หลิงหลานทำความเคารพตามมาตรฐานของลูกเสือทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันหลังเดินกลับไป เธอเอ่ยกับพวกลูกเสือห้องเอที่ทำหน้างุนงงเหล่านั้นว่า “การประลองจบแล้ว พวกเรากลับ”
เหล่าลูกเสือห้องเอมองหน้ากันเอง ไม่รู้ว่าการประลองของหลิงหลานแพ้หรือชนะ ถึงแม้ว่าครูฝึกของยานคนนั้นบอกว่าเขาแพ้แล้ว แต่ว่าในสถานการณ์นั้นดูไม่ออกเลย นอกจากนี้หลิงหลานเองก็ไม่ได้สีหน้าตื่นเต้นออกมา หรือว่านี่เป็นแค่การออมมือ ไว้หน้าลูกเสืออย่างพวกเขานิดหน่อย?
“คิดอะไรอยู่? พวกเรายังด้อยกว่ามาก กลับไปแล้วต้องพยายามให้ดีล่ะ” คำพูดเย็นชาของหลิงหลานทำให้นักเรียนห้องเอตระหนักขึ้นได้ทันที ดูท่าอีกฝ่ายจะไว้หน้าให้พวกเขาบ้างจริงๆ
พวกลูกเสือห้องเอค่อยๆ ออกจากห้องประลองภายใต้การนำของหลิงหลาน ส่วนพวกลูกเรือของยานก็เริ่มรวมตัวกันที่ข้างกายครูฝึก
พวกลูกเรือที่มีความสามารถในระดับหนึ่งต่างทำหน้าตะลึงงัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจเชื่อว่าเด็กคนหนึ่งจะมีความสามารถทัดเทียมกับครูฝึกพวกเขาได้ แน่นอนว่ามีลูกเรือบางคนที่ไม่มีความสามารถอะไรรู้สึกไม่พอใจมาก เอ่ยปากถามด้วยความเย็นชาว่า “ครูฝึก ทำไมถึงไว้หน้าเขา ไม่สั่งสอนอีกฝ่ายให้ดีๆ ละครับ? เขาทำร้าย L15 ของพวกเรานะ”
“ไว้หน้า? ใช่ ไว้หน้าแล้ว แต่ว่าเป็นเขาที่ไว้หน้าฉัน” ครูฝึกเอ่ยพลางยิ้มหยันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีมาก “เจ้าพวกโง่ไม่มีตา ทุกคนไปกักตัวหนึ่งวันให้หมด!” ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะ แต่พอถูกคนทักขึ้นมาอีก ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เหมือนกัน
บทลงโทษของครูฝึกทำให้ลูกเรือทุกคนที่รวมตัวกันตรงนี้ร้องระงมขึ้นมา โดยเฉพาะพวกลูกเรือที่ไม่ได้พูดอะไรนั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมมาก พวกเขากล้าแค่เพียงใช้สายตาเชือดเฉือนมองไปยังคนโง่พวกนั้น แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก เนื่องจากพวกเขาเข้าใจครูฝึกดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ใครกล้าขอร้อง บทลงโทษก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
พวกลูกเรือเดินเข้าไปในห้องกักตัวโดยเฉพาะของยาน จากนั้นก็พบว่าครูฝึกตามหลังมาติดๆ มีลูกเรือคนหนึ่งเอ่ยเอาใจว่า “ครูฝึก ไม่จำเป็นต้องคุมหรอกครับ พวกเราจะไปห้องกักตัวเอง”
“ไม่ได้คุมพวกนาย แต่ว่าฉันเองก็จะกักตัวเจ็ดวันเหมือนกัน” ครูฝึกตอบอย่างเย็นชา
“ทำไมละครับ?” ลูกเรือเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ทำผิดก็ต้องรับการลงโทษ ฉันทำผิดก็ต้องเป็นแบบนี้เหมือนกัน” ครูฝึกทิ้งท้ายประโยคนี้ไว้ก็เข้าไปในห้องกักตัว ปล่อยให้บรรดาลูกเรือมองหน้ากันเอง ไม่รู้ว่าครูฝึกทำความผิดอะไรกันแน่….
…………..
หลังจากที่ครูฝึกออกมาอีกครั้ง ใบหน้าสงบนิ่งนั้นทำให้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า ความสามารถของครูฝึกเพิ่มขึ้นอีกแล้ว แรงกดดันที่แสดงออกมาแต่เดิมนั้น บัดนี้ถูกเก็บไปจนแทบจะตรวจจับไม่เจอ ถ้าหากเขาไม่ลงมือก็คงจะมองข้ามตัวตนของเขาได้ง่ายๆ
ถูกต้อง หลังจากที่ครูฝึกกักตัวไปเจ็ดวัน ในที่สุดเขาก็เลื่อนระดับจากพลังปราณตอนกลางเข้าสู่ขอบเขตพลังปราณตอนปลาย ส่วนจะเข้าสู่จุดสูงสุดของพลังปราณถึงขนาดที่บรรลุได้โดยสมบูรณ์หรือไม่นั้น ก็ต้องดูจังหวะวาสนาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะรู้แจ้งฉับพลันหรือเปล่า
เหล่าเหลียนเคยถามครูฝึกว่าครั้งนี้เขาทะลวงจุดคอขวดได้อย่างไร ควรรู้ไว้ว่าเมื่อเข้าสู่ระดับขัดเกลาแล้ว การเลื่อนขั้นแต่ละครั้งต่างต้องอาศัยจังหวะและโอกาส ครูฝึกตอบว่า นี่เป็นเพราะการต่อสู้ของเขากับหลิงหลานในครั้งนั้น แรงกดดันของพลังอีกฝ่ายทำให้เขาที่เดิมทีอยู่ในสภาวะติดชะงักสัมผัสถึงความเป็นไปได้ในการทะลวงจุดคอขวดอีกครั้ง นี่เป็นโอกาสของเขา และเขาก็โชคดีคว้าไว้ได้
ครูฝึกยังมีคำพูดอีกประโยคที่ไม่ได้กล่าวออกไป นั่นก็คือเขาสงสัยว่าการต่อสู้ครั้งนี้หลิงหลานจงใจช่วยเหลือเขา ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าความสามารถของหลิงหลานจะไปถึงช่วงกลางค่อนไปทางปลายของพลังปราณแล้ว ครูฝึกไม่กล้าคิดลึก ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เขารู้สึกว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเขาเป็นคนโง่กันทั้งนั้น กระทั่งเด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งก็สู้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจตัวเองลึกๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าหลิงหลานจะจงใจหรือว่าบังเอิญ เขาก็จดจำน้ำใจนี้เอาไว้ในใจแล้ว
…………
เนื่องจากการแข่งขันประลองของยานอวกาศในครั้งนี้ทำให้ลูกเสือกับลูกเรือสนิทสนมกันขึ้นมา บางครั้งถ้าเกิดการไม่พอใจ ทั้งสองฝ่ายก็จะโต้เถียงกัน ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเถียงสู้ไม่ได้ ก็จะม้วนแขนเสื้อขอต่อสู้กันสักยก แน่นอนว่าไม่มีคนคัดค้านอยู่แล้ว เป็นแบบนี้ไปๆ มาๆ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากพวกคนที่จิตใจคับแคบเป็นพิเศษในหมู่ลูกเรือแล้ว ลูกเรือส่วนใหญ่ต่างก็เอ็นดูพวกลูกเสือมากขึ้น
ฉีหลงต่อสู้กับ L13 กัปตันทีมจินหลินอยู่เป็นประจำ การต่อสู้ทุกครั้งต่างดุเดือดรุนแรง เริ่มแรกยังมีลูกเรือกับลูกเสือให้กำลังใจเพื่อนตัวเองอยู่ แต่ว่าต่อมาก็ค่อยๆ พากันเมินพวกเขาไป เนื่องจากสองคนนี้ต่อสู้กันแบบทรมานตัวเอง ไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะ จะต้องต่อสู้จนเหนื่อยสายตัวแทบขาดให้ได้ หลังจากที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแล้วถึงค่อยคลานออกมาจากห้องประลองด้วยความยากลำบาก
ทั้งสองฝ่ายค่อยๆ คุ้นเคยรูปแบบการทรมานตนเองของคนทั้งคู่ สุดท้ายก็ไม่มีใครสนใจให้กำลังใจพวกเขาอีก
อย่างไรก็ตาม ผลจากการการเคี่ยวกรำตนเองของทั้งสองคนก็ไม่เลวนัก หลิงหลานสัมผัสได้ชัดเจนว่าการต่อสู้ของฉีหลงมีพลังของระดับขัดเกลามากขึ้นเรื่อยๆ การทะลวงจุดคอขวดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ขาดเพียงตัวเร่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ในขณะเดียวกันช่วงเวลาที่ L13 ที่ต่อสู้เป็นเพื่อนฉีหลงนี้ก็ไม่ได้ไร้ค่าเช่นกัน ตรงกันข้ามกับฉีหลงที่ยังหาตัวเร่งทะลวงจุดคอขวด เขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับขัดเกลาก็บรรลุเข้าสู่ขอบเขตระดับขัดเกลาโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่ระดับขัดเกลาปลอมๆ เหมือนในตอนที่เพิ่งเริ่มประลองกับฉีหลง
หลิงหลานย่อมรู้ว่าบนยานลำนี้มีอยู่คนหนึ่งที่เกลียดชังเธอมาก นั่นก็คือ L15 ที่ถูกเธอบีบข้อมือจนหัก หลิงหลานเป็นคนระมัดระวังตัว ดังนั้นเธอจึงให้เสี่ยวซื่อจับตาดูอีกฝ่ายทั่วทุกที่อยู่ตลอดเวลา ไม่นึกเลยว่านี่จะทำให้เสี่ยวซื่อค้นพบว่า L15 ไม่ได้เคารพ L13 ขนาดนั้น ในตอนที่เขารู้ว่าความสามารถของ L13 เพิ่มสูงขึ้น ก็ส่งสายตาอิจฉาแค้นเคืองออกมาเล็กน้อยก่อนในตอนที่ไม่มีคนสังเกตเห็น ถึงแม้ว่าแววตานี้แทบจะปรากฏขึ้นมาวูบเดียวแล้วก็กลับคืนสู่ใบหน้าขัดเขินไม่มีพิษมีภัยที่ยิ้มแย้มอวยพรให้อีกฝ่ายทันที แต่เสี่ยวซื่อคือตัวตนระดับไหนกัน? เครื่องมือการโกงระดับสุดยอดที่จับตามองทั่วทุกด้าน 360 องศาไม่มีมุมอับ ไม่มีใครสามารถหนีดวงตาของเขาพ้น นอกเสียจากเสี่ยวซื่อจะไม่สนใจคนๆ นี้เอง
เมื่อเสี่ยวซื่อบอกสิ่งที่เขาเจอให้หลิงหลานฟัง หลิงหลานก็ทอดถอนใจลึกๆ อีกครั้ง เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ คนที่ชอบยิ้มต่างก็ไม่ใช่คนดี ท้องพวกเขาเต็มไปด้วยแผนการน่ารังเกียจ ตั้งแต่นั้นมาหลิงหลานยิ่งไม่ชอบคนที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าทำเรื่องอะไรต่างก็รัดกุม มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนดีแบบนั้น หลิงหลานคิดว่าคนแบบนี้ต้องมีเจตนาแอบแฝงอยู่แน่นอน เธอจะต้องระมัดะวังเข้าไว้
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปท่ามกลางการวิวาทกันเช่นนี้เอง ถึงแม้ว่าในใจ L15 จะมีความรู้สึกอิจฉาแค้นเคืองต่างๆ นานา อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นว่าไม่สามารถจัดการกับพวกหลิงหลาน ก็ได้แต่ทำตัวดีๆ ไม่ได้ทำอะไรโง่เง่ามาทำร้ายพวกเธอ
อาทิตย์นี้ยานอวกาศได้ผ่านการกระโดดข้ามมิติมาแล้วหลายครั้ง ก่อนจะมาถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขาโดยสวัสดิภาพ ซึ่งก็คือดาวดึกดำบรรพ์ที่พวกเขาประกาศต่อคนภายนอกว่าเป็นดาวอนารยะแห่งนี้นี่เอง
หลังจากการกระโดดข้ามมิติครั้งสุดท้าย อุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือของพวกหลิงหลานก็สูญเสียฟังก์ชั่นระบุตำแหน่งไป จากคำประกาศของทางยานอวกาศบอกว่า นี่เป็นเพราะพื้นที่แห่งนี้เป็นเขตที่ขั้วแม่เหล็กปั่นป่วน ดังนั้นระบบระบุตำแหน่งบนอุปกรณ์สื่อสารจึงได้รับผลกระทบ สูญเสียฟังก์ชั่นนี้ไป แต่ว่าบนยานยังมีระบบนำร่องที่ล้ำสมัย ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าพวกเขาจะหลงทางไปโดยสิ้นเชิง
หลิงหลานย่อมรู้ดีว่านี่เป็นเพียงคำลวงของทางยานอวกาศเท่านั้น เพราะเสี่ยวซื่อบอกเธอว่า พวกเขาเข้าสู่เขตดาวที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่งแล้ว เป็นสถานที่ที่ไม่เคยระบุพิกัดลงในแผนที่ดวงดาวของสหพันธรัฐมาก่อน
“เป็นฐานที่มั่นลับอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย ดาวที่พวกเราจะไปน่าจะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เราจินตนาการไว้ขนาดนั้น” หลิงหลานลอบตื่นตัวขึ้นมา
ยานอวกาศบินเข้าไปในชั้นบรรยากาศของดาวดึกดำบรรพ์แห่งนี้ พวกหลิงหลานรัดเข็มขัดนิรภัยภายใต้การแจ้งเตือนของยานอวกาศไว้นานแล้ว
หลังจากที่ยานอวกาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดมันก็สงบนิ่งลง หลิงหลานรู้ว่าพวกเขาผ่านชั้นบรรยากาศของดวงดาวได้สำเร็จแล้ว น่าจะถึงจุดหมายในอีกไม่ช้า ผ่านไปสักพักก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ทางยานอวกาศแจ้งพวกเขาให้เก็บของลงจากยานได้แล้ว
เมื่อพวกหลิงหลานสะพายกระเป๋าหยิบสัมภาระของตัวเองเดินออกจากประตูยาน พวกเธอก็ตกตะลึงไปกับฉากตรงหน้า เนื่องจากพวกเขาพบว่าใต้เท้าของพวกเขาก็คือเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่แท้ยานอวกาศก็จอดลงบนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเล็ก สหพันธรัฐใช้วิธีการทางเทคโนโลยีขั้นสูงผ่ากลางยอดเขาแห่งนี้จนเป็นลานขนาดใหญ่หลายหมื่นตาราง ทำให้ยานอวกาศลงจอดได้อย่างมั่นคง
บนลานมีทหารสวมชุดเครื่องแบบทหารมากมายกำลังสั่งเหล่าลูกเสือที่ลงจากยานให้ต่อแถวนั่งรถกระเช้าบนยอดเขาลงไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ตรงตีนเขา
เมื่อลงมาถึงเชิงเขา หลิงหลานก็เห็นสภาพชัดเจนของเมืองน้อยๆ ได้ในที่สุด เมืองเล็กๆ แห่งนี้ดูธรรมดาโกโรโกโสมาก บ้านเรือนต่ำเตี้ย หน้าตาเหมือนกับบ้านพักค่ายทหารในชาติที่แล้วของหลิงหลานมากๆ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือบริเวณรอบนอกสุดไม่ใช่กำแพงเมืองหนาแน่น หากแต่เป็นรั้วที่ตั้งสูงสุดขีด เป็นเพราะว่าไม่มีอันตรายหรือไง? ถึงได้จงใจล้อมรั้วไว้เท่านั้น?
บนเชิงเขามีทหารคอยรับพวกเธออยู่เหมือนกัน พวกเขารับลูกเสือห้าสิบคนนี้เข้าไปในค่ายที่ว่างอยู่แห่งหนึ่ง เวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงโครมครามดังเสียดหูจากบริเวณที่ไม่ไกลจากค่ายพัก พวกหลิงหลานมองไปก็เห็นสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ราวกับช้างกำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
หลิงหลานถอดกระเป๋าเป้ลงมาอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในกระเป๋าด้านนอกกระเป๋าเป้และคว้ามีดสั้นอัลตร้าอัลลอยด์ เมื่อเกิดอันตรายขึ้น เธอก็สามารถถือมีดคมกริบฆ่าสัตว์ได้ทันที ส่วนพวกฉีหลง อู่จย่ง หลี่อิงเจี๋ย ลั่วล่างและเยี่ยซวี่มีปฏิกิริยาตอบสนองด้อยกว่าหลิงหลานเล็กน้อย พวกเขาแทบจะเตรียมการโจมตีออกมาพร้อมกัน บางทีอาจเป็นเพราะพวกหลิงหลานรับมืออย่างเยือกเย็น ทำให้ลูกเสือคนอื่นๆ ไม่ได้เกิดอาการลนลานขวัญหนีดีฝ่อแม้ว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองค่อนข้างช้าก็ตาม ผ่านไปอีกหลายวินาที พวกเขาก็ทำการเตรียมตัวต่อสู้เสร็จ
……………
ผู้บัญชาการค่ายทหารที่เฝ้าสังเกตการณ์พวกเขาอย่างลับๆ ผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ “ลูกเสือที่มาคราวนี้ดีกว่าปีที่แล้วมากเลย คุณสมบัติทางด้านจิตใจไม่เลวเลย โดยเฉพาะคนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุดคนนั้น ไม่ด้อยไปกว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเราเท่าไหร่เลย”
เจ้าหน้าที่พลเรือนที่ดูเหมือนเสนาธิการข้างกายยิ้มกริ่มพลางเอ่ยว่า “ได้ยินกัปตันเฟยฉยงบอกว่า ลูกเสือพวกนี้ไม่เลวเอามากๆ มีหลายคนถึงขั้นเป็นปีศาจอัจฉริยะเลยครับ”
“อย่าไปฟังหมอนั่นพูดมั่วๆ เลย ในสายตาเขาขอแค่มีพรสวรรค์หน่อยก็กลายเป็นปีศาจอัจฉริยะกันหมดแล้ว สายตาแย่นิดหน่อยจริงๆ” ผู้บัญชาการค่ายทหารเบ้ปากเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน
เสนาธิการได้ยินหัวหน้ากล่าวแบบนี้ก็ยิ้มและไม่ได้เอ่ยต่อไป อันที่จริงเขารู้สึกว่าสายตาตอนที่กัปตันเฟยฉยงฮ่าวพูดนั้นไม่เหมือนกับแต่ก่อน ดูผิดปกติอยู่บ้าง มันมีความอิจฉาขุ่นเคืองอยู่ข้างใน….
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหัวหน้าไม่ชอบหัวข้อสนทนานี้ เขาก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก จะได้ไม่ทำให้หัวหน้าขุ่นเคืองใจ ใครใช้ให้หัวหน้ากับกัปตันเฟยฉยงฮ่าวไม่ถูกกันล่ะ
……….
เวลานี้เอง ภายในเฟยฉยงฮ่าวที่บินขึ้นไปแล้วนั้น เหล่าเหลียนที่อยู่ในห้องกัปตันหัวเราะขึ้นมาอย่างชั่วร้าย “สืออวิ๋นเฟย ฉันไม่บอกความจริงของเด็กพวกนี้ให้นายหรอก นายจะสังเกตเห็นความร้ายกาจนั้นได้ไหมก็ต้องดูโชคของนายแล้ว” เขาไม่สนใจที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มของศัตรูเก่าหรอกนะ
…………………………………..
Related