่ 7 อันดับแรก คนที่ชนะผ่าน ไม่ใช่หลิงหลานแล้ว หากแต่เป็นหลี่อิงเจี๋ยที่ได้อันดับหนึ่งของห้องเอ

หลิงหลานเห็นข้อความนี้ในอุปกรณ์สื่อสารก็อดลอบคาดเดาไม่ได้ว่า การชนะแบบปล่อยผ่านที่ทางสถาบันจัดการนี้อิงตามความแข็งแกร่งของนักเรียนใช่หรือเปล่า? ถ้าหากการชนะปล่อยผ่านในรอบต่อไปเป็นอู่จย่งหรือว่าฉีหลงละก็ คาดว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้ว เนื่องจากในสายตาของหลิงหลาน หลี่อิงเจี๋ย อู่จย่ง และฉีหลงต่างอยู่ในระดับเดียวกัน

คู่ต่อสู้ของหลิงหลานคือ ฉินอี้ อันดับเก้าของห้องเอ เธอเคยเห็นรูปแบบการต่อสู้ของฉินอี้มาก่อน เป็นนักสู้สายกลยุทธ์ ชอบทำความเข้าใจความสามารถของคู่ต่อสู้ก่อนถึงค่อยทำการตอบโต้ ดังนั้นเขาจึงต่อสู้แบบเคลื่อนที่ไปรอบๆ เกือบทุกครั้งที่เริ่มการต่อสู้

หลิงหลานไม่เคยเจอคู่ต่อสู้แบบนี้มาก่อน ในมิติการเรียนรู้ อาจารย์หมายเลขหนึ่งนิยมการโจมตีทีเดียวจอด แน่นอนว่าย่อมเป็นรูปแบบการโจมตีประเภทบดขยี้ล้วนๆ อาจารย์หมายเลขเก้าก็ยึดมั่นในแนวคิดการต่อสู้แบบดั้งเดิมมากที่สุด ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[2] ให้ความสำคัญกับวิธีการต่อสู้เปลี่ยนกระบวนท่าไปเรื่อยๆ พลิกแพลงตามสถานการณ์ วิธีการต่อสู้อาจารย์หมายเลขห้าชั่วช้ายิ่งกว่านิสัยชั่วร้ายของเขา ขอเพียงสามารถคว้าชัยชนะ ไม่ว่าวิธีการไหนเขาก็สามารถทำออกมาได้ หลิงหลานนึกถึงวิธีต่อสู้ของอาจารย์หมายเลขห้าก็อดตัวสั่นเทิ้มหลายทีไม่ได้ ตอนนี้เธอยังรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วทั้งตัว การฝึกฝนในตอนนั้นแทบจะทำลายสามมุมมองของเธอ

ฉีหลง ลั่วล่างและหานจี้จวินที่หลิงหลานแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยกันบ่อยๆ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แบบนี้ ฉีหลงชอบเล่นใหญ่ทั้งตอนเปิดฉากและปิดฉาก การต่อสู้กับเขาจึงเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงดุเดือดที่สุด ไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดอะไร เนื่องจากฉีหลงไม่ให้เวลาคุณคิดกระบวนท่าและแผนรับมือ ได้แต่ถลกแขนเสื้อขึ้นมาต่อสู้อย่างบ้าคลั่งถึงจะสามารถรับมือกับการโจมตีที่เหมือนกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

รูปแบบการต่อสู้ของลั่วล่างเป็นระบบเดียวกับอาจารย์หมายเลขเก้า ทว่าความสามารถแตกต่างราวฟ้ากับดิน ลั่วล่างเป็นคนที่หลิงหลานรับมือได้สบายและง่ายดายมากที่สุด เนื่องจากหลิงหลานคุ้นเคยกับรูปแบบการโจมตีของลั่วล่างมากเกินไปจริงๆ

ส่วนหานจี้จวินก็เป็นคนที่อ่อนแอมากที่สุดในหมู่พวกเขาสี่คน เขารู้จุดอ่อนของตัวเอง ในตอนที่ต่อสู้ก็ชอบใช้กระบวนท่าที่ไม่คาดคิด วิธีการต่อสู้แต่ละครั้งไม่เหมือนกันสักครั้ง และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเก็บสะสมวิธีการต่อสู้มากมายขนาดนั้นจากที่ไหน แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายเขาไม่สามารถได้รับผลการรบที่ดีมากเลยเนื่องจากสาเหตุเรื่องความแข็งแกร่ง มีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่ลั่วล่างรับมือไม่ทัน ทำให้หานจี้จวินคว้าชัยชนะจากในมือเขาได้หลายครั้ง แต่สำหรับฉีหลงกับหลิงหลานที่แข็งแกร่งกว่าเขา หานจี้จวินยังไม่เคยได้รับชัยชนะเลย นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า เมื่อความสามารถห่างกันระดับหนึ่ง ต่อให้มีแผนการ มีกระบวนท่าที่คาดไม่ถึงมากมายสักแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

ดังนั้นหลิงหลานเลยให้ความสนใจการต่อสู้กับฉินอี้ในรอบนี้ขึ้นมา นี่ย่อมไม่ได้หมายความว่าหลิงหลานกังวลว่าฉินอี้จะนำความยากลำบากในการเลื่อนอันดับมาให้เธอแน่นอน แต่เป็นเพราะได้ประลองกับคู่ต่อสู้ที่มีรูปแบบต่างออกไป ซึ่งสามารถเพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้ของเธอ จนถึงขนาดที่สามารถทำให้เธอเกิดแรงบันดาลขึ้นมาได้บ้าง

ส่วนฉีหลงก็ประลองกับสวีจื้อจือที่ได้อันดับเจ็ดในห้อง บังเอิญว่ารูปแบบการต่อสู้ของสวีจื้อจือใกล้เคียงกับฉีหลง เห็นได้ว่าการประลองรอบนี้ต้องดุเดือดไปทั่วแน่นอน

ลั่วล่างค่อนข้างโชคร้าย หลายวันมานี้เขาโชคร้ายสุดขีด รอบนี้เขาต้องประลองกับเยี่ยซวี่ที่ได้อันดับสามของห้องเอ เด็กที่สามารถเข้ามาเป็นสามอันดับแรกของห้องเอคือพวกอัจฉริยะขั้นสุดยอด ฝีมือด้านการต่อสู้ย่อมเหนือกว่าผู้อื่น บ่งบอกอย่างชัดเจนว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากอีกรอบ

ดังนั้นเมื่อลั่วล่างเห็นชื่อของคู่ต่อสู้ ทั่วทั้งใบหน้าก็พังครืนลงมา เขาแทบจะร้องไห้ไม่ออก นี่เป็นกระดูกแข็งๆ ที่กัดยากสุดขีดอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เขาโชคดีเอาชนะรอบนี้ไปได้ ก็คาดว่าเขาน่าจะใช้เรี่ยวแรงจนหมดไม่เหลือแรงให้สู้ต่อ นี่ก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาก้าวมาได้แค่นี้เท่านั้น ไม่มีวาสนาไปรอบต่อไปแล้ว ควรทราบว่าการประลองจาก 7 อันดับแรกไปสู่ 4 อันดับแรกนั้นเป็นการประลองติดต่อกัน เขาไม่มีเวลาฟื้นฟูเรี่ยวแรงยังจะมีความหวังที่จะเอาชนะได้อีกเหรอ?

คำตอบย่อมเป็นไม่มี…นี่จะไม่ทำให้เขาเสียใจจนอยากจะร้องไห้ได้ยังไงเล่า?

หลิงหลานยกมือตบบ่าของลั่วล่างด้วยความจนปัญญา เอ่ยปลอบใจอย่างไร้กำลังว่า “ลั่วล่าง สู้ๆ นะ!” เธอไม่อาจแข็งใจมองดวงตาน้อยๆ ที่โศกเศร้าเสียใจของลั่วล่างได้เลย ทำไมเด็กที่น่าสงสารคนนี้ถึงได้โชคร้ายขนาดนั้นด้วยนะ

ฉีหลงลูบคาง พูดกับลั่วล่างด้วยใบหน้าจริงจังว่า “ลั่วล่าง ต่อไปอย่าทำเรื่องไม่ดีล่ะ”

ลั่วล่างได้ยินคำพูดก็อึ้งไป เขาไม่เข้าใจความหมายของฉีหลงไปชั่วขณะ

ฉีหลงทำท่าเหมือนกับว่าเจ้าเด็กนี่สั่งสอนไม่ได้แล้ว และพยักหน้าติดต่อกันกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าลูกพี่เคยบอกไว้เหรอ? ทำเรื่องเลวๆ มากเกินไปจะทำลาย RP[3]”

“ฉีหลง ฉันจะฆ่าแก” ลั่วล่างค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาถูกฉีหลงหยอกเล่นแล้ว เขากระโดดขึ้นมาฉับพลันและกระโจนเข้าใส่ฉีหลง เมื่อฉีหลงเห็นลั่วล่างกระโจนเข้ามาก็ยินดี ดังนั้นทั้งสองคนก็เตะต่อยกันดังผัวะๆ โดยที่ไม่สนใจคนอื่นๆเช่นนี้เอง พวกเขาไม่สนเลยสักนิดว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนไปแล้ว

ไอ้เด็กหน้าหนาสองคนนี่…หลิงหลานกลอกตาแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะหลบไปทางด้านหนึ่งกับหานจี้จวินอย่างกลัดกลุ้ม พวกเขาทั้งสองคนเริ่มกระซิบกระซาบอย่างรู้กันเอง แสร้งทำเป็นคนชมดูเรื่องสนุก

อืม พวกเขาไม่มีทางยอมรับเป็นอันขาดว่าพวกเขารู้จักไอ้พวกโง่เง่าสองคนที่ไม่รู้ว่าภาพลักษณ์คืออะไร

…………..

การต่อสู้อย่างดุเดือดของฉีหลงกับลั่วล่างดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ ในหอต่อสู้ อาจารย์ร่างกำยำสองคนในหมู่พวกเขาที่เดิมทีทำหน้าแฝงไปด้วยร่องรอยความเบื่อหน่ายและหมดความอดทนอยู่นั้น พอเห็นฉีหลงกับลั่วล่างต่อสู้กันอย่างร้อนแรงสนิทสนม พวกเขาสองคนก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที

“ไม่เลว ไม่เลวเลย ผู้อำนวยการเฒ่านั่นไม่ได้หลอกพวกเรา เด็กแสบปีนี้ดูคู่ควรอยู่บ้าง” หนึ่งในอาจารย์สองคนนั้นกล่าวพลางหัวเราะหึๆ

ส่วนอีกคนก็ทำหน้าเคร่งขรึม มองดูฉีหลงกับลั่วล่างปล่อยกระบวนท่าติดต่อกันหลายท่าด้วยความจริงจัง จากนั้นค่อยตอบกลับว่า “อือ ความสามารถพื้นฐานเด็กสองคนนี้ไม่เลวเลย”

ฉีหลงกับลั่วล่างติดตามหลิงหลานครึ่งปีมานี้ ไม่กล้าพูดว่าเรื่องอื่นๆ มีความก้าวหน้าหรือไม่ แต่เรื่องพื้นฐานในการต่อสู้ย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งเข้าเรียนมาก เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมามิติการเรียนรู้เน้นความสำคัญเรื่องพื้นฐานมากที่สุด หลิงหลานเองก็นำแนวคิดนี้มาให้พวกฉีหลงฝึกฝนเป็นประจำของพวกเขา

เมื่อดูไปได้สักพัก อาจารย์ที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มคนนั้นกล่าวอย่างทอดถอนใจโดยพลันว่า “อาไท่ คิดว่าฉากนี้มันดูคุ้นมากๆ ไหม?”

อาจารย์ที่ทำหน้าจริงจังมองไปที่อีกฝ่ายราวกับไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“นึกถึงตอนที่ฉันรู้จักกับนาย ก็อยู่ในสถาบันลูกเสือเหมือนกัน ตอนนั้นพวกเราก็ทะเลาะกันแบบนี้” อาจารย์ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มทำหน้าหวนนึกถึงอดีต

อาจารย์ที่เคร่งขรึมได้ยินคำพูดนี้ก็อดแค่นเสียงเย็นกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า “ตอนนั้นนายทำท่าหัวเราะหึๆ ตลอดทั้งวัน ฉันเห็นแล้วก็หงุดหงิด” เขากล่าวจบก็เหลือบมองเพื่อนสนิทและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ท่าทีแบบนี้ก็ไม่ได้มีดีอะไรเลย ยังคงน่ารำคาญเหมือนเดิม”

“ให้ตายเถอะ ไม่ใช่ว่านายยังทำหน้าเป็นโลงศพขู่คนให้กลัวอยู่เหรอ?” อาจารย์ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มไม่พอใจแล้ว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ใบหน้าเขาก็ยังมีรอยยิ้ม ดูท่าเขาจะเติบโตมากับใบหน้ายิ้มแย้มแต่กำเนิด

“อยากจะสู้กันสักยกหรือไง?” ดวงหน้าโลงศพเหลือบมองดวงหน้ายิ้มแย้มแวบหนึ่ง ในแววตามีเจตนาต่อสู้อย่างแรงกล้า

คนที่ทำหน้ายิ้มแย้มค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา เขากล่าวอย่างกลุ้มใจว่า “เชี่ย เกือบจะตกหลุมพรางนายแล้ว ฉันไม่สู้กับนายหรอก ยุ่งยากจะตาย” เขาจะไปลืมได้ยังไงว่าเพื่อนเขาเป็นไอ้บ้าต่อสู้มาแต่กำเนิด ถ้าไม่ลงมือวันหนึ่งมือก็จะคัน นอกจากนี้เมื่อต่อสู้แล้ว ถ้าไม่สู้จนมืดฟ้ามัวดินอ่อนล้าหมดสิ้นเรี่ยวแรงก็จะไม่มีทางหยุดเป็นอันขาด เขาไม่หาเรื่องทรมานหรอกนะ

เมื่อคนที่มีใบหน้าโลงศพรู้ว่าการยั่วโมโหของเขาไม่ได้ผล เขาก็ทำหน้าเสียใจ ปีนี้ถึงตาหน่วยผู้ควบคุมของพวกเขาเข้ามาสอนในสถาบันลูกเสือหนึ่งปี พวกเขาเพิ่งจะหลุดพ้นจากสนามรบ ยังไม่คุ้นชินกับชีวิตสงบสุขแบบนี้จริงๆ ธรรมชาติของพวกเขาคืออยู่ในสนามรบนะ

“นายสนใจเด็กคนไหน?” คนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

“เด็กหัวเกรียนคนนั้น” เด็กที่คนทำหน้าเป็นโลงศพชี้ไปนั้นก็คือฉีหลง

“อืม เด็กหัวเกรียนน่าจะแข็งแกร่งกว่า แต่ว่าคุณสมบัติร่างกายของเด็กหน้าสวยคนนั้นก็ไม่เลวมากๆ นะ เป็นคนมีพรสวรรค์ที่เอามาสั่งสอนได้” คนที่มีใบหน้ายิ้มคล้ายกับชอบลั่วล่างมากขึ้น

คนที่ทำหน้าเป็นโลงศพได้ยินคำพูดของคนหน้ายิ้ม ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นไปอีก เขามองคนหน้ายิ้มด้วยความจริงจังพลางกล่าวว่า “นายคิดจะรับเขาเป็นลูกศิษย์เหรอ? สอนตั้งแต่แรกเริ่ม? นายคิดดีแล้ว?”

โลกของทหารให้ความสำคัญเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์อย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์แรกเริ่มหรือว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนสุดท้าย เมื่อยืนยันความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันแล้ว ก็จะไม่สามารถหลีกหนีความสัมพันธ์นี้ไปตลอดชีวิต ก็เหมือนกับที่คนหน้ายิ้มอยากจะรับลั่วล่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงศิษย์แรกเริ่ม แต่ความจริงแล้วมันเท่ากับว่าคนหน้ายิ้มยอมรับลั่วล่างเป็นศิษย์สายเขา ลั่วล่างจะได้รับการปกป้องและอบรมสั่งสอนจากสายของคนที่ทำหน้ายิ้ม พูดได้ว่า ไม่ว่าอนาคตลั่วล่างจะดีหรือเลวต่างก็เกี่ยวพันกับชายหน้ายิ้ม

“ใช่แล้ว เป็นแค่ศิษย์แรกเริ่มเท่านั้น” คนที่มีหน้ายิ้มยังคงหัวเราะหึๆ ทำหน้าไม่สนใจ

“เพราะว่าเป็นแค่ศิษย์ที่แรกเริ่ม ฉันถึงอยากให้นายรอบคอบกว่านี้” คนที่ทำหน้าเป็นโลงศพโมโหอยู่บ้าง ถ้าหากลูกศิษย์ที่คนหน้ายิ้มรับนั้นเป็นศิษย์ผู้สืบทอด เขาก็ไม่กังวลอะไร เพราะไม่ว่ายังไงอาจารย์หรือว่าลูกศิษย์ต่างก็เป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียว พวกเขาทั้งสองต่างก็ต้องรับผิดชอบกันเอง ความสัมพันธ์นี้อยู่ระดับเดียวกันกับบิดาและบุตร

แต่ว่าศิษย์แรกเริ่มไม่เหมือนกัน มันไม่ได้เรียกน้องให้นักเรียนต้องทำอะไร แต่เรียกร้องให้อาจารย์ต้องทำอะไร พูดได้ว่า การรับศิษย์แรกเริ่มคือการที่อาจารย์ให้ความห่วงใยและแรงกายแรงใจเพียงฝ่ายเดียว ถ้าหากสุดท้ายศิษย์แรกเริ่มไม่เลือกเป็นศิษย์สืบทอดของอาจารย์ ก็หมายความว่าแรงกายแรงใจที่อาจารย์ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้ก็เป็นการเสียเปล่าทั้งหมด สุดท้ายก็ยังร้องทุกข์ไม่ได้เนื่องจากนี่เป็นสิ่งที่อาจารย์สมัครใจทำเอง

“ยากจะเจอคนที่ฉันถูกใจ เสี่ยงนิดหน่อยแต่ก็คุ้มค่านะ” คนที่ทำหน้ายิ้มคล้ายกับตัดสินใจแล้ว

ชายที่ทำหน้าเป็นโลงศพรู้ว่าเมื่อเพื่อนสนิทของตัวเองตัดสินใจไปแล้ว ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจ เขาเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งไม่พูดอะไรต่อ

“โกรธแล้ว?” คนที่ทำหน้ายิ้มแย้มคิดว่าเขาดึงดันทำตามใจตัวเองขนาดนี้ ย่อมรู้สึกผิดต่อเพื่อนสนิทที่ห่วงใยเขาอยู่บ้าง เขาก็เลยอดไม่ไหวผลักไหล่ของชายที่ทำหน้าโลงศพและเอ่ยถามออกมา

“เปล่า ฉันแค่เพิ่งตัดสินใจได้” คนที่ทำหน้าโลงศพเอ่ยเรียบๆ

“ตัดสินใจอะไร?” ชายหน้ายิ้มสงสัยมาก

ชายที่ทำหน้าโลงศพเหลือบมองชายหน้ายิ้มแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันตัดสินใจจะรับเด็กหัวเกรียนคนนั้นเป็นศิษย์แรกเริ่มของฉัน”

…………………………………

[1] หมายถึง ได้รับการทดสอบและคัดเลือกจากในการต่อสู้อันดุเดือด

[2] หมายถึง ไม่ว่าจะมาวิธีการไหนก็สามารถรับมือได้หมด

[3] มาจากคำว่า 人品 เหรินผิ่น หมายถึงบุคลิกประจำตัว ซึ่งในที่นี้เป็นคำสแลงในอินเตอร์เน็ตที่สื่อความหมายว่า โชค ถ้า RP ดีก็จะโชคดี ถ้า RP แย่ก็จะโชคร้าย

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

Status: Ongoing
นิยายแฟนตาซี ไซไฟ โลกอนาคต หุ่นรบ สงครามอวกาศ แมรี่ซู แปลจีนหลังจากเสียชีวิตเพราะอาการป่วยโรคประหลาดหลิงหลานได้ทะลุมิติมายังโลกอนาคตอีกหนึ่งหมื่นปีข้างหน้าด้วยการช่วยเหลือของระบบการเรียนรู้เธออยากใช้ชีวิตร่างใหม่อย่างสงบสุขทว่าโชคชะตากลับเล่นตลกให้จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อสืบทอดตระกูลคุณชายน้อยผู้สืบทอดพลังหุ่นรบขั้นเทวะจำต้องเดินหน้าต่อไปสู่เส้นทางที่ไม่มีวันย้อนกลับซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายไม่รู้จบ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท