หัวหน้าทีมหลายคนที่อยู่ข้างหลังหลินจงชิงกระจายตัวออกหลังจากที่หลินจงชิงจากไป พวกเขาทยอยกันเข้าไปใกล้ผู้คุ้มกันที่ประจำตำแหน่งอื่นๆ ผู้คุ้มกันตรงหน้าประตูรู้สึกผิดปกติอยู่บ้างเลยอดตะโกนเสียงต่ำออกไปไม่ได้ว่า “เฮ้ ไม่อนุญาตให้เดินเล่นมั่วซั่วที่นี่นะ”
หนึ่งในหัวหน้าทีมเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็กุมข้อมืออีกฝ่ายไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ พวกเราแค่สงสัยน่ะ เราคุ้มกันความปลอดภัยของที่นี่มาตลอด แต่ไม่มีโอกาสดูให้ดีเลย ให้พวกพี่ๆ น้องๆ ฉวยโอกาสนี้เปิดหูเปิดตาหน่อยนะ…”
สีหน้าของผู้คุ้มกันที่เดิมทีเปลี่ยนไปค่อยๆ ดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่เขายังคงเอ่ยด้วยใบหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยว่า “ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ทำซี้ซั้วไม่ได้ ถ้าหัวหน้ารู้เข้า พวกนายแย่แน่ ฟังฉันเถอะ นายบอกให้พวกเขาออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าแล้วนะ!” น้ำเสียงของผู้คุ้มกันแฝงไปด้วยการคุกคามอยู่รางๆ เขาไม่อยากให้ตัวเองโดนหัวหน้าต่อว่าเพราะเหตุนี้หรอกนะ
“ให้หัวหน้าของพวกเราจัดการเรื่องปัญหาของหัวหน้าละกัน สหาย อย่าฉีกหน้าฉันสิ!” หัวหน้าทีมที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เสียงโทนต่ำของเขาเต็มไปด้วยการคุกคาม
เวลานี้เอง ผู้คุ้มกันค่อยมองดูพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยที่แทบจะปกปิดใบหน้าเหล่านี้ให้ชัดเจนจริงๆ ถึงแม้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยการคุกคาม แต่ว่าส่วนของใบหน้าที่เผยออกมานั้นเห็นได้ชัดว่าดูอ่อนเยาว์อย่างหาใดเปรียบ เหมือนกับเป็นเด็กหนุ่มวัยเยาว์อายุสิบห้าสิบหก ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่ามาที่ดาวโดฮาเพื่อรับนักเรียนใหม่ที่ลงทะเบียนห้าร้อยกว่าคนไปยังโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเหรอ?
เขาลอบร่ำร้องขึ้นในใจว่าแย่แล้ว ออกแรงอยากจะสลัดหลุดจากฝ่ามือของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็คิดจะเอ่ยปากเตือนพวกเพื่อนๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยตัวปลอม นี่เป็นการบุกโจมตีของศัตรู!
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากเตือนก็รู้สึกว่าด้านหลังศีรษะของตัวเองถูกกระแทกอย่างหนักหน่วง หยุดเสียงร้องที่กำลังจะพรวดออกมาจากปาก ทำให้เขารู้สึกมึนศีรษะทันใด
“เชี่ย ยังไม่สลบอีก? อย่างที่คิดไว้จริงๆ ผู้คุ้มกันที่นี่ไม่ใช่คนที่เจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยด้านนอกพวกนั้นเทียบได้เลย…” ในหูของเขาได้ยินเสียงนี้รางๆ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าศีรษะถูกพลังสายหนึ่งโจมตีใส่อีกครั้ง ก่อนที่ทั่วทั้งร่างจมสู่ความมืดมิดไปโดยสิ้นเชิงและเขาก็ไม่รู้สึกถึงอะไรอีก
ที่แท้นักเรียนทุกคนที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยได้พุ่งเข้ามาภายใต้คำสั่งของหลิงหลาน พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปในหมู่เจ้าหน้าที่ แล้วอีกกลุ่มก็กระโจนเข้าไปหาพวกผู้คุ้มกันที่กำลังพัวพันอยู่กับนักเรียนที่เข้ามากลุ่มแรก และเนื่องจากตำแหน่งที่ผู้คุ้มกันคนนี้ยืนอยู่นั้นใกล้กับหน้าประตูมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่ถูกนักเรียนโจมตีจนล้มลงกับพื้น
“ห้ามขยับ!” พวกนักเรียนพุ่งเข้ามาดั่งหมาป่าดุจพยัคฆ์ มือชูปืนเลเซอร์เล็งใส่เจ้าหน้าที่ที่กำลังจับตามองตรงหน้าจออยู่ เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนตะลึงงัน นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นทันที ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว
ฉากที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้รบกวนหัวหน้าที่กำลังรอหลินจงชิงรายงานอยู่ข้างในเช่นกัน เขาเห็นดังนั้นก็ชี้ไปที่หลินจงชิงด้วยสีหน้าเดือดดาล ตวาดว่า “พวกแกเป็นใคร? ใครใช้ให้พวกแกเข้ามาก่อความวุ่นวายแบบนี้?”
หลินจงชิงเดินเข้าไปหาทันทีก่อนจะกล่าวเสียงสูงว่า “กัปตันสั่งว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราจะเข้าควบคุมที่นี่”
“เหลวไหล ทำไมฉันไม่รู้เลย?” หัวหน้าผู้คุ้มกันไม่เชื่อโดยเด็ดขาด ถ้าหากกัปตันออกคำสั่งเข้าควบคุมจริงๆ จะต้องแจ้งเขาแน่นอน
“กัปตันของผมบอกกับผมเท่านั้น คุณย่อมไม่รู้อยู่แล้ว” ตอนนี้หลินจงชิงเดินเข้ามาจนอยู่ห่างจากหัวหน้าผู้คุ้มกันประมาณสามเมตรแล้ว พอเขาได้ยินคำถามของผู้คุ้มกันก็อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้
“แกเป็นใครกันแน่? คนของหน่วยไหน?” หัวหน้าผู้คุ้มกันโมโหแล้ว เขาเป็นคนสนิทของกัปตัน กัปตันไม่มีทางมอบห้องควบคุมหลักให้คนอื่นมั่วซั่วโดยที่ไม่ได้แจ้งเขาก่อนแน่นอน
หัวหน้าผู้คุ้มกันสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีราวกับนึกอะไรบางอย่างออก “หรือว่าพวกแกอยากยึดอำนาจ? ไม่ถูกสิ ทำไมฉันไม่รู้จักแกเลยล่ะ? แกเป็นใครกันแน่?”
หลินจงชิงไม่ได้ตอบ เขาสาวเท้าพุ่งปราดเข้าไป…
หัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นฉากนี้ก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้มาโดยไม่หวังดี เขาชักปืนเลเซอร์ตรงเอวออกมาตามปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไว ขณะที่กำลังคิดจะยกปืนมายิงนั้น มันกลับสายเกินไป
การโจมตีของหลินจงชิงมาถึงแล้ว ทั่วทั้งร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะซัดลูกเตะออกมาอย่างรุนแรง เสียงดังแหวกอากาศ ต่อให้ยังไม่ถูกโจมตีใส่ แต่แค่เห็นพลังนั้นก็รู้ว่าถ้าหากโดนโจมตี ร่างกายจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน ถ้าร้ายแรงขึ้นอีกหน่อยก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสูญสิ้นชีวิตได้
หัวหน้าผู้คุ้มกันไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นอยู่แล้ว เขาล้มเลิกการยิงอย่างเด็ดขาดและตัดสินใจเอาข้อมือสองข้างมาไขว้กัน รับลูกเตะของหลินจงชิงอย่างดุเดือด
เสียง ‘ปัง!’ ดังอื้ออึง ทั้งสองคนปะทะใส่กันอย่างรุนแรง หลินจงชิงถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งผลักกลับไป เขาพลิกตัวกลางอากาศก่อนจะลงสู่พื้นอย่างมั่นคง ส่วนหัวหน้าผู้คุ้มกันก็ถอยหลังติดต่อกันสามก้าวถึงยับยั้งลูกเตะที่ทรงพลังของหลินจงชิงเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม การโจมตีของหลินจงชิงไม่ได้หยุดลง พอเขายืนได้อย่างมั่นคงแล้วก็พุ่งเข้าไปอีกครั้ง ไม่ให้หัวหน้าผู้คุ้มกันคนนั้นมีโอกาสยิงปืนเลย และตอนนี้เองนักเรียนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันพุ่งเข้าใส่ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ เช่นเดียวกัน…
ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่พวกเขาก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วว่า พวกเขาถูกศัตรูโจมตีแล้ว พวกเขาอยากตอบโต้กลับมากๆ ทว่าถึงแม้ศัตรูที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่จะมีจำนวนน้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อย แต่ศัตรูแต่ละคนต่างก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ทักษะการต่อสู้เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคอย่างพวกเขามาก มีเจ้าหน้าที่หลายคนที่คิดจะทำการจู่โจม แต่เขายังไม่ทันเคลื่อนไหวก็ถูกนักเรียนที่สายตาแหลมคมและประสาทไวอัดจนล้มทันที ทำให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ระมัดระวังรอบคอบอยู่บ้างตกใจกลัว
แน่นอนว่าหลิงหลานที่ใช้พลังจิตจับตามองทั่วทั้งพื้นที่แอบใช้การโจมตีทางจิตซัดใส่เจ้าหน้าที่หลายคนตรงบริเวณที่พวกนักเรียนไม่ได้สนใจ ที่ทำการเคลื่อนไหวอย่างลึกลับสุดขีดเพื่อที่จะกดปุ่มระบบเตือนภัยหรือคิดจะลอบยิง พลังนั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสลบไปทันที พวกเขาเพียงแต่วิงเวียนศีรษะ ร่างกายสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ
พวกเขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาก็ถูกเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้กับพวกเขามากที่สุดสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติของพวกเขาจากนั้นก็อัดพวกเขาจนล้มลงไปทันใด…
ดังนั้นแท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกตอนที่ถูกอัดจนล้ม หรือว่าเป็นความรู้สึกก่อนที่ถูกอัด พวกเขาไม่สามารถตัดสินชี้ขาดได้เลย สุดท้ายก็ได้แต่เชื่อว่าพวกเขาถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนพ่ายแพ้
นักเรียนควบคุมสถานการณ์ด้านในอย่างรวดเร็ว นอกจากตัวหัวหน้า ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ อีกเก้าคนถูกล้มหมดแล้ว นี่จึงทำให้นักเรียนพุ่งเข้าใส่คนได้มากขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์ และก็ทำให้เจ้าหน้าไม่กล้าหุนหันพลันแล่นมากกว่าเดิม พวกเขารู้ความสามารถของผู้คุ้มกันเหล่านี้ดีว่าสูงกว่าความสามารถของพวกเขามาก ในเมื่อผู้คุ้มกันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย พวกเขาเข้าไปก็เป็นเพียงการส่งอาหารไปให้เท่านั้น
นอกจากนี้สถานะของศัตรูก็ไม่ชัดเจน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนจึงตัดสินใจคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ แน่นอนว่าถ้าหากคู่ต่อสู้เป็นศัตรูคู่แค้นของสหพันธรัฐละก็ ต่อให้พวกเขาต้องสละชีวิตก็ไม่มีทางขายผ้าเอาหน้ารอดเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป
เวลานี้เองหัวหน้าผู้คุ้มกันกำลังต่อสู้ติดพันกับหลินจงชิง ยากจะแยกออกว่าใครอยู่เหนือกว่าใครไปชั่วขณะหนึ่ง ความสนใจของทุกคนต่างเพ่งรวมกันไปที่ตัวพวกเขาสองคน…
“ลูกพี่ ควบคุมระบบของที่นี่สำเร็จแล้ว!” ในที่สุดหลิงหลานที่รออยู่ด้านนอกคนเดียวก็ได้ยินคำตอบของเสี่ยวซื่อ เสี่ยวซื่อทำภารกิจที่เธอมอบหมายให้เขาสำเร็จสักที เขายึดระบบต่างๆ ของห้องควบคุมหลักได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“ทำได้ดี เสี่ยวซื่อ!” หลิงหลานไม่ตระหนี่คำชมของเธอเลยสักนิดเดียว แล้วเธอยังลูบหัวปลอบโยนเพิ่มให้อีกด้วย เสี่ยวซื่อที่ถูกลูบศีรษะยิ้มแป้นด้วยความเริงร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
‘ปัง!’ หลินจงชิงกับหัวหน้าผู้คุ้มกันเข้าปะทะแล้วก็แยกจากกันอีกครั้ง หลินจงชิงที่ตกลงสู่พื้นตะโกนว่า “เข้ามาพร้อมกัน!”
หัวหน้าทีมหลายคนที่คันไม้คันมืออยู่แต่แรกแล้วได้ยินเสียงเรียกของหลินจงชิง พวกเขาก็พุ่งเข้าไปโดยไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดเดียว…พวกเขาอยากเข้าไปนานแล้ว แต่หลินจงชิงยังไม่ได้เอ่ยปาก พวกเขาก็ไม่อาจสอดมือเข้าไปในการต่อสู้ของเขาตามอำเภอใจได้ นี่เป็นการให้เกียรติเพื่อนอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าขอเพียงหลินจงชิงเอ่ยปากเอง พวกเขาไม่มีทางเกรงใจแน่นอน
“พวกแกชั่วช้าเกินไปแล้ว!” หัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นหลินจงชิงถอยไป แต่ว่ามียอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับหลินจงชิงเข้ามาสี่ห้าคน เขาก็บันดาลโทสะและอดคำรามออกมาไม่ได้
ตอนนี้หลินจงชิงยืนอยู่วงนอกอย่างใจเย็น เขาทำหน้ายิ้มแย้มทว่าคำพูดที่กล่าวออกมาจากปากกลับเต็มไปด้วยความเยาะหยัน “คุณนี่โง่จัง คุณเป็นศัตรูของพวกเรา ใครจะพูดเรื่องหลักคุณธรรมกับศัตรูล่ะ? เราไม่ได้เป็นคนโง่นะ…” น้ำเสียงดูถูกนี้ทำให้หัวหน้าผู้คุ้มกันที่เดิมทีกำลังโกรธเกรี้ยวอยู่แล้วยิ่งรู้สึกว่าไฟโทสะคุกรุ่นมากขึ้น
หัวหน้าผู้คุ้มกันที่ไม่สามารถใจเย็นลงได้แล้วก็เผยความประมาทเลินเล่อออกมาอย่างรวดเร็ว เขาโดนการโจมตีอันทรงพลังของหัวหน้าทีมคนหนึ่งทันที ไหล่ขวาถูกกำปั้นของอีกฝ่ายโจมตีใส่อย่างหนักหน่วง ทำให้เขารู้สึกว่ามือขวาของตัวเองอ่อนยวบไร้กำลังไปในชั่วพริบตา
หลินจงชิงที่กำลังรอคอยโอกาสอยู่ด้านนอกวงต่อสู้ย่อมไม่พลาดโอกาสที่หายากนี้อยู่แล้ว ดวงตาเขาส่องประกายในพริบตา เท้าขวาพลันกระทืบพื้น จากนั้นร่างของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนอากาศอีกครั้งก่อนจะพุ่งไปหาหัวหน้าผู้คุ้มกันคนนั้น
การโจมตีของหลินจงชิงมาเร็วมากเกินไปและก็กะทันหันอยู่บ้าง เมื่อหัวหน้าทีมที่บดบังสายตาของหัวหน้าผู้คุ้มกันถอยออกมาหนึ่งก้าวฉับพลันเพื่อเปิดทางให้หลินจงชิงจู่โจมด้วยความร่วมมือที่รู้ใจกัน หัวหน้าผู้คุ้มกันไม่ได้เตรียมตัวเลย และก็เปลี่ยนกระบวนท่าไม่ทันแล้วด้วย
ขาข้างหนึ่งของหลินจงชิงเตะไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม ร่างของหัวหน้าผู้คุ้มกันกระเด็นลอยออกไปก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังของห้องควบคุมหลักอย่างรุนแรง ทิ้งร่องรอยจางๆ เอาไว้ จากนั้นถึงค่อยกระดอนกลับไปที่พื้นอย่างหนักหน่วง
ลูกเตะของหลินจงชิงทรงพลังอย่างยิ่งยวด หัวหน้าผู้คุ้มกันรวบรวมปราณแท้ไว้ที่หน้าอก ทำการป้องกันสุดท้ายไว้นิดหน่อยได้ทันเวลาเท่านั้น แต่ว่าการป้องกันเล็กน้อยนี้จะต้านทานการโจมตีที่ทรงพลังนี้ได้ยังไงกัน เขายังคงถูกเตะจนได้รับบาดเจ็บ เมื่อเขากระดอนลงสู่พื้นก็กระอักเลือดสาดไปที่พื้นทันที
หัวหน้าทีมสามคนที่เดิมทีล้อมโจมตีหัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นดังนั้นก็พุ่งเข้าไปโดยไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย สองคนในนั้นต่างล็อคแขนของหัวหน้าผู้คุ้มกันไว้คนละข้าง ส่วนคนที่สามก็เอาเข่าขวายันหลังของหัวหน้าผู้คุ้มกันไว้ทันที ทำให้เขาคุกเข่าลงคลานอยู่บนพื้น สยบฝ่ายตรงข้ามลงโดยสิ้นเชิง
หลินจงชิงค่อยเผยรอยยิ้มออกมา ในที่สุดเขาก็ทำภารกิจที่ลูกพี่หลานมอบหมายให้สำเร็จแล้ว เขาหันหน้ากลับไปตะโกนด้วยความภาคภูมิใจว่า “หัวหน้า!”
หลังจากเสียงเรียกของหลินจงชิง ร่างที่หล่อเหลาสง่างามค่อยๆ เดินออกจากหน้าประตูเข้ามาในห้องควบคุมหลัก ร่างนั้นสวมชุดสีดำทั้งตัว รองเท้าบูททหารใหม่เอี่ยมวาววับ ก้าวเท้าอย่างมั่นคงทรงพลัง รูปลักษณ์ภายนอกดูหล่อเหล่าเย็นชามีกลิ่นอายเย็นเยียบเสียดแทงกระดูกกอปรกับท่าทางที่ดูองอาจมีชีวิตชีวาทำให้ดวงตาทุกคนเปล่งประกาย อดไม่ไหวลอบกล่าวขึ้นในใจว่า “น่าเกรงขามมาก!”
อย่างไรก็ตาม สายตาของทุกคนถูกดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ไม่อาจปกปิดอายุได้นั้นดึงดูดอย่างรวดเร็ว เวลานี้ทุกคนต่างตระหนักได้ในชั่วพริบตาว่ากลุ่มคนที่บุกโจมตีพวกเขาเป็นใคร