ลูกพี่ฮั่วถูกหลิงหลานถามกลับจนสะอึกไป ก่อนจะถูกคำพูดกำเริบเสิบสานของหลิงหลานยั่วโมโหติดๆ เขาหัวเราะใส่กลับเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งยวดว่า “คุยโวเชียวนะ เด็กปีหนึ่งตัวเล็กๆ กล้าข่มขู่พวกเราเหรอ?” นักเรียนปีหนึ่งพวกนี้เอาความมั่นใจกับความกล้ามาจากไหนกันแน่?
“ไม่กล้าหรอก ฉันก็แค่อธิบายจุดมุ่งหมายของกลุ่มนักเรียนใหม่เราให้คนภายนอกฟังอย่างชัดเจนเท่านั้น” หลิงหลานตอบกลับอย่างเฉยชา “ฉันเชื่อว่า กลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงของรุ่นพี่ก็มีการประกาศคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน พวกเราแค่ทำเรื่องที่เราควรทำเท่านั้น”
คำพูดของหลิงหลานไม่ผิดเลย ในฐานะที่กลุ่มองค์กร พวกเขาจำต้องเคลื่อนไหวบ้างเพื่อคุ้มครองสมาชิกกลุ่มและผลประโยชน์ของสมาชิก ยกตัวอย่างเช่น วิธีการวางอำนาจต่อคนภายนอกของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงยังอวดเบ่งกว่าที่หลิงหลานพูดไว้ ถึงขนาดที่ขอเพียงไม่ยอมก้มหัวให้ก็จะถูกแบนทุกด้าน
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างนี้คือการสร้างความแข็งแกร่งของตัวเอง…ลูกพี่ฮั่วผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทั่วทั้งร่างปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมดกดดันเด็กหนุ่มตรงหน้า ปากก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ทะเยอทะยาน คำพูดคำจาก็อวดดีมาก แต่นี่ต้องดูด้วยว่านายมีความสามารถที่เหมาะสมหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นก็เป็นแค่คำพูดไร้สาระ ทำให้คนขบขันที่ไม่รู้จักประมาณตนเท่านั้น”
พันเอกถังอวี้ที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลไร้รูปร่างบนตัวลูกพี่ฮั่ว สีหน้าของเขาก็อดเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้ เขารีบเหลือบมองเป้าหมายการโจมตีหลักของแรงกดดันนี้ ก่อนจะพบว่าหลิงหลานยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง อารมณ์ของเขาถึงค่อยผ่อนคลายฉับพลัน รู้สึกวางใจแล้ว
หลิงหลานคล้ายกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรต่อแรงกดดันที่ลูกพี่ฮั่วสำแดงออกมาอย่างลับๆ เธอยังคงตอบเลี่ยงๆ ว่า “นายลองดูได้นะ”
ลูกพี่ฮั่วกำลังอยากจะตอบกลับ พันเอกถังอวี้ที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปากตัดบทว่า “รายชื่อการประลองรอบที่สี่ของทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ประกาศ ดังนั้นรบกวนพวกเธอรีบออกไปจากเวทีประลองด้วย อย่าให้กระทบต่อขั้นตอนการประลอง”
ลูกพี่ฮั่วมองถังอวี้อย่างครุ่นคิดแวบหนึ่งแล้วค่อยมองหลิงหลานอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง เขาเอ่ยพลางหัวเราะหยันว่า “หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้สู้กันสักรอบ คำพูดของนายเมื่อตะกี้นี้คือเรื่องที่ฉันอยากทำพอดี…” เขากล่าวจบก็ไม่รั้งอยู่ที่นี่อีก เขาพุ่งกายหนึ่งครั้งก็ออกไปจากเวทีประลอง กลับไปยังเขตพื้นที่ของเหลยถิง
หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย เผยความเยาะหยันที่เลือนรางสุดขีดออกมา เธอย่อมเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดนี้ ไม่ใช่แค่อยากล้างแค้นแทนสมาชิกกลุ่มของตัวเอง…อย่างไรเสียสุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องสู้กัน เธอก็แค่รอเท่านั้น
หลิงหลานคิดจบก็พุ่งกายกลับไปยังเขตพื้นที่ตัวเองเช่นเดียวกัน เวลานี้เอง อู่จย่งเขยิบเข้ามาใกล้ด้วยความตึงเครียด เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ลูกพี่หลาน พวกเราจะชนะได้จริงๆ เหรอ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของอู่จย่งเผยความไม่แน่ใจออกมา ทำให้หลิงหลานประหลาดใจอย่างยิ่ง อู่จย่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ ไม่มีทางสูญเสียความมั่นใจในตัวเองมาตลอดในความทรงจำของเธอ
“นายคิดจะพูดอะไร?” หลิงหลานเลิกคิ้ว
อู่จย่งเอ่ยด้วยความหวั่นใจนิดหน่อยว่า “ฉีหลงแพ้แล้ว ฉะ…ฉันจะทำได้เหรอ?”
ในใจอู่จย่งรู้ดีว่ากลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบอย่างยิ่งยวด จำเป็นต้องเอาชนะการประลองอีกสองรอบให้ได้ทั้งหมดถึงจะคว้าชัยชนะในการเดิมพันครั้งนี้ได้ นี่ก็หมายความว่า ไม่ว่าเขาออกไปประลองรอบไหนก็แพ้ไม่ได้ทั้งนั้น ความกดดันแบบนี้ไม่เบาเลย กอปรกับเห็นฉีหลงที่แข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อยต่อสู้อย่างยากลำบากขนาดนั้นแต่สุดท้ายก็ยังพ่ายแพ้ไป นี่ทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองเล็กน้อย
คำพูดของอู่จย่งทำให้หลิงหลานหันหน้าไปฉับพลัน สายตาเย็นเยียบดุดันทอดมองตรงไปที่อู่จย่ง
แววตานี้เหมือนกับดาบอันคมกริบแทงตรงเข้าไปในใจอู่จย่ง ทำให้เขาก้มหน้าลงด้วยความอับอาย เขารู้ว่าสภาพจิตใจของตัวเองเกิดปัญหาแล้ว เขาทำตัวรับไม่ได้ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทำผิดต่อความคาดหวังของลูกพี่หลานจริงๆ…
‘เปาะ’ หลิงหลานดีดนิ้วแรงๆ ใส่หน้าผากของอู่จย่งทันที ทำให้อู่จย่งเงยหน้ากุมหน้าผากด้วยความตะลึงลาน
“ได้สติกลับมายัง?” หลิงหลานถาม
“อ่า…” อู่จย่งยังคงตกตะลึง ร้องอ่าออกมาตามจิตใต้สำนึก ดูเหมือนว่าการดีดนิ้วของหลิงหลานเมื่อสักครู่นี้จะทำให้เขาตกใจจนเซ่อซ่าไปจริงๆ ถึงยังไงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิงหลานไม่ได้เหมือนพวกฉีหลงที่สนิทสนมเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนใกล้เคียงกับการร่วมมือกันมากกว่า แต่การกระทำของหลิงหลานเมื่อสักครู่นี้ดูสนิทชิดเชื้ออย่างยิ่งยวด ราวกับปฏิบัติต่อลูกน้องที่รักของตัวเองก็ไม่ปาน นี่ทำให้อู่จย่งรู้สึกตื่นเต้นและเกิดความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ไม่รู้ว่าควรตอบสนองยังไงไปชั่วขณะ
“อู่จย่ง ความจริงแล้วพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของนายไม่ได้ด้อยกว่าฉีหลงตรงไหนเลยนะ” หลิงหลานรอให้อู่จย่งใจเย็นลงเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นมา
“อ่า…” อู่จย่งตกตะลึงกับคำพูดของหลิงหลานอีกครั้ง หรือว่าลูกพี่หลานกำลังปลอบใจเขาอยู่? ควรรู้เอาไว้ว่าเขาถูกฉีหลงกดมาตลอด ไม่เคยเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย เห็นได้ว่าพรสวรรค์ของเขาสู้ฉีหลงไม่ได้
“สาเหตุที่นายสู้เขาไม่ได้เป็นเพราะว่านายไม่ได้ใสซื่อบริสุทธ์เหมือนฉีหลง” หลิงหลานชี้ไปที่หน้าอกตัวเอง
คำพูดของหลิงหลานทำให้อู่จย่งงุนงงอยู่บ้าง หลิงหลานกล่าวต่อว่า “นอกจากการต่อสู้แล้ว หัวใจของฉีหลงไม่ได้ใส่ของอย่างอื่นเอาไว้เลย แต่ว่านายไม่ใช่ ของที่นายต้องพิจารณามีอยู่มากมาย เช่น อนาคตของนาย อนาคตของพวกสมาชิกทีมนาย ทั้งหมดนี้แบ่งความสนใจของนายออกจากการต่อสู้ นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมนายถึงไล่ตามฉีหลงในด้านการต่อสู้ไม่ทันมาตลอด”
อู่จย่งได้ยินคำพูดนี้ก็เอ่ยพลางรู้สึกขมฝาดในใจ “ฉีหลงมีลูกพี่หลานช่วยเขาไง เขาเลยมีสมาธิจดจ่อได้อยู่แล้ว…”
หลิงหลานเอ่ยขัดว่า “ไม่ใช่ ฉันจำได้ว่าในช่วงเวลาสามปีที่ฉันออกไปจากสถาบัน นายยังไล่ตามเขาไม่ได้อยู่ดี ต่อให้ไม่มีการช่วยเหลือของฉันก็ตาม นายไม่เคยคิดมาก่อนเลยหรือไงว่าเป็นเพราะอะไร?”
อู่จย่งอึ้งไป ใบหน้าเผยความสับสนออกมา เขาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงหลานไปชั่วขณะ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนเฉลียวฉลาด เมื่อความคิดหลายอันผุดขึ้นมา เขาก็เข้าใจแล้ว เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นทันทีว่า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง เพราะว่าฉีหลงมีหานจี้จวิน มีลั่วล่าง มีหลินจงชิง มีเซี่ยอี๋…”
“ใช่ ฉีหลงยังมีข้อดีอีกอย่างก็คือเขายินดีเชื่อใจเพื่อน เขาเชื่อว่าเพื่อนของเขาสามารถจัดการเรื่องอื่นๆ ได้เรียบร้อย ดังนั้นเขาถึงไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิ ยังคงตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในวิถีการต่อสู้” หลิงหลานพยักหน้ากล่าวว่า “ฉีหลงรู้ดีว่าบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของเขาคืออะไร และก็พยายามเพื่อบทบาทหน้าที่ของเขามาตลอด”
หลิงหลานพูดถึงตรงนี้ก็มองไปที่อู่จย่งแวบหนึ่งและเอ่ยว่า “ส่วนนาย นอกจากเชื่อใจเยี่ยซวี่แล้ว นายแทบจะเล่นบทบาทของคนอื่นเองหมดเลย…นายมีความกังวลเยอะแยะขนาดนั้น ย่อมสู้ฉีหลงในด้านวิถีต่อสู้ไม่ได้อยู่แล้ว”
อู่จย่งได้ยินถึงตรงนี้ก็ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ สิ่งที่หลิงหลานพูดมาก็คือปัญหาในทีมของเขา ถึงแม้คนในทีมเขาต่างแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเทียบกับทีมของหลิงหลานแล้ว เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนต่างอ่อนด้อยกว่ามาก ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าคุณสมบัติของคนอื่นๆ ในทีมตัวเองสู้พวกหลินจงชิง เซี่ยอี๋ไม่ได้ ตอนนี้ดูเหมือนว่า เป็นปัญหาของตัวเขาเองแล้ว
“แต่มองในทางกลับกัน นายก็ควรภาคภูมิใจในตัวเองนะ” หลิงหลานเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน ทำให้อู่จย่งเงยหน้าด้วยความตกตะลึง มองหลิงหลานอย่างเหลือเชื่อ เขาทำตัวแย่ขนาดนี้ ทำไมลูกพี่หลานยังบอกให้เขาภูมิใจในตัวเองด้วยล่ะ?
“ต่อให้นายแบ่งสมาธิไปสนใจด้านอื่นๆ มากมายขนาดนั้น นายก็ยังไม่ถูกฉีหลงสลัดทิ้งไปไกลมากนัก นายไม่ควรรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเลยหรือไง?” หลิงหลานเลิกคิ้วถามกลับ
คำพูดนี้ของหลิงหลานทำให้หัวใจของอู่จย่งร้อนรุ่มขึ้นมาทันใด ที่แท้เขาไม่ได้ด้อยกว่าฉีหลงเท่าไหร่เลย
“ดังนั้น ฉันเลยเชื่อมั่นในความสามารถของนายว่าจะต้องเอาชนะในช่วงเวลาสำคัญได้…” ในที่สุดหลิงหลานก็เอ่ยคำตอบของเธอออกมา ความจริงแล้วที่เธอพูดอ้อมไปอ้อมมานานขนาดนี้ก็เพื่อกำจัดความไม่มั่นใจเล็กน้อยที่อยู่ในใจของอู่จย่งออกไป ในฐานะที่เธอเป็นลูกพี่ของกลุ่ม ไม่ง่ายสำหรับเธอเลย…
อันที่จริงหลิงหลานรู้สึกกลุ้มใจมาก เธอรับหน้าที่เป็นไลฟ์โค้ชทางใจให้เด็กพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หลี่อิงเจี๋ยก็หนึ่งแล้ว มาตอนนี้อู่จย่งก็ด้วย…แต่พอคิดกลับกัน การกระทำของหลี่อิงเจี๋ยกับอู่จย่งก็ค่อนข้างเหมือนเด็กอายุ 16 ทั่วไป ตรงกันข้าม ฉีหลงกับลั่วล่างที่ทารุณกรรมตัวเองในการต่อสู้นั้นผิดปกติอย่างมาก
หรือว่าเธอไม่ใช่เด็กสาวอายุ 16 ธรรมดา ดังนั้นก็เลยทำให้บรรดาเพื่อนๆ ตัวน้อยที่เติบโตมากับเธอผิดปกติไปด้วย? หลิงหลานคิดถึงตรงนี้ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ แน่นอนว่าแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกเธอโยนออกไปให้พ้นจากสมองอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พูดคุยกันมาช่วงหนึ่ง หลิงหลานก็บรรลุเป้าหมายของเธอ อู่จย่งเปลี่ยนจากลังเลในตอนแรกมาเป็นมั่นใจในตัวเองอย่างหาใดเปรียบ นี่ก็ทำให้หลิงหลานวางใจแล้ว อย่างไรเสียการประลองสองรอบสุดท้ายจะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด
“ลูกพี่ ฝ่ายตรงข้ามส่งรายชื่อมาแล้ว! เป็นฉางเล่อที่อ่อนแอที่สุดตามที่คิดไว้เลย!” ในที่สุดเสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงจิตใจก็เอ่ยปากขึ้นมา คราวนี้เหลยถิงประกาศรายชื่อช้ามาก ใกล้ถึงเส้นตายของห้านาทีสุดท้าย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รายชื่อของฝ่ายตรงข้ามโผล่ขึ้นมา เสี่ยวซื่อก็ส่งชื่อของอู่จย่งไป
นี่เป็นคำสั่งของหลิงหลาน เธอบอกกับเสี่ยวซื่อไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าให้เธอไปสู้กับลูกพี่ฮั่วที่แข็งแกร่งที่สุดคนนั้น ส่วนฉางเล่อที่อ่อนแอที่สุดก็ให้อู่จย่งรับผิดชอบไป ดังนั้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามประกาศตัวแทนที่ได้รับคัดเลือก เสี่ยวซื่อก็ส่งชื่อของอู่จย่งไปทันทีโดยที่ไม่ได้ถามหลิงหลาน
ทางด้านพันเอกถังอวี้ เขาเห็นเหมือนกับว่ากลุ่มนักเรียนใหม่กับกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงส่งรายชื่อมาพร้อมกัน นี่ทำให้เขาเลิกคิ้วน้อยๆ ทอดถอนใจที่กลุ่มอำนาจทั้งสองนี้ต่างอดทนรอจนกระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายถึงค่อยส่งรายชื่อมา เขาไม่รู้เลยว่า หนึ่งในนั้นมีสิ่งมีชีวิตทางปัญญาแสนมหัศจรรย์ทำการโกงไว้ และยังทำได้โดยไม่มีที่ติเช่นนี้ด้วย
“กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง VS กลุ่มนักเรียนใหม่ การประลองรอบที่สี่ ฉางเล่อปีสี่ปะทะกับอู่จย่งปีหนึ่ง!”
หลังจากเสียงประกาศนี้ หลินจื้อตงของเหลยถิงก็ทุบกำปั้นด้วยความหงุดหงิด เดิมทีเขากำลังคิดอยู่ว่าจะให้ลูกพี่ฮั่วขึ้นไปประลองรอบที่สี่ดีไหม แต่เขาก็กลัวว่าเด็กหนุ่มลึกลับที่ทำร้ายเนี่ยเฟิงหมิงจนบาดเจ็บสาหัสในกระบวนท่าเดียวคนนั้นจะขึ้นประลองรอบนี้เหมือนกัน พอคิดไปคิดมา เขาเลยตัดสินใจใช้ฉางเล่อที่อ่อนแอที่สุดไปกำจัดคนที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายตรงข้าม ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นขนาดนี้ ส่งหัวหน้ากลุ่มอู่จย่งของกลุ่มนักเรียนใหม่ออกมา
เวลานี้หลินจื้อตงก็รู้แน่ชัดแล้วว่า อู่จย่งคนนี้น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ต่อหน้าคนนอก แต่ว่าคนที่ควบคุมกลุ่มนักเรียนใหม่อย่างแท้จริงน่าจะเป็นเด็กหนุ่มลึกลับคนนั้น เพราะว่าแรงกดดันที่เด็กหนุ่มลึกลับคนนั้นมอบให้เขาหนักมากกว่าที่มาจากอู่จย่ง…
“แบบนี้ก็ดีมากแล้ว ฉันอยากสั่งสอนเด็กคนนั้นด้วยตัวเองมากๆ” ลูกพี่ฮั่วที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปากพูดขึ้นฉับพลัน นี่ทำให้หลินจื้อตงใจกระตุก ไม่กล้าแสดงความหงุดหงิดออกมาอีก เขาเพียงแต่ผงกศีรษะบ่งบอกว่าเข้าใจแล้วเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของทั้งสองคนก็บ่งบอกเช่นกันว่าพวกเขาไม่คิดว่าฉางเล่อจะชนะ ถึงยังไงอู่จย่งก็เป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ต่อหน้าคนภายนอก เขาย่อมไม่มีทางอ่อนด้อยตรงไหนได้เลยจริงๆ สามคนที่ออกมาประลองต่างอยู่ในระดับพลังปราณ อู่จย่งคนนี้ย่อมต้องอยู่ในระดับพลังปราณเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ช่วงต้นหรือว่าช่วงกลางของระดับพลังปราณ…ขณะเดียวกัน ถึงแม้ฉางเล่อจะอยู่ระดับพลังปราณเหมือนกัน แต่เขาอยู่แค่ขั้นกลางของระดับพลังปราณช่วงต้นเท่านั้น การประลองรอบนี้ย่อมต่อสู้ลำบากแน่นอน