ใบหน้าของลั่วล่างขึ้นสีแดงก่ำเนื่องจากคำถามอันน่าตกใจของหลิงหลาน ถ้าหากเป็นคนอื่นถามแบบนี้ละก็ เขาจะต้องกำหมัดต่อยมันแน่นอน แต่หลิงหลานคือลูกพี่หลานที่เขาเคารพรักมากที่สุด นับถือมากที่สุดนะ นอกจากนี้เขาก็สู้ไม่ไหวด้วย…
ลั่วล่างที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีก็ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความจนปัญญา สีหน้างุนงงสับสนยิ่งเพิ่มความอ่อนแอขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้คนรู้สึกรักและสงสาร และก็ทำให้ในใจหลิงหลานคร่ำครวญหนักมากขึ้น ‘ฮือๆๆ…ตัวตนของหมอนี่มีไว้เพื่อทิ่มแทงแน่นอน นี่จะให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไงดี’
คำถามของหลิงหลานทำให้เซี่ยอี๋ที่อยู่ด้านข้างอดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ ลั่วล่างที่หาแพะรับบาปให้เขาระบายโทสะเจอในที่สุดก็แผดเสียงคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วกระโจนเข้าไปหาเซี่ยอี๋ทันใด จากนั้นก็เปิดฉากต่อสู้ยกใหญ่ขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตอนหไม่มีใครยินดีไปสนใจพวกเขาสองคนเลย กระทั่งหานจี้จวินคอยยับยั้งพวกเขามาตลอด เวลานี้ก็ไม่มีความคิดที่จะไปสนใจพวกเขาเช่นกัน
“ลูกพี่หลาน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!” หานจี้จวินที่ฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นจ้องมองหลิงหลานที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลืมตัวเสียกิริยาเหมือนกับคนอื่นๆ แต่อารมณ์เคร่งขรึมที่อยู่บนดวงหน้าแต่เดิมนั้นได้หายไปแล้ว สีหน้าที่เผยออกมามีแต่ความตื่นเต้นยินดีทั้งนั้น
หลิงหลานกอดหานจี้จวินทันทีก่อนจะตบหลังเขาแรงๆ พลางกล่าวว่า “จี้จวิน สามปีมานี้ลำบากนายแล้วนะ”
การที่ทีมฉีหลงสามารถยึดตำแหน่งเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันได้อย่างมั่นคงย่อมขาดการออกอุบายวางแผนชองหานจี้จวินไม่ได้เด็ดขาด ควรรู้ไว้ว่าทีมอู่จย่งกับทีมหลี่อิงเจี๋ยต่างก็เป็นทีมที่แข็งแกร่งสุดยอด คอยจ้องบัลลังก์ของทีมฉีหลงซึ่งเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างตาเป็นมันมาตลอด
ความจริงแล้ว ความสามารถของสองทีมนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าทีมฉีหลงตรงไหนเลย ถึงขนาดที่กล่าวได้ว่าพวกเขายังเหนือกว่าเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาต่างเป็นทีมที่มีสมาชิกเต็มจำนวน ส่วนทีมฉีหลงกลับต้องต่อสู้ห้าคนเสมอเนื่องจากขาดหลิงหลานไป การที่พวกเขาซึ่งเป็นทีมไม่สมบูรณ์พร้อมอยากจะรักษาตำแหน่งทีมที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้นั้น หานจี้จวินได้ลงหยาดเหงื่อแรงงานเอาไว้ พูดได้ว่าสิ้นเปลืองความคิดอย่างสุดความสามารถ ถ้าหากไม่มีหานจี้จวินละก็ ต่อให้ฉีหลงแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหนก็ยากจะต้านทานการเวียนท้าประลองของทั้งสองทีมเช่นกัน
ความหมายในคำพูดของหลิงหลานแทบจะทำให้หานจี้จวินหลั่งน้ำตาด้วยความหวั่นไหว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในสามปีมานี้ หลิงหลานต่างรู้ทั้งหมด ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของคำพูดที่ว่านักรบยอมตายเพื่อเพื่อนรู้ใจแล้ว เขามีลูกพี่อย่างหลิงหลานก็เป็นโชคดีของเขาแล้ว
หลิงหลานปล่อยหานจี้จวิน จากนั้นก็เบนสายตาไปที่หลินจงชิง เธอเดินขึ้นไปข้างหน้าก่อนจะใช่ไหล่แตะอีกฝ่ายเล็กน้อย การกระทำที่เรียกได้ว่าเป็นการทักทายแบบเพื่อนสนิทเช่นนี้ทำให้ในใจหลินจงชิงรู้สึกประหลาดใจแกมยินดี นี่หมายความว่าลูกพี่หลานยอมรับเขาด้วยใจจริง เห็นเขาเป็นพี่น้องระดับเดียวกับพวกฉีหลงแล้วใช่ไหม? เขาอดใจไม่ไหวเอ่ยด้วยความตื่นเต้นออกมาว่า “ลูกพี่หลาน…”
“อื้อ!” มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มจางสุดขีด แต่หลินจงชิงยังคงมองเห็น มันบอกหลินจงชิงว่า สิ่งที่เขาคิดเอาไว้นั้นไม่ผิดเลย
หลิงหลานทักทายฉีหลง หานจี้จวินและหลินจงชิงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็มองไปยังสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ด้านข้าง หลิงหลานเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “หมอนั่นก็คือเซี่ยอี๋เหรอ?” หลิงหลานจำได้ว่าก่อนที่เธอจะออกจากสถาบัน ฉีหลงเคยบอกไว้ว่าจะรับนักเรียนที่ชื่อเซี่ยอี๋เข้าร่วมทีม และหมอนั่นก็เป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องบีซึ่งเธอบังเอิญค้นพบในการต่อสู้ประจัญบาน
ฉีหลงผงกศีรษะกล่าวว่า “ใช่แล้ว เขาไม่เลวมากๆ ยินดีฝึกฝนอย่างหนักด้วยกันกับพวกเรา อีกนิดเดียวเขาก็จะเข้าสู่ระดับของนักรบหุ่นรบชั้นสูงเหมือนกับพวกเราได้แล้ว”
แววตาของหลิงหลานเปล่งประกาย “ดูเหมือว่าพวกนายจะเข้ากันได้ไม่เลวเลยนะ”
“อื้อ หมอนี่หน้าหนามากๆ เลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ทั้งนั้น พวกเราทุกคนรับมือไม่ไหวแล้ว” หลินจงชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่น เขาคิดว่าตัวเองไม่สะทกสะท้านเวลาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ใดๆ แล้วนะ หนังหน้าเขาก็หนาพอ แต่เมื่อเทียบกับเซี่ยอี๋แล้ว เขาเป็นเด็กน้อยจริงๆ การกระทำต่างๆ ของเซี่ยอี๋ทำให้เขาได้รู้ว่าอะไรถึงจะเรียกว่าหน้าด้านที่แท้จริง เขาไร้ยางอายอย่างไม่มีขีดจำกัดล่างแล้ว
คำพูดของหลินจงชิงได้รับการเห็นพ้องจากฉีหลงและหานจี้จวิน พวกเขาคิดเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่ว่าเซี่ยอี๋คนนี้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน เขาก็สามารถยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไปได้….
หลิงหลานได้ยินคำวิจารณ์ของพวกฉีหลงที่มีต่อเซี่ยอี๋แล้วก็จ้องมองไปที่เซี่ยอี๋อย่างใคร่ครวญแวบหนึ่ง บางทีเขาอาจจะเติมเต็มจุดอ่อนของทีมฉีหลงได้ แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกสุดคือเซี่ยอี๋ต้องรู้ว่าเขาควรทำอะไร
หลิงหลานเอ่ยถามอีกว่า “นี่พวกเขาจะสู้กันจนถึงเมื่อไหร่?”
“สู้จนกว่าลั่นล่างเหนื่อยแล้ว” หลินจงชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม พวกเขาต่างรู้ว่าคนที่อยากสู้จริงๆ คือลั่วล่าง เซี่ยอี๋แค่รับมือจากการถูกกระทำเท่านั้น ดังนั้นเมื่อลั่วล่างไม่อยากสู้แล้ว การต่อสู้นี้ก็จะสิ้นสุดลง
“งั้นก็ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว” หลิงหลานกล่าวจบก็ก้าวเท้าเดินตรงไปที่หน้าประตูสถาบัน ตอนที่เธอออกเดินทางก็คำนวณเวลาออกจากบ้านเอาไว้แล้ว เธอไม่อยากไปสายจนส่งผลกระทบต่อการประเมินผลสุดท้ายของเธอ ถึงแม้ว่าเธอไม่อยากเข้าโรงเรียนทหารที่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่อยากเรียนที่สถาบันอื่นหรอกนะ
เมื่อเห็นหลิงหลานเดินไปแล้ว ฉีหลง หานจี้จวินและหลินจงชิงทั้งสามคนก็ทิ้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่โดยไม่ลังเล เดินตามหลิงหลานเข้าไปในประตูของสถาบัน
เซี่ยอี๋ที่สังเกตการเคลื่อนไหวของหลิงหลานมาตลอดเห็นหลิงหลานเดินเข้าไปในประตูแล้วก็รีบตะโกนว่า “ลั่วล่าง ลูกพี่หลานเข้าไปในสถาบันแล้วนะ”
“ฮะ…” ลั่วล่างที่ต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อมากไม่ได้สังเกตเรื่องนี้เลย เขารีบหยุดมือเท้า เมื่อเห็นภาพด้านหลังของพวกหลิงหลานที่เดินเข้าไปในประตูของสถาบันก็รีบร้อนตะโกนว่า “ลูกพี่ รอฉันด้วย!” เขาวิ่งเข้าไปในสถาบันด้วยความร้อนใจ ทิ้งเซี่ยอี๋ที่ต่อสู้กับเขาไว้ด้านข้างทันที
“ไม่มีน้ำใจเลยจริงๆ!” เซี่ยอี๋กล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝืนอดทนไม่ไหวตอนที่ลั่วล่างกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอยู่บ้าง เขาก็คงไม่หลุดเสียงหัวเราะออกมาจนทำให้ลั่วล่างมีทางลง แน่นอนว่าการที่เขาส่งเสียงหัวเราะออกมายังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือในตอนที่หลิงหลานเจอหน้าคนอื่นๆ อารมณ์ที่แสดงออกมานั้นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกกีดกันอยู่ด้านนอก นี่ทำให้เขาไม่สบายใจเอามากๆ ดังนั้นจึงได้ฉวยโอกาสหยอกล้อลั่วล่าง อาศัยการทะเลาะกับลั่วล่างมากำจัดความรู้สึกนี้ไป
“จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากลูกพี่หลิงหลานเหรอ? ยุ่งยากจริงๆ เลยนะ…” เซี่ยอี๋ขมวดคิ้ว เดินตามลั่วล่างเข้าไปในประตูสถาบันโดยไม่ได้เร่งรีบและก็ไม่ได้เชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากถูกพวกเขากีดกันให้อยู่ด้านนอกอีกแล้ว! เซี่ยอี๋พบว่าตัวเองเกลียดเรื่องนี้มาก
ลั่วล่างกับเซี่ยอี๋ไล่ตามพวกหลิงหลานสี่คนไปอย่างฉับไว ทั้งหกคนค่อยๆ เดินไปที่ป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์ที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด เตรียมตัวนั่งโฮเวอร์คาร์ไปที่ศูนย์ประเมินผล
ในขณะที่กำลังรอคอยอยู่นั้น เซี่ยอี๋ครุ่นคิดแล้วก็เดินไปที่เบื้องหน้าหลิงหลาน เขาเอ่ยด้วยความจริงจังว่า “ลูกพี่หลิงหลาน ฉันชื่อเซี่ยอี๋ พวกหัวหน้าทีมฉีหลงบอกว่าขอเพียงได้รับการยอมรับจากนายถึงจะถือว่าเป็นสมาชิกที่แท้จริงของทีม…ฉันหวังว่าลูกพี่จะยอมรับฉันได้”
หลิงหลานมองเซี่ยอี๋ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง สายตานี้ทำให้เซี่ยอี๋รู้สึกถึงความเย็นเยียบราวกับว่าเขาถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งก็ไม่ปาน ตัวเขาที่เดิมทีมั่นใจในตัวเองพลันรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่า เขาสามารถได้รับการยอมรับจากหลิงหลานได้จริงๆ เหรอ?
เขาไม่รู้ส่าตัวเองรออยู่นานเท่าไหร่ บางทีอาจจะแค่หนึ่งวินาที บางทีอาจจะสามสิบสี่สิบวินาที หลิงหลานค่อยเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “มีสิทธิอะไรมาทำให้ฉันยอมรับนายด้วย?”
เซี่ยอี๋ปลุกใจตอบว่า “ฉันจะไม่ถ่วงขาของทีม”
“คนที่ไม่ถ่วงขามีอยู่มากมาย ไม่ได้มีแค่นายคนเดียว” หลิงหลานตอบอย่างเฉยชา
เซี่ยอี๋ถูกคำพูดของหลิงหลานโจมตีใส่ แม่งเอ๊ย ไม่รู้หรือไงว่านี่เป็นการถ่อมตัวของเขา? ต้องให้เขาพูดตรงๆ หรือไงว่าเขาต่อสู้ได้ดีที่สุด ความสามารถก็ยอดเยี่ยม? สีหน้าของเซี่ยอี๋ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หนังหน้าหนาระดับสุดยอดของเซี่ยอี๋ถูกแสดงขึ้นมาอีกรอบ เขากลับคืนเป็นปกติอีกครั้ง เอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “แน่นอนว่าฉันยังต่อสู้เป็นมากๆ เลยนะ”
“เงื่อนไขพื้นฐานที่สุดในการเข้าร่วมทีมเราก็คือต่อสู้เป็น”
เซี่ยอี๋ถูกคำพูดไม่ไว้หน้าของหลิงหลานทำให้สำลักออกมาอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ว่าลูกพี่หลิงหลานในตำนานรับมือได้ยาก มีทิฐิสูงมากและคาดเดาไม่ได้อย่างที่คาดไว้จริงๆ สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา คำพูดราบเรียบทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะพยายามไปทางไหนดี
เซี่ยอี๋ได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วเงียบไป คราวนี้นับว่าเขาพ่ายแพ้ล่าถอยกลับมาด้วยความหดหู่แล้ว
เวลานี้เอง โฮเวอร์คาร์ก็บินมาแล้ว หลิงหลานขึ้นไปบนโฮเวอร์คาร์เป็นคนแรก คนที่ขึ้นตามมาติดๆ คือฉีหลงกับหานจี้จวิน ส่วนหลินจงชิง ลั่วล่างรวมไปถึงเซี่ยอี๋ก็เตรียมตัวโดยสารโฮเวอร์คาร์คันถัดไปที่กำลังบินมา
หานจี้จวินเพิ่งจะขึ้นรถยังไม่ทันปิดประตู หลิงหลานพลันหันหน้าไปพูดกับเซี่ยอี๋ว่า “เซี่ยอี๋ นายคิดว่าตัวตนของนายนำอะไรมาให้ทีมได้บ้าง? ไว้นายตอบคำถามข้อนี้ออกมา ฉันจะให้คำตอบที่แน่ชัดกับนาย!”
สิ้นคำพูด หานจี้จวินที่ปิดประตูรถแล้วก็ใส่จุดหมายปลายทางของพวกเขาเข้าไปในออปติคัลคอมพิวเตอร์ โฮเวอร์คาร์ทะยานขึ้นไปบนฟ้าราวกับบินก็ไม่ปานก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
คำพูดของหลิงหลานทำให้เซี่ยอี๋อึ้งไป เขานึกว่าวันนี้หลิงหลานไม่มีทางให้คำตอบเขาทันที ส่วนเขาก็ทำการเตรียมตัวต่อสู้ระยะยาวเอาไว้เช่นกัน ไม่นึกเลยว่าจู่ๆ หลิงหลานจะถามคำถามนี้ออกมา ทำให้เขาตะลึงงันไปและก็สับสนอยู่บ้าง เนื่องจากเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะนำอะไรมาให้ทีมตัวเองได้บ้าง
“เซี่ยอี นายนิ่งอึ้งโง่ๆ ทำไมเล่า รีบขึ้นรถเร็วเข้าสิ!” เสียงตะโกนด้วยความไม่พอใจของลั่วล่างดังมาจากข้างหู เซี่ยอี๋ถึงค่อยได้สติกลับมาก่อนจะเห็นว่าหลินจงชิงกับลั่วล่างนั่งอยู่บนโฮเวอร์คาร์แล้ว กำลังรอเขาขึ้นรถ เขารีบเดินเข้าไปแล้วปิดประตูรถ
โฮเวอร์คาร์บินไปที่จุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว แต่ในใจของเซี่ยอี๋กลับถูกคำถามของหลิงหลานยึดครองเอาไว้ทุกส่วน ‘นายคิดว่าตัวตนของนายนำอะไรมาให้ทีมได้บ้าง?’
ใช่แล้ว ฉันนำอะไรมาให้ทีมได้บ้างนะ? ความแข็งแกร่ง? ฉันสู้ฉีหลงไม่ได้ กับลั่วล่างก็ด้อยกว่าเล็กน้อยเหมือนกัน แต่ว่าแข็งแกร่งกว่าหลินจงชิงกับหานจี้จวินอยู่นิดหน่อย แต่สถานะของหานจี้จวินคือเสนาธิการของทีม เดิมทีพลังรบก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ส่วนหลินจงชิง….
เซี่ยอี๋หวนนึกถึงบทบาทของหลินจงชิงในทีมก่อนจะพบว่า ข้อมูลทุกอย่าง อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับภารกิจรวมไปถึงยารักษาที่จำเป็นต้องเตรียมในภารกิจทุกครั้ง หลินจงชิงต่างเตรียมพวกมันเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบมาก…ดูท่าบทบาทที่หลินจงชิงกำหนดให้ตัวเองคือพลาธิการที่ยอดเยี่ยม
เซี่ยอี๋ค่อยตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่า ที่แท้สมาชิกทุกคนในทีมต่างมีตำแหน่งของตัวเอง คิดดูอีกทีลั่วล่างที่มีนิสัยฉุนเฉียวง่าย แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของทีม ทุกครั้งที่เริ่มภารกิจ หน้าที่ที่เขารับผิดชอบก็คือบทบาทของแนวหน้า ค้นหาและตรวจสอบ ส่งข้อมูลจากทางด้านหน้ากลับมาให้ทันที และเวลาที่ลั่วล่างทำเรื่องพวกนี้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขาได้สำเร็จอย่างดีเยี่ยมทุกครั้ง
ส่วนหัวหน้าทีมฉีหลงคอยยึดตำแหน่งประสานงานรักษาการณ์ไว้ตลอด ตรงกันข้ามกับเขาที่มักจะแยกตัวออกไป เขาแค่เคลื่อนไหวตามทีมเท่านั้น ตอนนี้พอคิดดูแล้ว เขาไม่รู้ตำแหน่งของตัวเองในทีมเลย นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ลูกพี่หลิงหลานอยากถามเขาสินะ
ใช่แล้ว คนที่ไม่รู้แม้กระทั่งตำแหน่งของตัวเองจะกล้าพูดได้ยังไงว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะกลายเป็นสมาชิกที่แท้จริงของทีมได้? เซี่ยอี๋คิดถึงตรงนี้ก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาทั่วร่าง เขาโง่เง่ามากเกินไปแล้วจริงๆ…
“ไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนที่ไม่สำคัญในทีม ฉันจะต้องหาบทบาทที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะให้ได้ แต่ว่าบทบาทที่เหมาะสมกับฉันคืออะไรกันแน่นะ?” เซี่ยอี๋รู้สึกว่าสมองตัวเองสับสนอลหม่าน ทั่วทั้งร่างเขาดูงงงวยอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้สังเกตเลยว่าพวกเขามาถึงศูนย์ประเมินผลแล้ว
………………………………..