ผู้ที่เข้าแข่งขันการประลองจาก 13 อันดับแรกสู่ 7 อันดับแรกเสร็จเป็นกลุ่มสุดท้ายคือลั่วล่างกับเยี่ยซวี่ สุดท้ายพวกเขาก็สู้จนหมดสิ้นเรี่ยวแรงถึงค่อยฝืนแบ่งผู้ชนะผู้แพ้ออกมาได้ เยี่ยซวี่ล้มช้ากว่าลั่วล่างหนึ่งวินาที เขาเลยโชคดีได้รับชัยชนะเลื่อนอันดับได้สำเร็จ
พวกหานจี้จวินเสียดายแทนลั่วล่าง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเมื่อวานลั่วล่างสิ้นเปลืองแรงกายมากเกินไปจนทำให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ตกค้างในร่างกายเป็นภาระต่อลั่วล่าง บางทีผลอาจจะไม่เหมือนเดิม แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง การแข่งขันของลั่วล่างก็สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ของลั่วล่างไม่ได้ทำให้นักเรียนห้องเอดูถูกเขาเลยสักนิด เนื่องจากการแข่งขันรอบนี้พิสูจน์แล้วว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเยี่ยซวี่เลย หรือพูดอีกอย่างก็คือ ความแข็งแกร่งของลั่วล่างสามารถเทียบเคียงนักเรียนสามอับดับแรกของห้องเอได้เลย
ทว่าเวลานี้สายตาของพวกนักเรียนห้องเอต่างเพ่งมองไปที่ตัวหลิงหลานกับฉีหลง ในเมื่อความแข็งแกร่งของลั่วล่างไม่ด้อยไปกว่าสามอันดับแรกของห้องเอง ถ้าอย่างนั้นหลิงหลานกับฉีหลงจะเก่งกาจมากเท่าไหร่กันแน่ ควรทราบว่าลั่วล่างเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาสามคน
แต่พวกเขาเชื่อว่า เมื่อการแข่งขันดำเนินไป ความแข็งแกร่งของหลิงหลานกับฉีหลงจะต้องปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาแน่นอน เวลานั้นพวกเขาก็สามารถรู้ระดับความแข็งแกร่งล้ำลึกของหลิงหลานกับฉีหลงได้ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง การประลองจาก 7 อันดับแรกเข้าสู่ 4 อันดับแรกก็เริ่มต้นขึ้นตามมาติดๆ ถึงแม้เยี่ยซวี่จะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะชนะผ่านไปได้ ทำให้เขามีเวลาฟื้นฟูพลังกายมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ทางสถาบันไม่อยากให้เยี่ยซวี่โชคดีแบบนี้ คนที่ได้ชนะผ่านในคราวนี้ก็คือฉีหลง
เมื่อรายชื่อผู้ชนะผ่านปรากฏขึ้น หลิงหลานก็แทบจะยืนยันมาตรฐานในการชนะผ่านของสถาบันได้ การเลือกของพวกเขาคือเหล่าคนที่แข็งแกร่งที่สุด หรือพูดได้ว่า ทางสถาบันจงใจตัดโชคดีนี้ออกไป
เนื่องจากการชนะผ่านของฉีหลง การประลองจาก 7 อันดับแรกเข้าสู่ 4 อันดับแรกจึงมีแค่การตัดสินสามนัดเท่านั้น โชคของหลิงหลานไม่ได้ด้อยไปกว่าฉีหลงตรงไหนเลย เธอถูกจัดให้คู่กับเยี่ยซวี่ที่หมดเรี่ยวหมดแรงไม่สามารถต่อสู้ได้อีก ส่วนหลี่อิงเจี๋ยก็ได้ต่อสู้กับเจียงหยวนที่แต่เดิมอยู่อันดับห้าของห้องเอ อู่จย่งก็สู้กับโจวจี้หรงที่อยู่อันดับสี่ นับว่าเป็นการปะทะกันของผู้แข็งแกร่ง
เยี่ยซวี่เห็นรายชื่อการประลองก็ทำหน้าขมขื่นทันที คู่ต่อสู้ของเขาคือหลิงหลานคนนั้น โชคของเขาแย่มากเกินไปแล้วจริงๆ
เดิมทีเขายังอยากสู้ต่อ แต่ว่าเมื่อมีหลิงหลานเป็นคู่ต่อสู้ ต่อให้เขามีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมก็ไม่อาจแน่ใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาอยู่ในสภาพอับจนแบบนี้ด้วย…เยี่ยซวี่จำเป็นต้องครุ่นคิดรายละเอียดศึกจัดอันดับหลังจากที่เขาพ่ายแพ้แล้ว ควรรู้ไว้ว่า การประลองของอันดับที่ 13-8 และ 7-5 จะเริ่มต้นพร้อมกัน ถ้าหากเขาใช้พลังกายหมดตรงนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรักษาอันดับที่ห้าเอาไว้ไม่ได้
จำเป็นต้องบอกว่าเด็กที่ยิ่งแข็งแกร่งมาก ความสามารถในการตัดสินใจรวมไปถึงการยอมรับของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย ควรรู้ไว้ว่าการรู้จักยอมแพ้ก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง
เมื่ออาจารย์ตัดสินที่อยู่บนสนามประลองบอกว่าเริ่มได้ เยี่ยซวี่ที่ใคร่ครวญมาอย่างดีแล้วก็ยกมือยอมแพ้อย่างเฉียบขาด ด้วยเหตุนี้เอง หลิงหลานก็เลื่อนอับดับได้อย่างสบายๆ อีกครั้ง กลายเป็นคนที่เลื่อนสู่ 4 อันดับแรกได้รวดเร็วที่สุดในหมู่สามคน ไม่นับฉีหลงที่ชนะผ่าน
ส่วนการประลองของหลี่อิงเจี๋ยกับอู่จย่งนั้นก็ต่อสู้ได้ดุเดือดมาก ถึงแม้ว่าหลี่อิงเจี๋ยกับอู่จย่งจะเป็นสองคนที่อยู่อันดับแรกของห้องเอ แต่ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้ถึงขั้นบดขยี้คู่ต่อสู้ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่ต่อสู้แล้วก็สูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นสุดท้ายชัยชนะจะเป็นของใครก็บอกยากมากจริงๆ แน่นอนว่าคู่ต่อสู้เองก็มองเห็นโอกาสเลื่อนอันดับของตัวเองเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงประลองกับคู่ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายทั้งคู่ก็เก็บงำความสามารถไว้อย่างยิ่ง หลี่อิงเจี๋ยเป็นทายาทสายตรงของตระกูลชั้นหนึ่งแห่งสหพันธรัฐ ทักษะการต่อสู้ที่เรียนรู้มานั้นเป็นทักษะที่ได้รับผ่านการต่อสู้และทดสอบมาอย่างโชกโชนนับพันปี ถึงค่อยทิ้งไว้เป็นทักษะการต่อสู้พื้นฐานระดับสุดยอด จุดเริ่มต้นสูงกว่าคนทั่วไปมากส่วนอู่จย่งก็เป็นลูกหลานของตระกูลทหารมาสี่รุ่น ทักษะการต่อสู้ระดับพิเศษที่ทหารใช้ก็เพียงพอให้เขาเอาชนะเด็กส่วนใหญ่ได้แล้ว ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ใช้พื้นฐานที่มั่นคงเอาชนะคู่ต่อสู้ เลื่อนอันดับเข้าสู่ผู้แข็งแกร่งสี่คนสุดท้ายได้สำเร็จ
นักเรียนห้องเอต่างยอมรับอย่างสุดหัวใจ ไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับการเลื่อนอันดับของสี่คนนี้
การประลองในช่วงเช้าไม่ได้สิ้นสุดลงเช่นนี้ หลังจากนั้นก็เป็นการประลองจัดอันดับของ 13-8 และ 7-5 คราวนี้โชคของเยี่ยซวี่กลับมาแล้ว เขาได้โควตาชนะผ่านเพียงคนเดียวของอันดับ 7-5 ทำให้เขามีเวลานอนพักผ่อนอยู่ในแคปซูลรักษาฟื้นฟูเรี่ยวแรงของตัวเอง
โชคของลั่วล่างเองก็ไม่เลว รอบแรกเขาประลองกับนักเรียนที่ค่อนข้างอ่อนด้อยกว่าเขา หลังจากที่คว้าชัยชนะมาด้วยความยากลำบาก เขาก็คว้าสิทธิชนะผ่านมาได้ รอให้ผู้ชนะของอีกกลุ่มมาชิงอันดับแปดกับเขา แน่นอนว่า เขาก็ฉวยโอกาศไปพักผ่อนในแคปซูลรักษาฟื้นฟูพลังกาย ท้ายที่สุดพวกเขาที่ได้พักผ่อนฟื้นฟูพลังกายก็แยกกันเอาชนะคู่ต่อสู้ของตัวเอง ดังนั้น ลั่วล่างเลยได้อันดับแปด ส่วนเยี่ยซวี่ก็ได้อันดับห้า
เยี่ยซวี่อับดับร่วงลงมาจากในอันดับตอนที่เพิ่งเข้าเรียน แต่มันไม่ได้ลดสถานะของเขาในใจเพื่อนร่วมห้องเลย ความแข็งแกร่งของเยี่ยซวี่ย่อมโดดเด่นเหนือใคร เพียงแต่ใครก็นึกไม่ถึงว่าห้องเอจะมีสัตว์ประหลาดกับตัวประหลาดอย่างหลิงหลานกับฉีหลงโผล่มาสองคน ฉีหลงย่อมเป็นตัวประหลาด ส่วนหลิงหลานก็คือสัตว์ประหลาดแน่นอน
ส่วนอันดับของลั่วล่างก็พุ่งขึ้นสูงมาก เขาได้ตำแหน่งอันดับแปด ทุกคนต่างก็ยอมรับนับถือมาก ถึงขนาดที่มีนักเรียนหลายคนยังคิดว่าความจริงแล้วอันดับของลั่วล่างควรจะสูงขึ้นอีกหนึ่งหรือสองอันดับ ถึงยังไงเขาก็ต่อสู้ได้พอๆ กับเยี่ยซวี่ ถ้าจัดให้อยู่อันดับหกก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ทว่าความสามารถของนักเรียนสิบอันดับแรกของห้องเอก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นกับอันดับมากเกินไปนัก
ในที่สุดก็เหลือผู้แข็งแกร่งสี่คนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ยืนยันอันดับ สุดท้ายใครจะต่อสู้กับใครกันแน่? แต่ว่าการแข่งรอบรองชนะเลิศกับรอบชิงชนะเลิศถูกจัดไว้ตอนบ่าย พวกนักเรียนห้องเอได้แต่อดทนข่มกลั้นความสงสัยไว้ในใจ และไปทานอาหารกลางวันในโรงอาหารก่อนแล้วค่อยว่ากัน
…………
ในขณะที่ทานอาหาร หานจี้จวินกังวลว่าหลิงหลานจะได้ต่อสู้กับฉีหลงก่อน อย่างไรก็ตาม ฉีหลงกลับไม่มีความกังวลเลยสักนิดเดียว ตรงกันข้ามเขากลับตื่นเต้นมาก เมื่อคิดว่าคราวนี้เขาจะได้ต่อสู้กับลูกพี่หลานด้วยความสุขใจ
หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ ถึงแม้ว่าใบหน้ายังคงเยือกเย็นเหมือนเดิม ทว่าในใจกลับภาวนาโดยไม่ลังเลว่าขอให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์ของสถาบันฉลาดสักหน่อย โยนไอ้ตัวปัญหาฉีหลงไปให้คนอื่นรับผิดชอบที
พวกเขาพูดคุยหัวเราะในขณะทานอาหารเที่ยงกันจนเสร็จเช่นนี้เอง หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมาที่หอต่อสู้ด้วยกัน รอประกาศการต่อสู้ในรอบสุดท้าย
ในที่สุดก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว รายชื่อการประลองก็ปรากฏขึ้นมา หานจี้จวินกับลั่วล่างเห็นแล้วก็กระโดดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ส่วนอู่จย่งกลับขมวดคิ้วน้อยๆ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
ไม่ผิด คู่ต่อสู้รอบถัดไปของเขาก็คือหลิงหลาน คนที่เขากลัวมากที่สุด ถ้าหากเป็นไปได้ เขาไม่อยากเจอหลิงหลานในรอบรองชนะเลิศก่อนเลย เขาหวังว่าตัวเองเลื่อนอันดับสู่รอบชิงได้ด้วยสภาพที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม อู่จย่งก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูลทหาร เขาไม่ใช่คนที่หวาดกลัวการประลองแข่งขัน อันที่จริงอู่จย่งเตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ หลังจากที่หลิงหลานเลื่อนอันดับด้วยกระบวนท่าเดียว เขาก็ให้ความสนใจในตัวหลิงหลาน คิดว่าหลิงหลานเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องเอของเขา
ใช่แล้ว ในสายตาของอู่จย่ง ไอ้เด็กขี้โอ่อย่างหลี่อิงเจี๋ยไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้หลี่อิงเจี๋ยจะสามารถเทียบเคียงเขาได้ แต่เขาเชื่อว่าผ่านไปอีกสามปีห้าปี เขาจะต้องสลัดหลี่อิงเจี๋ยทิ้ง กลายเป็นหนึ่งในก้อนหินให้เขาเหยียบย่ำแน่นอน
อู่จย่งทำการศึกษาแล้วก็พบว่า ความสามารถของหลิงหลานในตอนนี้สูงกว่าพวกเขาจริงๆ ถ้าอยากจะเอาชนะเขาย่อมเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้เพราะสาเหตุนี้ เขาเคยติดต่อพ่อของเขาและอธิบายวิธีการต่อสู้ของหลิงหลานให้ฟัง หวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากพ่อ
ไม่ใช่ว่าอู่จย่งไม่อยากให้พ่อของตัวเองดูคลิปการต่อสู้ของหลิงหลาน แต่น่าเสียดายที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือเคร่งครัดเรื่องการดูคลิปของนักเรียนมาก ไม่สามารถส่งข้อมูลในสถาบันออกไปข้างนอก ถ้าหากเลือกออกไปนอกสถาบัน ขอเพียงข้อมูลที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์สื่อสารเป็นคลิปที่ดาวน์โหลดในสถาบัน มันก็จะลบทิ้งเองโดยอัตโนมัติ ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดด้านออปติคัลคอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถกู้คืนได้
นี่เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทางสถาบันปกป้องนักเรียน ห้ามไม่ได้คลิปของนักเรียนรั่วไหลออกไปข้างนอก แน่นอนว่าการอธิบายด้วยคำพูดไม่ได้รวมอยู่ในนั้น
หลังจากที่พ่อของอู่จย่งได้ยิน ก็รอไปเนิ่นนานถึงค่อยบอกเขาว่า ให้รอจังหวะไว้ก่อน ถ้าเกิดสามารถอดทนจนคู่ต่อสู้ออกกระบวนท่าที่สิบได้ บางทีอาจจะหาโอกาสคว้าชัยชนะมาได้
สาเหตุที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นเพราะหลิงหลายลงมือน้อยมากเกินไป มองไม่ออกว่าจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่ไหน อู่จย่งย่อมเชื่อมั่นในคำพูดของพ่อ ทว่าการประลองจาก 13 อันดับแรกสู่ 7 อันดับแรกพิสูจน์แล้วคำพูดของพ่อถูกต้อง
เพียงแต่ฉินอี้ยังร้อนใจมากไปหน่อย ยังไม่ทันได้รู้ความสามารถทั้งหมดของหลิงหลานก็หลับหูหลับตาเคลื่อนไหว อู่จย่งร้องเตือนตัวเองในใจว่าจะต้องอดทนให้ได้ ไม่ว่าการโจมตีของหลิงหลานจะรุนแรงมากขนาดไหน ถึงขนาดที่มีช่องโหว่มากอีกสักเท่าไหร่ ถ้ายังไม่ถึงจังหวะก็ควรจะอดทนต่อไป
ไม่นาน การประลองของทั้งสองกลุ่มก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ หานจี้จวินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจไปดูการแข่งขันของฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ย ส่วนลั่วล่างกลับเลือกไปชมการประลองของหลิงหลาน เพราะว่าเขาอยากดูทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงของหลิงหลาน
พูดแล้วก็น่าเศร้าจริงๆ เขาตามหลิงหลานมาครึ่งปี ในช่วงเวลานี้ก็เคยต่อสู้ด้วยหลายครั้ง แต่พวกเขากลับไม่เคยเห็นหลักเกณฑ์ทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงของหลิงหลานเลย เพราะว่าโดยปกติแล้วตอนที่หลิงหลานต่อสู้กับพวกเขาไม่ได้ใช้กระบวนท่าอะไร เพียงแต่ใช้การโจมตีตามสัญชาตญาณเท่านั้น ท่วงท่าตรงไปตรงมาเรียบง่ายชัดเจน
และเป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง พวกหานจี้จวินเลยคาดเดาที่มาที่แท้จริงของหลิงหลานไม่ได้มาโดยตลอด ถึงแม้ว่าหานจี้จวินจะเคยพูดเลี่ยงๆ แต่หลิงหลานกลับยิ้มไม่พูดจา มีความลับหรือว่าไม่มีความลับจริงๆ กันแน่? พวกเขาก็สุดจะรู้ได้
ถ้าหลิงหลานรู้ว่าพวกฉีหลงจะหมกมุ่นกับที่มาของเธอขนาดนี้ เกรงว่าเธอคงจะหัวเราะงอหาย เวลานี้หลิงหลานยังคงไม่รู้สถานะที่แท้จริงของพ่อตัวเอง เธอคิดว่าตัวเองเป็นเพียงลูกหลานตระกูลเล็กๆ ทั่วไปที่ไม่ได้สะดุดตา เป็นลูกกำพร้าพ่อที่มีแม่เป็นแม่หม้ายสามีซึ่งแยกตัวออกมาจากตระกูลเล็กๆ เท่านั้น
จำเป็นต้องบอกว่า หลิงหลานประมาทเลินเล่อในด้านนี้อยู่บ้าง แน่นอนว่าเสี่ยวซื่อเองเป็นสาเหตุในเรื่องนี้ด้วยในระดับหนึ่ง ที่ตลอดมาไม่เคยเตือนหลิงหลานให้ไปรู้เรื่องราวของหลิงเซียวเลย ดังนั้นหลิงหลานเลยรู้แค่ว่าหลิงเซียว พ่อของเธอเป็นเพียงพลตรีในกองทัพที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร (พลตรีของสหพันธรัฐมีมากมายนับไม่ถ้วน) หลังจากที่ไปต่อสู้ในศึกสงครามก็ over โดยไม่ทันตั้งตัว
ในที่สุดการประลองก็เริ่มขึ้น อู่จย่งเลือกทำเหมือนฉินอี้ นั่นก็คือหลบไปทางด้านข้าง ตั้งท่าป้องกันขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง ทำให้หลิงหลานปวดหัวแล้ว
ส่วนทางด้านฉีหลงก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหาใดเปรียบตั้งแต่เริ่มต้น เดิมทีฉีหลงก็เป็นเด็กที่อาศัยสัญชาตญาณในการต่อสู้ เมื่อเขาได้ยินอาจารย์ที่เป็นกรรมการบอกว่าเริ่มได้ ก็พุ่งเข้าไปทันที…..
…………………………………………………