จางจิงอันเดินไปนั่งลงตรงโซฟาที่หลิงหลานชี้ เขาไม่ได้พูดอะไรกับหลิงหลาน ตรงกันข้าม เขามองไปยังฉีหลงที่อยู่ข้างกายหลิงหลาน เอ่ยสีหน้าที่เผยความชื่นชมว่า “รุ่นน้องฉีหลง ปีนี้นายเป็นผู้สอบได้ที่หนึ่งของนักเรียนโรงเรียนทหารใหม่รุ่นนี้ของเรา เอาหน้ามาให้สถาบันศูนย์กลางโดฮาของพวกเรามากเลย! ความสามารถของนายถึงขนาดจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของทั่วทั้งโรงเรียนทหารได้เลยนะ อนาคตต้องกลายเป็นเสาหลักกลุ่มสถาบันศูนย์กลางของเราได้แน่นอน”
จางจิงอันชื่นชมฉีหลงในฉากหน้า แต่ความจริงแล้วเขาอยากตอกตะปูลงในใจหลิงหลาน ให้เธอเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจ ไม่อาจเชื่อใจฉีหลงได้จนหมด และเขาก็เชื่อเหมือนกันว่า ขอเพียงให้โอกาสฉีหลง เขามีความสามารถแข็งแกร่งย่อมไม่มีทางยินยอมอยู่ใต้อำนาจหลิงหลานเด็ดขาด! จางจิงอันเชื่อว่า อาศัยความสามารถของเขาย่อมทำให้เจ้าโง่ฉีหลงเข้าร่วมฝ่ายของเขาได้แน่นอน
ความเย็นชาของหลิงหลานเมื่อสักครู่นี้ทำให้จางจิงอันตัดสินใจยอมแพ้เรื่องหลิงหลานและเลือกฉีหลงแทน แน่นอนว่าหากอยากได้สิ่งที่เขาปรารถนาก็จำเป็นต้องยุแยงให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนแตกกัน ให้ฉีหลงแตกหักกับหลิงหลานถึงจะดี นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมจางจิงอันถึงชมฉีหลงมากๆ ก็เพื่อหวังว่าจะกระตุ้นความปรารถนาในลาภยศของฉีหลงขึ้นมาได้จนเกิดความไม่พอใจต่อหลิงหลาน
อย่างไรก็ตาม การคำนวณวางแผนของจางจิงอันก็ถูกกำหนดให้ล้มเหลวไว้แล้ว เขาชมฉีหลงไปพลาง สังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของฉีหลงด้วยความจริงจังไปพลาง แต่กลับพบว่าฉีหลงไม่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดของเขาเลยสักนิดเดียว นี่ทำให้จางจิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
หลิงหลานย่อมรู้ดีว่าจางจิงอันวางแผนอะไรเอาไว้ แต่เธอไม่สนใจเลย เดิมทีเธอก็มีความคิดผลักกันให้ฉีหลงอยู่ตำแหน่งสูงๆ เพียงแต่ฉีหลงเป็นพวกบ้าการต่อสู้ ไม่สนใจเรื่องแบบนี้เลย
จางจิงอันเห็นว่าทั้งสองคนเมินคำพูดของเขา และถึงขนาดสัมผัสได้ว่าในสายตาของหลิงหลานแฝงความเยาะหยันไว้เล็กน้อย เขาก็ได้แต่หยุดการยุยงของตัวเองด้วยความคับแค้นใจแล้วก็ทักทายหลิงหลานท่ามกลางเสียงหัวเราะขึ้นจมูกว่า “แล้วก็รุ่นน้องหลิงหลาน ไม่ได้เจอกันหลายปี ท่าทีสง่างามของนายยังคงเหมือนเมื่อตอนนั้นเลย” ช่วงเวลาหลายปีที่จางจิงอันอยู่ในโรงเรียนทหารทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่และมีความอดทนมากกว่าตอนที่เขาอยู่ในสถาบันอย่างเห็นได้ชัด
ในเมื่อทางด้านฉีหลงไม่มีหวังก็จำต้องเลือกหลิงหลานแล้ว จางจิงอันเปลี่ยนความคิดในชั่วพริบตา กลับมาที่ความตั้งใจของเขาในตอนแรกอีกครั้ง
หลิงหลานทำสีหน้าไร้ความรู้สึก ยังคงรักษาหน้านิ่งๆ ของเธอไว้ เอ่ยด้วยความเย็นชาว่า “ขอบคุณครับ!”
เสียงที่ไม่มีความอบอุ่นอะไรเลยนี้ทำให้จางจิงอันสะอึกไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงค่อยฉีกยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูฝืนๆ อยู่บ้าง
ควรพูดว่าจางจิงอันไม่คิดเลยว่าหลิงหลานจะไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้ ไม่ยอมทำตามมารยาทเลยสักนิดเดียว เดิมทีเขาอยากใช้ความสัมพันธ์ของรุ่นพี่รุ่นน้องดึงระยะห่างให้เข้ามาใกล้ หลังจากนั้นค่อยเสนอให้ร่วมมือกันอีกครั้ง ตอนนี้ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
ดังนั้นจางจิงอันเลยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “รุ่นน้องเพิ่งเข้าโรงเรียนทหารมาอาจจะยังไม่รู้เรื่องการแบ่งกลุ่มอำนาจของโรงเรียนทหารเราใช่ไหม? ถ้าอยากใช้ชีวิตในโรงเรียนทหารอย่างสงบสุขจนเรียนจบ จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเด็ดขาด”
หลิงหลานเลิกคิ้วกล่าวว่า “อ้อ? มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” ในเมื่อมีคนยินดีอธิบายให้เธอฟังเอง เธอย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เข้าใจเรื่องราวมากขึ้นอีกหน่อยย่อมไม่ผิดอะไร
“ในโรงเรียนทหารมีกลุ่มอำนาจใหญ่น้อยมากมาย มีอยู่สิบกว่ากลุ่มที่จัดอยู่อันดับต้นๆ แต่ว่ากลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดกลับมีอยู่เพียงสี่กลุ่ม แบ่งออกเป็นกลุ่มเหลยถิง กลุ่มอำนาจอันดับที่หนึ่ง กลุ่มเทียนจี กลุ่มอำนาจอันดับที่สอง กลุ่มอู๋จี๋ กลุ่มอำนาจอันดับที่สามและกลุ่มสถาบันศูนย์กลางโดฮาของพวกเรา” ดวงหน้าของจางจิงอันเผยร่องรอยความเสียใจออกมา “ถ้าคนของสถาบันอื่นๆ ในโดฮายอมเข้าร่วมกับพวกเรา พวกเราก็ไม่มีทางกลายเป็นกลุ่มอำนาจอันดับที่สี่หรอก ต่อให้อันดับที่หนึ่งกับอันดับที่สองจะยากอยู่บ้าง แต่ว่าเป็นอันดับสามได้แน่นอน ควรรู้ไว้ว่าปีที่แล้วพวกเราแข่งขันชิงตำแหน่งประลองหุ่นรบกับกลุ่มอู๋จี๊ สุดท้ายขาดไปแค่สิบกว่าคะแนนเท่านั้น แพ้อย่างน่าเสียดาย…”
จางจิงอันกล่าวถึงกลุ่มอำนาจอันดับสาม น้ำเสียงและสีหน้าดูไม่ยอมรับ เขาเงยหน้ามองไปที่หลิงหลานและกล่าวว่า “แต่ฉันเชื่อว่าปีนี้ไม่เหมือนกัน พวกเราต้องคว้าตำแหน่งอันดับสามกลับมาได้แน่นอน ฉันรู้ว่านักเรียนใหม่จากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่สอบเข้าโรงเรียนทหารในปีนี้มีอยู่สามร้อยกว่าคนเต็มๆ ขอเพียงพวกเราร่วมมือกัน ต่อให้เป็นกลุ่มอำนาจอันดับสอง พวกเราก็สู้ได้เหมือนกัน”
จางจิงอันกล่าวถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นมาก เขาเหมือนกับเห็นฉากที่เขานำพานักเรียนกลุ่มสถาบันศูนย์กลางแสดงอำนาจน่าเกรงขามภายในโรงเรียนทหาร
อย่างไรก็ตาม คำตอบของหลิงหลานอัดเขาจากในจินตนาการกลับมาที่ความเป็นจริงทันที เขาได้ยินหลิงหลานกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ผมนับถือความคิดของรุ่นพี่จางนะครับ แต่ผมเป็นคนไม่ชอบต่อสู้ และก็ไม่อยากเข้าร่วมเรื่องแบบนี้ด้วย ส่วนนักเรียนใหม่คนอื่นๆ รุ่นพี่จางลองไปชวนพวกเขาเองได้เลย”
คำพูดของหลิงหลานทำให้จางจิงอันแทบจะกระอักเลือด เขาเบิกตาโตจ้องดูหลิงหลาน ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ‘พูดว่าไม่ชอบต่อสู้อะไรกัน คนตรงหน้านี้เป็นคนที่เริ่มการต่อสู้ประจัญบานที่น่ากลัวในตอนนั้นไม่ใช่หรือไง?’
จางจิงอันกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หลิงหลานกลับลุกขึ้นมาพูดว่า “เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ผมเหนื่อยมากแล้ว ขอโทษที่ผมอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว รุ่นพี่จางทำตัวตามสบายเลยนะ!”
หลิงหลานกล่าวจบก็ออกไปจากห้องโถงกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที ไม่ให้โอกาสจางจิงอันพูดเหนี่ยวรั้งเธอต่อเลย
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหลิงหลานหายไป สีหน้าของจางจิงอันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาฝืนข่มกลั้นโทสะในหัวใจแล้วหันหน้ามองไปที่ฉีหลงและกล่าวเชื้อเชิญว่า “รุ่นน้องฉีหลงสนใจสนับสนุนกลุ่มสถาบันศูนย์กลางของฉันไหม?”
ฉีหลงอ้าปากหาวกว้างๆ โบกมือพูดปฏิเสธอย่างดูดีว่า “พวกเราติดตามลูกพี่หลาน เขาไม่สนใจ พวกเราก็ไม่สนใจเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะครับ รุ่นพี่จาง! เหนื่อยมากเกินไปแล้วจริงๆ ผมเองก็อยากพักผ่อนแล้ว บาย!” เขากล่าวจบก็ออกไปจากห้องโถงกลับไปพักผ่อนในห้องตัวเองเช่นกัน
การปฏิเสธโดยไม่ไว้หน้าเลยสักนิดจากสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือในรุ่นนี้ทำให้จางจิงอันอยู่ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เขาบอกลาพวกหานจี้จวินอย่างคับแค้นใจ แล้วออกไปจากบ้านพักของหลิงหลานอย่างรวดเร็ว
“แม่ง พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังบังคับสินะ คิดว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาที่เขาเรียกลมเรียกฝนได้จริงๆ หรือไง?” เมื่อจางจิงอันกลับไปที่บ้านพักของตัวเอง เขาก็ปาถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะชาในห้องโถงลงกับพื้นอย่างรุนแรง เขาเพิ่งจะโดนทางฝั่งหลิงหลานดูถูกมา ตอนนี้จึงบันดาลโทสะออกมาในที่สุด
“หัวหน้า ต่อไปพวกเราจะทำยังไงดี? ต้องสั่งสอนพวกเขาไหม?” ลูกทีมของเขาเดินเข้ามาใกล้แล้วถามเสียงเบา นี่เป็นวิธีการที่จางจิงอันและพวกเขาทำมาโดยตลอด ใครไม่ยอมสวามิภักดิ์ ก็จะส่งทีมไปขวางแล้วบังคับให้ยอมศิโรราบ จนฝ่ายตรงข้ามเข้าร่วมกลุ่มของเขา
แววตาของจางจิงอันส่องประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ในใจเกิดความคิดหุนหันพลันแล่นขึ้นมาว่าจะให้คนไปสั่งสอนเด็กเวรพวกนั้นให้ดี แต่เขาก็สะกดกลั้นความใจร้อนนี้ไว้ เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ถึงยังไงนักเรียนใหม่คนอื่นๆ ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มของเขา ถ้าหากถูกคนอื่นๆ รู้ว่าเป็นเพราะพวกหลิงหลานไม่เข้าร่วมกลุ่มก็เลยอบรมสั่งสอนพวกเขา เกรงว่าจะทำให้นักเรียนใหม่พวกนั้นเกิดความกังวลและไม่ยอมเข้าร่วมกลุ่ม
เหอะ! ไว้เขาได้นักเรียนใหม่คนอื่นๆ มาหมดแล้ว เขาจะต้องสั่งสอนพวกมันอย่างโหดเหี้ยมสักยกแน่นอน! แววตาของจางจิงอันดูอาฆาตแค้น ให้ตายเขาก็ไม่มีทางลืมความอัปยศในปีสุดท้ายของชีวิตลูกเสือ เขาจะต้องล้างความแค้นเมื่อตอนนั้นให้ได้
………..
ระดับสูงของกลุ่มต่างๆ ได้รับข่าวเรื่องจางจิงอันล้มเหลวอย่างรวดเร็ว มีบางคนในหมู่พวกเขาหัวเราะเยาะ มีบางคนยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนที่ถูกเรียกว่าเป็นปีศาจอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือคนนี้เลย ต่อให้รู้ว่าผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งของปีนี้คือนักเรียนจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ แต่ก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน เพราะว่าทุกปีต่างมีผู้สอบได้อันดับที่หนึ่ง แต่คนที่สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริงของโรงเรียนทหารในรุ่นนั้นมักจะไม่ใช่ผู้สอบได้อันดับที่หนึ่ง
ทุกคนต่างคิดว่ากลุ่มสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเก่าและกลุ่มใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นึกเลยว่าเรื่องราวจะผ่านไปอย่างสงบสุข จางจิงอันไม่ได้ใช้มาตรการอะไรต่ออีกฝ่าย ส่วนฝั่งหลิงหลานก็เหมือนกับจดจ่ออยู่กับการเรียน ไม่มีความคิดแย่งชิงอำนาจกันเลย นี่ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ งุนงงอยู่บ้าง หรือว่าจางจิงอันสามารถอดทนนักเรียนใหม่ที่ไม่เชื่อฟังกลุ่มนี้ได้จริงๆ?
ไม่ใช่ว่าจางจิงอันไม่อยากทำ แต่เขาทำไม่ได้ เนื่องจากช่วงเวลานี้เขาชวนนักเรียนใหม่คนอื่นๆ ให้เข้าร่วมกลุ่มของเขาไม่หยุด แต่ก็พบเจอการปฏิเสธจากนักเรียนใหม่ทุกคน ถึงแม้ว่าจางจิงอันเคยคิดลงมือจากพวกนักเรียนใหม่ที่อ่อนแอที่สุด แต่เขากลับพบว่านักเรียนใหม่กลุ่มนี้มีสายสัมพันธ์กัน นอกจากนี้สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดีอย่างยิ่ง จึงเกิดผลลัพธ์ดึงขนเส้นเดียวสะท้านไปทั่วทั้งร่าง[1]ได้ง่ายๆ นี่ทำให้จางจิงอันจำเป็นต้องละทิ้งความตั้งใจไว้ ได้แต่อดทนครุ่นคิดวิธีต่อไป
แน่นอนว่าหลิงหลานไม่มีทางไม่รู้เรื่องที่จางจิงอันถูกนักเรียนใหม่ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากอู่จย่ง หลี่อิงเจี๋ย รวมถึงหัวหน้ากลุ่มต่างๆ เคยปรึกษาเรื่องนี้กับเธอมาก่อน
หลิงหลานบอกการตัดสินใจของเธอออกไปตรงๆ ว่าจะดูอยู่ข้างๆ ก่อนหนึ่งปีแล้วค่อยว่ากันอีกที ถึงยังไงปีแรกของพวกเขาเป็นภารกิจฝึกฝนร่างกายที่ยากลำบาก ไม่มีพลังงานไปเข้าร่วมความขัดแย้งของกลุ่มอำนาจแบบนี้ พอถึงปีสองเวลาก็สุกงอมเต็มที่ พวกเขาสามารถตัดสินใจเรื่องเข้าร่วมกลุ่มอีกฝ่ายหรือว่าตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมาได้แล้ว
คำพูดของหลิงหลานเหมือนกับทำให้คนเหล่านี้มีทิศทางไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมกลุ่มใดๆ ชั่วคราว มุ่งมั่นอยู่กับการทำภารกิจฝึกฝนของตัวเองให้สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงสร้างกลุ่มนักเรียนใหม่ขึ้นมาชั่วคราว จับมือเคลื่อนไหวไปด้วยกันเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มจางจิงอันขุ่นเคืองจากความอับอายเนื่องจากไม่ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ
พวกเขาไม่ได้ถามความคิดของหลิงหลานก็เลือกเธอเป็นหัวหน้ากลุ่มอันดับหนึ่งของกลุ่มนักเรียนใหม่ ส่วนฉีหลงเป็นหัวหน้ากลุ่มอันดับสอง อู่จย่งเป็นหัวหน้ากลุ่มอันดับสาม หลี่อิงเจี๋ยคือหัวหน้ากลุ่มอันดับสี่ ส่วนหัวหน้ากลุ่มอันดับห้าก็ให้หัวหน้าทีมอื่นหมุนเวียนกันรับหน้าที่เพื่อให้สะดวกต่อการวางแผนครอบคลุม
หลิงหลานค่อยรู้บทสรุปหลังจากที่เรื่องราวสิ้นสุดลง และก็พูดไม่ออกอย่างยิ่ง! ควรรู้เอาไว้ว่าการที่เธอให้พวกเขาสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ หนึ่งปีก็เพราะอยากให้พวกเขาดูมีค่าต่อการเก็บไว้ ไม่ใช่ให้พวกเขาตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมา และเธอก็ไม่อยากกลายเป็นหัวหน้าอันดับหนึ่งของกลุ่มนักเรียนใหม่นี้ด้วย…เชี่ยเอ๊ย เธอไม่อยากแบกความรับผิดชอบอะไรทั้งนั้นเข้าใจไหม?”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หน้าของหลิงหลานอยู่ในระดับหน้าตายเป็นที่แน่นอนแล้ว แทบจะไม่เห็นอารมณ์ต่างๆ เลย ดังนั้นต่อให้ในใจเธอไม่พอใจอีกสักแค่ไหน แต่ก็ปล่อยออกมาแค่ไอเย็นเยียบไร้ที่สิ้นสุดทรมานบรรดาเพื่อนร่วมชั้นโง่เง่าที่ไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเธอ
ถึงแม้ว่าไอเย็นของหลิงหลานจะทำให้พวกนักเรียนใหม่ขวัญหนีดีฝ่อ ทุกครั้งที่พวกเขาเดินผ่านข้างๆ หลิงหลานก็จะถูกไอเย็นเยียบนี้แช่แข็งจนสองขาสั่นเทา แต่มันก็ทำให้พวกเขาหนักแน่นในความเชื่อมั่นของตัวเองมากยิ่งขึ้น ‘ดูสิ ความสามารถหัวหน้าอันดับหนึ่งของพวกเขายอดเยี่ยมมากเหลือเกิน แค่สายตาก็สามารถแช่แข็งพวกเขาได้แล้ว พวกเขาสามารถเชิดหน้าชูคอยืนอย่างมั่นคงในโรงเรียนทหารภายใต้การนำของเขาได้แน่นอน’
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดเผยเรื่องฝ่ายสถาบันศูนย์กลางลูกเสือตั้งกลุ่มนักเรียนใหม่ให้กับนักเรียนใหม่จากสถาบันอื่นๆ ของโดฮา นักเรียนใหม่เหล่านี้เคยผ่านเหตุการณ์ที่หลิงหลานนำพานักเรียนใหม่ของสถาบันศูนย์กลางยึดอำนาจควบคุมยานบินสำเร็จมาแล้ว เดิมทีพวกเขาก็มีความเชื่อมั่นต่อหลิงหลานมาก ดังนั้นจึงมีนักเรียนใหม่จากโดฮาเข้าร่วมด้วยไม่น้อยเช่นกัน มีเพียงนักเรียนใหม่จำนวนน้อยอย่างยิ่งยวดที่เข้าร่วมกลุ่มอำนาจอื่นๆ ของโดฮาเนื่องจากเหตุผลส่วนตัว
กลุ่มนักเรียนใหม่จึงมีนักเรียนใหม่เข้าร่วมเกือบห้าร้อยคนเช่นนี้เอง องค์กรที่มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนี้ทำให้กลุ่มอำนาจอื่นๆ ไม่กล้ากดขี่ข่มเหงมากเกินไป ถ้าเกิดการปะทะอย่างรุนแรงขึ้นมา ทางโรงเรียนทหารจะลงมือปราบปราม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาเช่นกัน นักเรียนใหม่ในกลุ่มนักเรียนใหม่จึงได้รับพื้นที่ดำรงอยู่อย่างอิสระชั่วคราวภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เอง…
…………………………….
[1] หมายถึง เรื่องราวเพียงเล็กน้อยส่งผลกระทบอันใหญ่หลวง