ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่ได้รู้สึกประมาทขึ้นมาเพราะหมัดที่ดูแผ่วเบาของหลิงหลาน เนื่องจากเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบในกระบวนท่าก่อน เพราะฉะนั้นคราวนี้เขาจึงระมัดระวังมากยิ่งขึ้น และคำเตือนของหลิงหลานก็ทำให้เขามีเวลาเตรียมตัวด้วย ดังนั้นให้แทนที่จะให้หลิงหลานบุกจู่โจม ก็ยังไม่สู้ทั้งสองคนโจมตีใส่กันและกัน
ด้วยเหตุนี้ฮั่วเจิ้นอวี่ที่ทำการเตรียมพร้อมไว้นานแล้วจึงเลือกใช้การโจมตีแทนการป้องกัน ใช้กระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขามาต้านทานหมัดของหลิงหลานไว้
เมื่อยอดฝีมือแลกเปลี่ยนกระบวนท่า มันไม่เหมือนกับนักสู้ที่อยู่ในระดับขอบเขตต่ำที่สามารถต่อสู้กันได้หลายร้อย หลายพันกระบวนท่า บางครั้ง ปกติแล้วแค่หนึ่งหรือสองกระบวนท่าก็สามารถตัดสินแพ้ชนะออกมาได้ ฮั่วเจิ้นอวี่รู้ดี เขาเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามก็รู้เช่นเดียวกัน ดังนั้นกระบวนท่านี้ของอีกฝ่ายย่อมไม่ธรรมดาเหมือนภายนอก หมัดนี่ต้องเป็นหมัดที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินแน่นอน
ฮั่วเจิ้นอวี่ย่อมไม่เก็บความสามารถอีกต่อไปแล้ว ลมปราณของเขาจมลงสู่จุดตันเถียน[1]ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นฉับพลันว่า “หมัดสุดยอดผู้พิชิต!”
หลังจากเสียงนี้ มือขวาของฮั่วเจิ้นอวี่ก็กำเป็นหมัดเหล็ก รับกำปั้นของหลิงหลานอย่างรุนแรง
กระบวนท่านี้แสดงรูปแบบหมัดของฮั่วเจิ้นอวี่ทั้งหมด เส้นทางที่เขาคือเส้นทางแห่งความแกร่งกล้าทรงพลัง ยังไม่ทันรับหมัดของหลิงหลาน เสียงระเบิดปราณที่แหวกอากาศทำให้ผู้ชมการประลองหน้าเปลี่ยนสี ต่อให้พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้โดยตรง แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่แฝงอยู่ในหมัดเช่นกัน
สีหน้าของหลิงหลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย หมัดที่เดิมทีมีพลังอยู่เจ็ดส่วนพลันใช้พลังออกไปเก้าส่วนแล้ว มีเพียงกระบวนท่าหมัดที่น่ากลัวและรุนแรงเด็ดขาดแบบนี้ถึงจะเหมาะสมกับสถานะอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ของโรงเรียนทหาร หัวใจของหลิงหลานปรากฏร่องรอยความจริงจังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าดูถูกคู่ต่อสู้แล้ว
‘ปัง!’ กำปั้นทรงพลังสองข้างปะทะกัน หลิงหลานรู้สึกว่าพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามหนักอึ้ง ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เธอสามารถเอาชนะได้ด้วยหมัดหนึ่งนิ้วหนึ่งขั้นสองขั้นได้แน่นอน….
ฮั่วเจิ้นอวี่เพิ่งจะสัมผัสกำปั้นของหลิงหลาน เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังอันเชี่ยวกรากสายหนึ่งส่งมาจากกำปั้น ถึงแม้ว่าจะทรงพลัง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขาต้านทานได้ ทว่าเขายังไม่ทันได้วางใจก็สัมผัสได้ถึงพลังสายใหม่ซ้อนทับบนฐานพลังเดิมก่อนจะพุ่งมาหาเขาอีกครั้ง…
ฮั่วเจิ้นอวี่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาแค่นเสียงเบาๆ โคจรกำลังภายในที่อยู่ในร่างอย่างบ้าคลั่ง ต้านทานพลังมหาศาลที่ซ้อนทับกันขึ้นมานี้อีกครั้ง จุดเด่นของหมัดสุดยอดผู้พิชิตก็คือ หากยังไม่เกินขีดจำกัดร่างกายเขา ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีพลังแข็งแกร่งมากเพียงใด เขาก็ต้านไว้ได้ทั้งหมด
เวลานี้ฮั่วเจิ้นอวี่อดยินดีกับการตัดสินใจของตัวเองในตอนนั้นไม่ได้เช่นกันที่ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไปตรงๆ ไม่ใช่ท่าไม้ตายอื่น ไม่อย่างนั้นพลังที่ซ้อนทับกันอย่างกะทันหันนี้คงจะกระแทกใส่เขาจนได้รับบาดเจ็บแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฮั่วเจิ้นอวี่วางใจได้ไม่กี่ชั่วอึดใจ แปบเดียวเท่านั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังสายใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา ซ้อนทับบนพลังเดิมอีกครั้ง และพลังสายนี้แทบจะทำลายพลังของเขาจนพินาศ หรือว่าเขาจะพ่ายแพ้เพราะเหตุนี้?
“ไม่!” ฮั่วเจิ้นอวี่ที่ไม่ยอมแพ้ตรงนี้แหงนหน้าคำรามอย่างบ้าคลั่ง สองตาของเขาถลึงมองอย่างโกรธเกรี้ยว ใบหน้าแดงฉาน ในขณะเดียวกันแขนขวาพลันนูนขึ้นมาทั้งแขน….
จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘แควก’ แขนเสื้อข้างขวาของฮั่วเจิ้นอวี่ฉีกขาดทันทีกลายเป็นเศษผ้าที่ทยอยร่วงลงสู่พื้น เผยแขนที่กำยำแข็งแรงของเขา รวมถึงกล้ามเนื้อที่นูนขึ้นและเส้นเลือดที่โป่งพองออกมา
ฮั่วเจิ้นอวี่ใช้พละกำลังสูงสุดของหมัดสุดยอดผู้พิชิตทันทีเพื่อต้านทานหมัดหนึ่งนิ้วขั้นสามของหลิงหลาน เขาคาดหวังด้วยใจจริงว่า นี่เป็นการโจมตีสุดท้ายของอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ต้อนรับเขามีเพียงความพ่ายแพ้เท่านั้น
แววตาของหลิงหลานส่องแสงประหลาดออกมาแวบหนึ่ง ดวงหน้าที่เดิมที่ขาวผ่องปรากฏสีแดงฝาดขึ้นมา ก่อนจะได้ยินเธอแค่นเสียงเหอะเบาๆ ฐานของหมัดหนึ่งนิ้วขั้นสามที่เดิมทีกำลังจะหายไปได้เพิ่มพลังชั้นที่สี่ออกมาอย่างไร้ที่มาที่ไป…
พลังนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ เต็มไปด้วยพลังที่สะสมขึ้นมาจากพลังสามสายก่อนหน้านี้ เมื่อฮั่วเจิ้นอวี่สัมผัสได้ถึงการโจมตีของพลังสายที่สี่นี้ สีหน้าของเขาพลันซีดเผือด เขาใช้พลังภายในร่างจนถึงขีดสูงสุดแล้ว ไม่มีพลังเหลือมาต้านรับพลังสายที่สี่ที่โผล่ออกมานี้อีกต่อไป…
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ผัวะ!’ ‘ผัวะ!’ ‘ผัวะ!’ ดังขึ้นหลายครั้ง แขนของฮั่วเจิ้นอวี่พลันปริออกมา แขนทั้งข้างเหมือนกับตะแกรงก็ไม่ปาน ริ้วเลือดนับไม่ถ้วนปริออกมาจากส่วนต่างๆ ในนี้ยังมีเสียงกระดูกแขนหักนับไม่ถ้วนปะปนอยู่ด้วย
แขนของฮั่วเจิ้นอวี่ถูกทำลายทันทีเพราะพลังสายที่สี่นี้ ทว่าการโจมตีไม่ได้หยุดเพียงแค่ตรงนี้ ต่อมาฮั่วเจิ้นอวี่ก็ถูกซัดกระเด็นลอยออกไป ส่งเสียง ‘พรวด!’ กลางอากาศ เลือดสดๆ คำหนึ่งกระอักออกมาจากปากเขา
หลิงหลานเห็นดังนั้นก็เก็บหมัด คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สีแดงเลือดฝาดบนใบหน้าหายไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นขาวซีดในพริบตา เนื่องจากเธอประเมินน้อยไป ทำให้เธอฝืนโคจรหมัดหนึ่งนิ้วขั้นสี่แล้วโดนพลังสะท้อนกลับจนเธอได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อย
คราวนี้ทำให้หลิงหลานได้รับบทเรียนนิดหน่อยแล้ว นั่นก็คือไม่อาจดูถูกคู่ต่อสู้คนไหนได้ในขณะต่อสู้ ต้องต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ไม่อย่างนั้นจะถูกฝ่ายตรงข้ามพลิกสถานการณ์กลับได้ง่ายมาก
‘ฉันเปลี่ยนเป็นหยิ่งจองหองพอใจในตัวเองแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?’ หลิงหลานอดดูหมิ่นตัวเองในใจไม่ได้ นิสัยรอบคอบระมัดระวังแต่เดิมกำลังค่อยๆ หายไปนับตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณพ่อหลิงเซียวยังไม่ตาย นี่ไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่ดีเลย
ดูท่ามีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องดีเหมือนกัน! หลิงหลานตัดสินใจแล้วว่าเธอจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน แสร้งทำเป็นว่าหลิงเซียวยังคง ‘พลีชีพ’ ไปแล้ว แบบนี้จะมีประโยชน์ต่อการเติบโตของเธอมากกว่า
ทางด้านหลิงหลานก็วิเคราะห์สภาพจิตใจของตัวเอง ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้เธอจะเติบโตต่อไปโดยที่ยังพึ่งพาตัวเอง ส่วนฮั่วเจิ้นอวี่ก็กระอักเลือดออกมากลางอากาศ ทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกตัว จากนั้นเขาก็พลิกตัวอยู่บนฟ้าทีหนึ่งแล้วร่อนสู่พื้น แน่นอนว่าพอเขาตกลงสู่พื้นแล้วก็ไม่อาจยืนได้มั่นคง ต้องถอยหลังติดกันสามสี่ก้าวถึงค่อยหยุดฝีเท้ายืนนิ่งได้ เนื่องจากเวลานี้กำลังภายในของเขาหมดเกลี้ยงแล้ว
นักเรียนที่ชมการประลองทั่วทั้งสนามลุกขึ้นมาด้วยความตกตะลึงท่ามกลางเสียงฮือฮา พวกเขาไม่นึกเลยว่าคนที่แข็งแกร่งอย่างลูกพี่ฮั่วก็รับหมัดเดียวของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหวเหมือนกัน ทุกคนต่างรู้สึกว่าโลกใบนี้พลิกคว่ำแล้ว เด็กหนุ่มลึกลับตรงหน้านี้คือเทพจากไหนกันเนี่ย? เพิ่งเข้าประตูโรงเรียนก็สามารถล้มอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ได้?
ฮั่วเจิ้นอวี่พยายามเงยหน้ามองไปยังเด็กหนุ่มผอมเพรียวที่ยังคงทำหน้าเย็นชาตรงข้ามเขา ถ้าหากไม่ใช่เพราะจิตใจของเขามั่นคงแน่วแน่ละก็ เกรงว่าเขาคงไม่อาจประคองตัวเองต่อไปได้แล้ว
พอเห็นหลิงหลานหดแขนขวาตัวเองกลับไปเงียบๆ ฮั่วเจิ้นอวี่ยังคงสังเกตเห็นได้ว่าตอนนี้แขนของอีกฝ่ายกำลังสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เห็นได้ว่าอีกฝ่ายใช้ท่าไม้ตายที่ทรงพลังขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลที่ตามมาเลย นี่ทำให้ในใจเขาได้รับการปลอบประโลมอยู่บ้างเช่นกัน อย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนที่อยู่ยงคงกระพันจริงๆ
ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย…ฮั่วเจิ้นอวี่อดยิ้มขื่นในใจไม่ได้ เขาเชื่อว่าความมั่นใจของตัวเองจะต้องถูกอีกฝ่ายทำลายทันทีแน่นอน แล้วก็เกิดความสงสัยต่อตัวเองว่า ทักษะการต่อสู้มือเปล่าที่ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากห้าปีนี้เป็นเพียงเรื่องขบขันหรือเปล่า…
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความมั่นใจของเขายังคงโดนโจมตีจนเกือบพังทลายอยู่ดี ฮั่วเจิ้นอวี่รู้ว่า หากต้องการสร้างความมั่นใจขึ้นมาใหม่ ลืมเลือนเงามืดที่อีกฝ่ายมอบให้เขา เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลานานมาก…
เวลานี้พันเอกถังอวี้มองไปทางฮั่วเจิ้นอวี่ เอ่ยถามเสียงดังว่า “ฮั่วเจิ้นอวี่ เธอสู้ต่อได้หรือเปล่า?” บางทีผู้ชมยังไม่อาจรู้สภาพของฮั่วเจิ้นอวี่อย่างลึกซึ้งได้ แต่พันเอกถังอวี้ที่ชมดูอยู่ใกล้มากที่สุดรู้ดีว่า ฮั่วเจิ้นอวี่ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว เกรงว่าจะฝืนสู้ต่อไปได้ไม่นานเท่าไหร่
ฮั่วเจิ้นอวี่ได้ยินคำกล่าวก็ยิ้มฝืดเฝื่อน เขาชูมือขึ้นกล่าวออกมาตรงๆ ว่า “กรรมการครับ การประลองรอบนี้ผมขอยอมแพ้” กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดถูกทำลาย ร่างกายเกือบพัง ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่รู้ว่าเขายังสามารถใช้อะไรสู้ต่อไปได้อีก
หลิงหลานเอ่ยปากพูดอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณมากครับ!”
คำพูดที่หลิงหลานเอ่ยมาไม่ใช่คำพูดตามมารยาท หรือว่าพูดไปตามสถานการณ์ เธอขอบคุณการโจมตีเต็มกำลังของฮั่วเจิ้นอวี่จากใจจริงที่ทำให้เธอตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในจิตใจของเธอ นี่สำคัญมากกว่าการคว้าชัยชนะเสียอีก ถ้าหากเธอไม่สังเกตเห็นเลยละก็ รอจนวันที่เธอไปถึงสนามรบของจริง ต่อให้เธอแข็งแกร่งอีกแค่ไหน สภาพจิตใจแบบนี่ก็ทำให้เธอถูกเด็ดปีกตรงนั้นได้เหมือนกัน
คำตอบของฮั่วเจิ้นอวี่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของพันเอกถังอวี้เลย เขามองไปที่หลิงหลานอย่างใคร่ครวญแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ประกาศเสียงดังว่า “กลุ่มนักเรียนใหม่ VS กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง การประลองรอบที่ห้า หลิงหลานปีหนึ่งของกลุ่มนักเรียนใหม่ชนะ คะแนนรวมสามต่อสอง กลุ่มนักเรียนใหม่เป็นผู้ชนะการเดิมพันครั้งนี้!”
สิ้นคำประกาศนี้ ทุกคนในกลุ่มนักเรียนใหม่ต่างกระโดดขึ้นมา ร้องเชียร์อย่างร้อนแรง เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างเชียร์ลูกพี่หลาน หลิงหลานใช้ชัยชนะรอบนี้มาวางรากฐานตำแหน่งสูงสุดของเธอในกลุ่มนักเรียนใหม่ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเทียบเทียมได้
อู่จย่งที่นั่งอยู่ด้านล่างได้ยินเสียงเชียร์เหล่านี้ ในใจก็ไม่มีความรู้สึกเสียใจอะไรเลย หากแต่ชูมือโห่ร้องเสียงดังตามพวกสมาชิกในกลุ่มด้วยกัน ประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายครั้งทำให้เขารู้ดีว่า บางทีเขาสามารถนำพาทีมที่แข็งแกร่งสุดยอดได้ แต่เขาไม่สามารถทำให้มันกลายเป็นทีมราชันไร้พ่ายได้ เพราะว่าเขาขาดความกล้าหาญและกลิ่นอายทรงอำนาจเหมือนหลิงหลาน กระทั่งด้านจิตใจ เขาก็ทำเหมือนหลิงหลานไม่ได้ที่ไม่ว่าเจอความยากลำบากอะไรก็สามารถสงบนิ่งได้เหมือนก่อน…
“ฮ่าๆ ชนะแล้วจริงๆ…” หัวหน้าทีมหลายคนที่อยู่ข้างกายเกาจิ้นอวิ๋นเห็นบทสรุปนี้ก็เผยรอยยิ้มเซ่อซ่าออกมา ต่อให้พวกเขาถูกเกาจิ้นอวิ๋นโน้มน้าวให้ติดตามลูกพี่หลานต่อไปเหมือนก่อน แต่พอเห็นลูกพี่หลานเอาชนะอันดับหนึ่งด้านการต่อสู้ของโรงเรียนทหาร คว้าชัยชนะในการเดิมพันครั้งนี้ได้จริงๆ ก็ยังทำให้พวกเขาตะลึงลานจนจะเป็นลม เนื่องจากผลลัพธ์นี้สะเทือนหัวใจพวกเขาอย่างรุนแรงมากเกินไปแล้วจริงๆ
เกาจิ้นอวิ๋นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยความภูมิใจ “ฮ่าๆๆ ตอนนี้รู้ความร้ายกาจของลูกพี่หลานแล้วสินะ…ต่อให้เหลยถิงอยากกลืนกินกลุ่มนักเรียนใหม่ แต่ขอเพียงมีลูกพี่หลานอยู่ ทุกอย่างก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้น!”
หัวหน้าทีมหนึ่งในนั้นสูดลมหายใจลึกๆ ใจเย็นลง เขาเอ่ยด้วยความชื่นชมว่า “หัวหน้าทีมเกา นายพูดถูกแล้ว ต่อไปพวกเราจะเชื่อฟังนาย”
เวลานี้หัวหน้าทีมเหล่านี้เริ่มลอบดีใจที่พวกเขาหลายคนสนิทสนมกับเกาจิ้นอวิ๋นเลยถูกอีกฝ่ายโน้มน้าวไว้ว่าให้คอยอดทนรอคอยผลลัพธ์ปรากฏออกมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าก้าวนี้คือก้าวที่ถูกต้องแล้ว ตอนนี้พวกเขาอดเสียดายแทนพวกหัวหน้าทีมหลายคนที่จิตใจไม่มั่นคงรีบหาทางหนีทีไล่ก่อนไม่ได้ มันก็เหมือนกับที่เกาจิ้นอวิ๋นว่าไว้ โอกาสมีเพียงครั้งเดียว คว้าได้ก็คือคว้าได้ พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้วจริงๆ
“ไปกันเถอะ พวกเราไปต้อนรับลูกพี่หลานกัน!” เกาจิ้นอวิ๋นเห็นบรรดาสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่ต่างกรูไปที่เวทีประลองก็พูดเสนอขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ได้!” หัวหน้าทีมหลายคนทยอยกันตอบรับเสียงดัง เวลานี้พวกเขาอยากเพลิดเพลินกับความสุขที่ยากจะได้รับนี้ร่วมกับทุกคนในกลุ่มนักเรียน นี่เป็นชัยชนะของพวกเขา บ่งบอกว่ากลุ่มนักเรียนใหม่ตั้งมั่นอยู่ในโรงเรียนทหารอย่างแท้จริงแล้ว…
————————–
[1] จุดเลือดลมที่อยู่ใต้สะดือประมาณสามนิ้ว