“คนเก็บหนี้” มีดทหารของหลิงหลานแทงเข้าไปที่หัวใจของลูกน้องหนึ่งในนั้นด้วยความดุดัน เส้นผมของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ อีกครั้ง เมื่อเธอทะยานตัวออกไปพุ่งเข้าใส่อีกคน ก็ไม่ลืมจะทิ้งท้ายประโยคนี้ไว้
ความโหดเหี้ยมของหลิงหลานทำให้บรรดาผู้ร้ายไม่สามารถพะว้าพะวงกับชาวบ้านพวกนั้นได้แล้ว พวกเขาหยิบอาวุธขึ้นมาก่อนจะทยอยกันพุ่งเข้าหาหลิงหลาน เตรียมตัวจะล้อมโจมตีหลิงหลานไว้
“ฉันทำร้ายเขาแล้ว” ทันใดนั้นหนึ่งในผู้ร้ายก็ตะโกนเสียงดัง บนอาวุธของเขายังมีเลือดติดอยู่ แต่นี่ก็เป็นการตะโกนสุดท้ายของเขาเช่นกัน กริชของหลิงหลานปาดลำคอของเขาอย่างไร้ความปรานี
“พยายามมานานขนาดนี้ก็ยังได้รับบาดเจ็บ” หลิงหลานมองไปที่แผลถูกบาดตรงไหล่ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง เลือดกำลังไหลรินช้าๆ เธอไม่ได้ถอยหนีราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เธอกวัดแกว่งอาวุธในมือแทงเข้าไปที่ศัตรูคนต่อไปอย่างเฉียบขาด
เธอไม่ได้เพ้อฝันว่าจะฆ่าเดรัจฉานพวกนี้ให้หมดโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดเดียว…ถึงแม้ว่าเธอเคยคิดจะสำเร็จภารกิจอย่างสมบูรณ์แบบแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นเธอเลยเลือกอดทนตั้งแต่เริ่มแรก แต่ความอดทนแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดแทบบ้า ทุกข์ใจอย่างหาใดเปรียบ แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าอารมณ์ของเธอกลับดีเป็นพิเศษ เธอรู้สึกเพลิดเพลินกับการต่อสู้แบบนี้ กับความรู้สึกที่อิสระเสรีแบบนี้
นี่ค่อยเป็นการต่อสู้ที่ฉันต้องการ! ไม่มีความกดดันและการยับยั้งชั่งใจ สามารถทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำได้ตามใจชอบ!
ใช่แล้ว สิ่งที่ฉันต้องการก็คืออิสระ!
มนุษย์นั้นเข้มแข็งทรงพลัง ขอเพียงมอบโอกาสเอาชีวิตรอดอันน้อยนิดให้ พวกเขาก็สามารถระเบิดพลังไม่ที่อาจจินตนาการออกมาได้ ชาวบ้านที่ถูกจับอยู่ที่นี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
เครื่องมือที่ผู้ร้ายใช้คุกคามก็กลับมาแว้งกัดในที่สุด ความสามารถอันแข็งแกร่งและความโหดร้ายดุดันของหลิงหลานได้ระเบิดความกล้าหาญของพวกเขาออกมา ทุกคนต่างรู้ว่าถ้าหากไม่ขัดขืน สิ่งที่รอคอบพวกเขาก็คื ความตาย และตอนนี้พวกเขามีความหวังที่จะเอาชีวิตรอดแล้วด้วย…
ดังนั้นเพื่อสามีภรรยาและลูก เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้อง และก็เพื่อตัวเอง ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง คนหนุ่มหรือคนแก่ต่างก็หยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับพวกผู้ร้ายที่ทำลายบ้านอันแสนสุขของพวกเขาด้วยชีวิต
การที่คนธรรมดาที่มีค่าพลังยุทธ์ต่ำเหมือนกับชาวบ้านเหล่านี้อยากจะกำจัดผู้ร้ายที่แข็งแกร่งสุดขีดเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก แต่ชาวบ้านกอดความคิดที่ว่าตัดสินชี้ขาดไม่รุ่งก็ร่วง ต่อสู้อย่างสุดชีวิต ถือโอกาสที่จำนวนของชาวบ้านเหล่านี้มีอยู่มากมาย ถ้าหนึ่งคนไม่ได้ก็ไปสองคน ถ้าสองคนยังไม่พอก็ไปสามคน
นี่ไม่ใช่เกมผู้แข็งแกร่งเข่นฆ่าผู้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นการต่อสู้ตะลุมบอนอันน่ากลัว คุณสามารถมองเห็นได้ว่าข้างกายผู้ร้ายที่น่ารังเกียจพวกนั้นมีชาวบ้านตายด้วยกันหนึ่งคน พวกเขาแทบจะพัวพันอยู่ด้วยกัน
นี่ก็คือวิธีการต่อสู้ของชาวบ้าน เรียบง่ายมาก คนเฒ่าคนแก่ทิ้งความหวังที่จะมีอยู่ให้กับคนรุ่นหลัง กอดผู้ร้ายคนหนึ่งเอาไว้ราวกับเอาชีวิตไปทิ้งก็ไม่ปาน ต่อให้หน้าอกเขาถูกผู้ร้ายซัดใส่จนแหลกละเอียดก็ไม่ปล่อยมือไปเช่นกัน จำเป็นต้องพูดว่า ศักยภาพของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด ยามที่คนเฒ่าคนแก่เหล่านี้เผชิญหน้ากับความตาย พละกำลังก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวสุดขีด ทำให้ผู้ร้ายเหล่านี้ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย จากนั้นก็เห็นชาวบ้านคนที่สองพุ่งเข้าไป ตามติดด้วยชาวบ้านคนที่สาม คนที่สี่…จนกระทั่งอีกฝ่ายเสียชีวิต
การป่าเถื่อนหุนหันโดยไม่คาดคิดของชาวบ้านทำให้ผู้ร้ายตกตะลึง จากนั้นผู้ร้ายก็ตายตามไปทีละคน ผู้ร้ายที่เหลืออยู่ต่างก็หวาดกลัวกัน โดยเฉพาะเมื่อหัวหน้าใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาถูกหลิงหลานรัดคอจนตายอย่างสบายๆ พวกเขาก็ข่มกลั้นความตื่นตระหนกภายในใจไม่ได้อีกก่อนจะหนีออกไปนอกหมู่บ้านเหมือนกับสุนัขจรจัดก็ไม่ปาน
ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะทำสุดความสามารถแล้ว ทว่าเธอยังคงทำให้ผู้ร้ายหลบหนีไปได้หลายคน นี่ทำให้เธอผิดหวังอยู่บ้าง เดิมทีเธออยากจะเก็บให้หมด
ถึงแม้ว่าผู้ร้ายต่างเสียชีวิตไปแล้ว แต่หมู่บ้านนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับถูกทำลายแล้ว ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านรอดชีวิตแต่สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนมากคือผู้หญิงกับเด็ก รวมไปถึงชายหนุ่มจำนวนเล็กน้อย คนเฒ่าคนแก่แทบจะเสียชีวิตกันหมด ท่ามกลางการต่อสู้ขัดขืนเมื่อสักครู่นี้
หลิงหลานไม่ได้อ้อยอิ่งมาก เธอคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับอยู่ในหมู่บ้านที่จำเป็นต้องสร้างขึ้นใหม่แห่งนี้ และพวกชาวบ้านยังไม่ได้ตื่นกลับมาจากความโศกเศร้า ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นการจากไปของหลิงหลานเลย
“ผู้มีพระคุณ อย่าไปนะ” เวลานี้เองเด็กหนุ่มที่นำพาชาวบ้านที่พวกเขาช่วยเหลือไว้ก็ตะโกนเสียงดังลั่นและรีบเข้ามา
หลังจากเสียงตะโกนนี้ ชาวบ้านก็เหมือนกับตื่นขึ้นจากความโศกเศร้า พวกเขาล้อมวงเข้ามาอย่างแน่นหนา ทยอยกันขอร้องหลิงหลานว่าอย่าจากพวกเขาไป
หลิงหลานไม่ได้หันกลับไป เธอเพียงแต่ตอบกลับอย่างเฉยชาว่า “ฉันไม่ใช่ผู้มีพระคุณของพวกคุณ”
“ไม่ คุณเป็น ถ้าไม่ใช่เพราะคุณกำจัดผู้ร้ายส่วนใหญ่แล้วละก็ พวกเราไม่มีทางรอดชีวิตต่อไปได้” พวกชาวบ้านย่อมไม่เชื่อคำพูดของหลิงหลานแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหลานลงมือ ต่อให้พวกเขาสู้สุดชีวิตอีกแค่ไหน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ร้ายพวกนั้น
“คุณช่วยพวกเราไว้ พวกเรายินดียอมรับคุณเป็นเจ้านาย” บางทีพวกชาวบ้านอาจจะซื่อสัตย์จริงใจ หรือบางทีพวกเขาอาจจะต้องการการปกป้องคุ้มครองของผู้แข็งแกร่งก็ได้เหมือนกัน ดังนั้นทุกคนจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเด็กหนุ่ม พวกเขายินดีกลายเป็นคนรับใช้ของหลิงหลาน
คำพูดของชาวบ้านทำให้หลิงหลานนึกถึงภาพแผ่นที่สาม ตัวเอกคนนั้นมีลูกน้องนับไม่ถ้วน บางทีที่นี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการที่เขาครอบครองอำนาจ ตามขั้นตอนของภารกิจแล้ว เธอควรจะรับปาก หลังจากนั้นก็เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ของภาพทั้งหกแผ่นของภาพฝาผนัง บางทีเธออาจจะทำภารกิจสำเร็จได้
หลิงหลานเงียบไปครู่หนึ่ง เธอเพิ่งคิดจะเอ่ยปากตอบรับก็พลันนึกถึงเนื้อหาของภารกิจเธอขึ้นมาได้ว่าให้ค้นหาเส้นทางพัฒนาการที่ถูกต้อง ถ้าหากเธอเดินไปตามเนื้อหาภาพฝาผนังทั้งหกแผ่น มันจะถูกต้องจริงๆ เหรอ?
หลิงหลานรู้สึกได้ว่าเธอหาจุดสำคัญพบแล้ว เมื่อเธอพบว่ารอยยิ้มของตัวเอกในแผ่นภาพที่หกนั้นแฝงไปด้วยความหมายที่แตกต่างจากภาพที่หนึ่งโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเธอถึงได้ถูกดูดเข้าไปข้างใน…นี่แปลได้ว่า เส้นทางของราชันมหาอำนาจที่ตัวเอกเดินไปนั้นเป็นเส้นทางที่ผิดพลาดไม่ใช่เหรอ? ดังนั้นจุดสำคัญที่ต้องหาในภารกิจนี้อยู่ที่คำว่า ‘ถูกต้อง’?
หลิงหลานรู้สึกมาตลอดว่าคำตอบอยู่ตรงหน้า เพียงแต่มีกระดาษกั้นอยู่ตรงนั้นหนึ่งชั้น…ยิ่งเธอร้อนใจก็ยิ่งไม่เข้าใจ จนสุดท้ายเธอถึงกับคิดว่าความรู้สึกนึกคิดสับสนวุ่นวายอยู่บ้าง
หลิงหลานนั่งขัดสมาธิตามความเคยชิน โคจรเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกาย หลังจากที่โคจรได้รอบหนึ่ง ความคิดที่สับสนในใจเธอก็อันตรธานหายไป เปลี่ยนเป็นกระจ่างแจ้งขึ้นมา
หลิงหลานหวนนึกถึงคำถามเมื่อสักครู่นี้อีกครั้ง คราวนี้เธอเริ่มใคร่ครวญจากจุดเริ่มต้น ตอนแรกเป็นเพราะเธอเห็นรอยยิ้มของภาพที่หนึ่งกับภาพที่หกไม่เหมือนกัน….
รอยยิ้มบนภาพแรกเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ บริสุทธิ์ และก็กระตือรือร้น แต่รอยยิ้มบนภาพสุดท้ายกลับเปลี่ยนเป็นจอมปลอม เจ้าเล่ห์ ยิ่งไปกว่านั้นยังดูเย็นชา นี่ก็แสดงให้เห็นว่าตัวเอกได้ผ่านประสบการณ์นี้ เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่จิตใจดีงามบริสุทธิ์คนหนึ่งให้กลายเป็นราชาจอมเสแสร้งชั่วช้า เขาเติบโตขึ้นขณะเดียวกันก็สูญเสียความบริสุทธิ์จริงใจของเขาไป…
เส้นทางพัฒนาการที่ถูกต้อง? หลิงหลานรู้แจ้งขึ้นมาแวบหนึ่ง จู่ๆ เธอก็นึกได้ว่ามิติการเรียนรู้คิดว่าการที่ตัวเอกเลือกกลายเป็นราชาคือความผิดพลาดหรือเปล่า?
ไม่ ไม่ ไม่….หลิงหลานรู้สึกว่าการคาดเดานี้มีปัญหาอยู่บ้าง บางทีมันอาจจะยังมีความหมายแฝงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้อยู่….หลิงหลานคิดถึงภาพฝาผนังนับไม่ถ้วนที่เธอเห็นในทางเดิน ถึงแม้ว่าสภาพจะแตกต่างกัน เนื้อหาไม่เหมือนกัน แต่มีบางอย่างที่เหมือนกัน นั่นก็คือตัวเอกต่างเป็นผู้แข็งแกร่งในด้านใดด้านหนึ่ง
นี่สอดคล้องกับความหมายการดำรงอยู่ของมิติการเรียนรู้ อบรมบ่มเพาะโฮสต์ให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งคือภารกิจเพียงหนึ่งเดียวของมิติการเรียนรู้ ดังนั้น ไม่ว่าโฮสต์จะเลือกเส้นทางอำนาจของผู้แข็งแกร่งแบบใด มิติการเรียนรู้ก็ไม่สามารถขัดขวางได้ ถึงขนาดที่ชื่นชอบและยินดีเห็น ดังนั้นตัวเอกในภาพฝาผนังอยากกลายเป็นราชาที่แผ่ขยายอาณาเขตก็ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าปัญหานี้อยู่ที่สภาพจิตใจ สิ่งที่มิติการเรียนรู้ดูถูกติเตียนก็คือการสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองใช่ไหม?
หลิงหลานคิดถึงตรงนี้ก็เหมือนกับเปิดประตูที่เดิมทีปิดสนิทไว้ นำแสงสว่างมาให้ จุดที่รู้สึกสับสบงุนงงก่อนหน้านี้ต่างมีคำตอบแล้ว
หลิงหลานเอ่ยในใจว่า ‘ถึงแม้ตัวเอกจะกลายเป็นราชา แต่เขากลับสูญเสียความบริสุทธิ์จริงใจและความเร่าร้อนกระตือรือร้นในตอนแรก สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป มีความเป็นไปได้สูงว่าภารกิจคราวนี้มีขึ้นเพื่อทำให้ฉันเข้าใจตัวตนที่แท้จริง ความคิดที่แท้จริงของฉันคืออะไร…
ฉันอยากมีร่างกายที่แข็งแรง ฉันอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ฉันอยากทำเรื่องที่ฉันอยากทำตามใจชอบ ไม่อยากเห็นแผนการร้าย ไม่อยากถูกคนควบคุม คบหาเพื่อนสนิทหลายคน เลี้ยงเด็กที่ยอดเยี่ยม ใช่แล้ว ฉันเกลียดปัญหา ฉันไม่อยากถูกผูกมัด…’
หลิงหลานลืมตาขึ้นฉับพลัน เธอยืนขึ้นเอ่ยกับเด็กหนุ่มที่กำลังเฝ้ารออยู่ข้างกายด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า “ฉันขอปฏิเสธ!”
“ทำไมล่ะ?” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดังด้วยความเสียใจ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเผยแววตาเคียดแค้นออกมา
“โชคชะตาของพวกนายอยู่ในมือของพวกนายเอง เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?” หลิงหลานเอ่ยอย่างเย็นชา คำพูดพวกนี้เป็นเสียงหัวใจของเธอ “ทำไมต้องให้ฉันรับพวกนาย? ทำไมต้องให้ฉันแบกรับภาระหน้าที่ของพวกนายด้วย? ไม่มีใครบีบบังคับให้ฉันทำสิ่งที่ฉันไม่อยากทำได้ ไม่มีใครทั้งนั้น”
“งั้นคุณช่วยพวกเราทำไม? ไม่สู้ปล่อยให้พวกเราตายอยู่ในเงื้อมมือคนพวกนั้นจะดีกว่า” เด็กหนุ่มร้องไห้ ชาวบ้านทุกคนต่างก็ร้องไห้ ขนาดท้องฟ้าก็มีฝนตกลงมาราวกับไม่พอใจความเย็นชาไร้นำใจของหลิงหลาน
“จะช่วยหรือไม่ช่วยก็อยู่ที่ฉัน จะตายหรือไม่ตายก็อยู่ที่ตัวพวกนายเอง…” หลิงหลานทิ้งคำพูดประโยคนี้ก็หันกายเดินไปโดยไม่อาลัยอาวรณ์เลยสักนิดเดียว
หลิงหลานทำการเลือกของเธอในชั่วพริบตา เธออยากจะเป็นคนที่มีอิสระในจิตใจ ทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำ ไม่ใช่ทำเพื่อความดีความชั่วในสายตาชาวโลกจนไปควบคุมการกระทำของตัวเอง
หลิงหลานค่อยๆ ออกห่างจากหมู่บ้านที่นองเลือดแห่งนั้น ก่อนจะมาถึงด้านบนเนินเขาดินเหลืองที่รกร้างว่างเปล่า หลิงหลานไม่รู้ว่าการเลือกนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่เธอไม่รู้สึกเสียใจภายหลังเลย ตรงกันข้ามในใจกลับผ่อนคลาย เนื่องจากภารกิจคราวนี้ทำให้เธอคิดเส้นทางที่ตัวเองอยากไปได้ชัดเจนแล้ว เพื่อที่จะไม่ถูกผูกมัดควบคุม เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี เพื่อที่จะสามารถให้กำเนิดเด็กที่ยอดเยี่ยมแน่นอน เธอจำเป็นต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!
ในขณะที่หลิงหลานอยากจะตะโกนเสียงดังระบายความกลัดกลุ้มในใจ ทันใดนั้นเบื้องหน้าเธอก็ปรากฏวังวงสีดำอีกครั้ง ดูดเธอเข้าไปในชั่วพริบตา
เชี่ย มาอีกแล้ว! หลิงหลานมีโอกาสพูดแค่ประโยคนี้เท่านั้นก็ถูกวังวนสีดำกลืนกินไปจนหมด
บนที่ราบสูงดินเหลืองกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ราวกับว่าหลิงหลานไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน
….
หมายเลขหนึ่งนั่งใคร่ครวญอยู่ในมิติของเขา ในเวลานี้เองใจเขาก็กระตุกขึ้นหลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปในชั่วพริบตา ในขณะเดียวกันหมายเลขห้ากับหมายเลขเก้าก็ทำหน้าตื่นเต้นยินดี ทยอยกันหายตัวไปในมิติของตัวเอง ทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตูทดสอบวิถี
ไม่นาน เบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏวังวนสีดำขึ้น หลังจากนั้นร่างเล็กก็ตกลงมาจากข้างในฉับพลัน
หลิงหลานเปลี่ยนท่วงท่ากลางอากาศโดยไม่ตื่นตระหนก ก่อนจะลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
“หลิงหลาน ยินดีด้วยที่เธอผ่าน” อาจารย์หมายเลขหนึ่งกล่าวอย่างเย็นเยียบ
หมายเลขห้ากับหมายเลขเก้าสบตากันแวบหนึ่ง มุมปากของแต่ละคนเผยรอยยิ้มเข้าใจเล็กน้อย ความรู้สึกของหมายเลขหนึ่งไม่ได้เยือกเย็นอย่างที่เขาแสดงออกขนาดนั้น
……………………………………