ส่วนโจวย่ากลับเงียบไปสักพัก จากนั้นถึงค่อยเอ่ยปากพูดช้าๆ ว่า “รอยยิ้มของรุ่นพี่หลี่ดูอ่อนโยนและไม่มีพิษภัยมากจริงๆ แต่ว่าพอเขายิ้มผมก็จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา อาจเป็นเพราะผมพูดคุยกับรุ่นพี่หลี่เป็นครั้งแรก เลยค่อนข้างรู้สึกแปลกหน้าอยู่…” สีหน้าของโจวย่าดูสับสนอยู่บ้าง
หานอวี้ไม่รอให้โจวย่ากล่าวจบก็ตบมือพูดว่า “เห็นมะ โจวย่ารู้สึกเหมือนฉันเลย…”
คำพูดนี้ทำให้ยิ้มเจื่อนขึ้นมา ความจริงแล้วเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกเคร่งเครียดทำไม แต่มันไม่ได้เหมือนกับที่หานอวี้พูดไว้แน่นอน ที่คิดว่ารอยยิ้มของหลี่หลานเฟิงดูเสแสร้งมาก เขาเป็นรุ่นพี่ที่อ่อนโยนชัดๆ ทำไมหัวหน้ากลุ่มหานอวี้ถึงต่อต้านอีกฝ่ายขนาดนี้ล่ะ?
แน่นอนว่าต่อให้โจวย่าสงสัยอีกแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางเอ่ยถามออกไป เพราะว่าการเป็นปรปักษ์และการปัดแข้งปัดขากันในหมู่คนระดับสูงก็ไม่มีเหตุผลมากมายขนาดนั้น บ่อยครั้งแค่อำนาจส่วนหนึ่งก็ทำให้คนเอาเป็นเอาตายกับอีกฝ่ายได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่ไม่ชอบขี้หน้าเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม โจย่าไม่สนใจเลย เพราะส่วนใหญ่แล้ววิธีการของหานอวี้คือการกวาดล้างอุปสรรคเพื่อให้เขากลายเป็นเสนาธิการของอู๋จี๋ ควรรู้เอาไว้ว่า หลี่หลานเฟิงถูกยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นเสนาธิการของกลุ่มหุ่นรบในอู๋จี๋ มีชื่อเสียงบารทีลึกล้ำในหมู่สมาชิก ถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือของหานอวี้ อาศัยแค่ผลงานของเขาเกรงว่าอาจจะได้แต่รอให้หลี่หลานเฟิงเรียนจบออกไปจากโรงเรียนก่อนถึงค่อยรับตำแหน่งเสนาธิการได้
ในฐานะที่โจวย่าเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เขาไม่อยากอยู่ในโรงเรียนทหารสองสามปีไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาปรารถนาที่จะเฟื่องฟูขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องการแสดงความสามารถของตัวเองออกมา อยากได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาสมาชิกในกลุ่ม
โจวย่าเลยเงียบไปเช่นนี้เอง เหมือนยอมรับคำพูดของหานอวี้โดยปริยายว่า เขาเองรู้สึกเหมือนกันว่าหลี่หลานเฟิงไม่เหมาะสม…
……
จ้าวจวิ้นกับหลี่หลานเฟิงที่ออกมาจากบ็อกซ์ของอู๋จี๋ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ็อกซ์เลย พวกเขาเดินไปถึงปลายสุดของทางเดินก็เจอหลี่ซื่ออวี๋กับอวิ๋นซิวที่ออกมาจากในบ็อกซ์เช่นเดียวกันโดยไม่คาดคิด
เมื่อทั้งสี่คนเจอหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างก็อึ้งไป…
ดวงหน้าหล่อเหลาของหลี่ซื่ออวี๋เผยความสับสนงุนงงออกมาอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มที่สวมหน้ากากปล่อยกลิ่นอายอ่อนโยนออกมาทั่วร่างตรงหน้านี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง…
หลี่หลานเฟิงเป็นคนที่ปรับอารมณ์เร็วที่สุด เขายิ้มออกมาและทำความเคารพของนักเรียนทหารทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า “หลี่ซื่ออวี๋ นักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร เลื่อมใสนายมานานแล้ว”
“เอ่อ สวัสดี ไม่รู้ว่าฉันเคยเจอนายมาก่อนหรือเปล่า?” หลี่ซื่ออวี๋ขมวดคิ้ว อดถามไม่ได้
“ไม่นะ แต่ว่าฉันเคยเห็นนายมาก่อน!” หลี่หลานเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋? เมื่อไหร่กัน?” หลี่ซื่ออวี๋ถามจี้ ความจำของเขาดีมากมาตลอด คนที่อยู่ตรงข้ามเขาให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดมาก เขาไม่เชื่อว่าตัวเองไม่เคยเจออีกฝ่ายจริงๆ
หลี่หลานเฟิงยิ้มแย้มกำลังอยากจะตอบ จ้าวจวิ้นที่อยู่ข้างกายก็เลิกคิ้วถามว่า “หลานเฟิง นี่ก็คือคนที่ตระกูลหลี่ของพวกนายเรียกว่าลูกหลานสายตรงใช่ไหม? หลี่ซื่ออวี๋ อัจฉริยะที่นายเคยพูดไว้”
หลี่ซื่ออวี๋ได้ยินคำพูดก็ตะลึงไป พูดโพล่งออกมาว่า “นายก็เป็นลูกหลานของตระกูลหลี่เหมือนกันเหรอ?”
หลี่หลานเฟิงพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้ว แต่ฉันเป็นแค่ลูกหลานสายรอง ทว่าเมื่อก่อนโชคดีได้อยู่โรงเรียนเดียวกับคุณชายมู่หลาน เพียงแต่ต่อมาคุณชายมู่หลานป่วยเลยหยุดเรียน แล้วก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย…ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณชายมู่หลานเป็นยังไงบ้าง? ร่างกายแข็งแรงดีหรือยัง?” หลี่หลานเฟิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
หลี่ซื่ออวี๋ได้ยินคำพูดนี้ก็ตอบด้วยอารมณ์เซื่องซึมว่า “ร่างกายของพี่มู่หลานไม่ค่อยดีจริงๆ” อย่างไรก็ตาม แปบเดียวหลี่ซื่ออวี่ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “แต่ฉันเชื่อว่าพี่มู่หลานจะต้องดีขึ้นแน่นอน”
แววตาของหลี่หลานเฟิงส่องแสงผิดปกติออกมาแวบหนึ่ง เขาพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิด คุณชายมู่หลานจะต้องดีขึ้นแน่นอน”
คำพูดของหลี่หลานเฟิงทำให้หลี่ซื่ออวี๋อารมณ์ดีขึ้นมาทันที เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนในตระกูลหลี่ยินดีเชื่อว่าญาติผู้พี่คนโตจะแข็งแรงขึ้นมา นี่ทำให้หลี่ซื่ออวี๋ตื้นตันใจอย่างยิ่งยวด อดรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับหลี่หลานเฟิงขึ้นมาไม่ได้
“พวกนายจะกลับแล้วเหรอ?” หลี่หลานเฟิงถามต่อ
ยังไม่ทันที่หลี่ซื่ออวี๋จะเอ่ยปากตอบ อวิ๋นซิวที่อยู่ข้างๆ ก็ตอบเองว่า “พวกเราจะไปเยี่ยมน้องชายของซื่ออวี๋น่ะ หลี่อิงเจี๋นที่ออกไปประลองเป็นคนที่สองของกลุ่มนักเรียนใหม่คนนั้น”
ดวงหน้าของหลี่หลานเฟิงปรากฏความประหลาดใจขึ้นมา “ที่แท้คุณชายซื่ออวี๋ก็อยากไปเยี่ยมคุณชายอิงเจี๋ยนี่เอง…ฉันกำลังเตรียมตัวไปดูอาการบาดเจ็บของคุณชายอิงเจี๋ยอยู่ ไม่สู้เราไปด้วยกันเถอะ”
จ้าวจวิ้นมองหลี่หลานเฟิงอย่างใคร่ครวญแวบหนึ่ง ควรรู้เอาไว้ว่าตอนที่พวกเขาออกมาก็ไม่มีความคิดนี้เลย แต่เขาเคารพการตัดสินใจของหลี่หลานเฟิงมาตลอด ดังนั้นก็ไม่ได้เข้าไปขัดอะไร
หลี่ซื่ออวี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า เห็นแก่ที่อีกฝ่ายหวังดีต่อญาติผู้พี่คนโต เขาไม่อาจปฏิเสธอีกฝ่ายได้
ทั้งสี่คนจึงมาที่ศูนย์รักษาด้วยกันเช่นนี้เอง เมื่อเข้าไปในประตูหลักก็เห็นคนในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอำนาจ ยึดครองกันคนละมุม ต่างฝ่ายต่างเมินเฉยใส่กันและกัน
คนเหล่านี้แยกแยะได้ง่ายมาก กลุ่มหนึ่งต่างสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนใหม่สีเขียวของโรงเรียนทหาร เห็นแวบแรกก็รู้ว่ามาจากปีหนึ่ง ส่วนอีกกลุ่มก็มีทั้งชุดเครื่องแบบสีเขียวและก็สีน้ำเงิน ดูจากอายุแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นนักเรียนที่มาจากชั้นปีสูงๆ นี่ต้องเป็นคนของกลุ่มนักเรียนใหม่กับกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงแน่นอน
เมื่อพวกหลี่ซื่ออวี๋สี่คนย่างเท้าเข้าไปในศูนย์รักษาก็ดึงดูดสายตาของทุกคน ถึงยังไงพวกเขาสามคนก็สวมชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินที่เป็นตัวแทนของนักเรียนหัวกะทิ และหลี่ซื่ออวี๋ก็สวมชุดเครื่องแบบสีขาวที่เป็นตัวแทนของนักเรียนดีเด่น ไม่ว่าคนที่สวมชุดสีนี้เดินไปที่ไหนต่างก็เป็นจุดสนใจของผู้คน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักเรียนใหม่ปีหนึ่งเก็บสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นได้ชัดว่าอายุของสี่คนนี้คือนักเรียนชั้นปีสูง คนของกลุ่มนักเรียนใหม่ไม่คิดว่าคนเหล่านี้มาหาพวกเขา อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่รู้จักพวกรุ่นพี่ที่สุดยอดขนาดนี้ ดังนั้นเป็นไปได้แค่ว่าพวกเขาคือคนของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิง
ส่วนคนของกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงกลับงุนงงสงสัยคนที่มีสายตาแหลมคมหลายคนสังเกตเห็นว่าหลี่หลานเฟิงกับจ้าวจวิ้นคือคนของฝ่ายอู๋จี๋ ส่วนหลี่ซื่ออวี๋ก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลในโรงเรียน กลุ่มหุ่นรบเหลยถิงต่างกล้าล่วงเกินทุกคน แต่ไม่กล้าล่วงเกินนักเรียนของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร เพราะว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คนเหล่านั้นอาจจะเป็นคนกุมความเป็นความตายของพวกเขาในอนาคต ไม่มีใครอยากท้าทายชีวิตของตัวเองหรอก
ศูนย์รักษาขึ้นตรงกับภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร เมื่อเห็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาแพทย์ทหารที่รับผิดชอบควบคุมพวกเขามาที่นี่ด้วยตัวเองก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันใด หนึ่งในนั้นมีหัวหน้าทีมของเจ้าหน้าที่ศูนย์รักษาอยู่ด้วย เขาเดินเข้ามาสอบถามเองว่า “นักเรียนดีเด่นหลี่ ไม่รู้ว่าที่คุณมาคราวนี้ มีอะไรอยากชี้แนะพวกเราเหรอครับ?”
อย่าเป็นแผนการรักษาที่ศูนย์รักษาส่งไปมีข้อผิดพลาดเด็ดขาดเชียวนะ หน้าผากของหัวหน้าทีมหลั่งเหงื่อออกมาหนึ่งชั้น ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะสูญเสียงานในโรงเรียนทหารไป และถูกสั่งให้ปลดประจำการ เปลี่ยนอาชีพกลับบ้าน…ควรรู้เอาไว้ว่าทหารมีตำแหน่งและสวัสดิการสูงที่สุดและได้อภิสิทธิ์มากที่สุดในสหพันธรัฐ พวกเขาไม่อยากสูญเสียสถานะและชื่อเสียงเกียรติยศของทหารไป
“ได้ยินว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บในการประลองเดิมพันครั้งนี้มีเยอะมาก และก็สาหัสมากด้วย ผมก็เลยเข้ามาดูเป็นพิเศษ” คำพูดของหลี่ซื่ออวี๋ทำให้หัวหน้าทีมของศูนย์รักษาโล่งอกทันที
“อธิบายสภาพปัจจุบันของผู้ป่วยให้ผมฟังได้ไหมครับ?” หลี่ซื่ออวี๋ถามต่อ
หัวหน้าทีมของศูนย์รักษารีบเอ่ยว่า “ได้ครับ นักเรียนดีเด่นหลี่โปรดมาทางนี้….” เขาพาหลี่ซื่ออวี๋เดินไปที่ด้านหน้าแคปซูลรักษาเครื่องหนึ่งของชั้นปีสูง หลังจากนั้นก็กล่าวต่อว่า “สภาพของนักเรียนคนนี้สาหัสเป็นพิเศษ กระดูกทั่วร่างแตกหักในระดับที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือวิธีการบดขยี้เป็นพื้นที่กว้างแบบนี้ แต่อวัยวะภายในไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเลย เห็นได้ว่าคนที่ลงมือควบคุพลังได้แม่นยำอย่างยิ่ง ตอนที่พวกเราเห็นก็ตกตะลึงและชื่นชมมากๆ เลยครับ ถึงคู่ต่อสู้จะลงมือด้วยความปรานี ไม่มีอาการบาดเจ็บถึงชีวิตอะไรเลย แต่ถ้าอยากฟื้นฟูกลับมาให้หายดีเป็นปลิดทิ้ง มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากไม่ใช้เวลาถึงสิบเดือน”
หัวหน้าทีมเหลือบมองหลี่ซื่ออวี๋อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยพูดเสียงเบาว่า “นอกเสียจากเอายาสรรพคุณพิเศษที่ภาควิชาแพทย์ทหารวิจัยออกมา บางทีอาจจะลดเวลาได้บ้างครับ”
หลี่ซื่ออวี๋แค่พยักหน้า ทว่าไม่ได้ตอบอะไร เขาย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บได้ยังไง ทั้งหมดเป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เขาไม่สนใจลงมือ กอปรกับอีกฝ่ายยังเป็นศัตรูกับกลุ่มของญาติผู้น้องด้วย ถึงแม้เขาดูถูกญาติผู้น้องงี่เง่าคนนั้น แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้มีคนมารังแกคนของตระกูลหลี่พวกเขา…
หัวหน้าทีมเห็นหลี่ซื่ออวี๋ไม่ตอบก็ถอนหายใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยปากอีก ถึงยังไงยาสรรพคุณพิเศษของแผนกวิจัยการแพทย์ทหารก็ล้ำค่าอย่างยิ่งยวด เมื่อสักครู่นี้ที่เขาพูดแบบนั้นก็เป็นแค่การลองดูเท่านั้น ถ้าหากหลี่ซื่ออวี๋หวั่นไหวจริงๆ ก็นับว่าผู้ป่วยคนนี้โชคดีแล้ว
หัวหน้าทีมพาพวกหลี่ซื่ออวี๋สี่คนเดินไปที่แคปซูลรักษาอีกอัน นี่เป็นแคปซูลรักษาของปีหนึ่ง เด็กหนุ่มหลายคนที่อยู่รอบๆ เห็นพวกเขาเข้ามาใกล้ก็พากันจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับกำลังระมัดระวังพวกเขาว่าจะลงมือทำร้ายเพื่อนหรือเปล่า
หลี่หลานเฟิงเห็นถึงตรงนี้ก็ลอบพยักหน้า กลุ่มนักเรียนใหม่ยังมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ดูเหมือนว่าจะดูถูกไม่ได้จริงๆ
หัวหน้าทีมชี้ไปที่แคปซูลและอธิบายให้หลี่ซื่ออวี๋ฟังว่า “คนนี้เป็นนักเรียนปีหนึ่งครับ เส้นประสาทเส้นเลือดอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายจุด พูดได้ว่าแทบจะเสียชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของเขาแข็งแกร่งสุดยอด กอปรกับยารักษาของที่นี่ เขาน่าจะกลับมาเป็นปกติได้ในสามเดือนครับ”
หลี่ซื่ออวี๋เข้าไปมองใกล้ๆ แล้วพบว่าคนที่นอนอยู่ในแคปซูลรักษาก็คือเด็กหนุ่มดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ที่ออกมาประลองหลังจากหลี่อิงเจี๋ยคนนั้น เขาเห็นการต่อสู้ที่โหดร้ายรอบนั้นแล้วก็อดประทับใจไม่ได้ เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาครึ่งปีถึงจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายดีได้ ไม่นึกเลยว่าสามเดือนก็หายได้แล้ว ดูท่าคุณสมบัติร่างกายของเด็กคนนี้จะยอดเยี่ยมเลิศล้ำ
หัวหน้าทีมชีไปที่แคปซูลรักษาข้างๆ และเอ่ยว่า “นั่นก็เป็นนักเรียนปีหนึ่งเหมือนกันครับ อาการบาดเจ็บที่ได้รับก็สาหัสเหมือนกัน กระดูกสะบักของแขนซ้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าไม่ใช้เวลาสองสามเดือนเกรงว่าคงจะไม่หายดีครับ”
หลี่ซื่ออวี๋เดินเข้าไปดู เป็นหลี่อิงเจี๋ยตามที่คาดไว้เลย เขานอนอยู่ในแคปซูลรักษาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน และยังได้ยินเสียงครวญครางอย่างเลือนราง เมื่อเทียบกับนักเรียนปีหนึ่งด้านข้างที่บาดเจ็บเหมือนกันคนนั้น อาการบาดเจ็บของเขายังหนักหนาและสาหัสกว่าหลี่อิงเจี๋ยอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
หลี่ซื่ออวี๋อารมณ์เสียทันใด เขาแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “บาดเจ็บแค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นก็ทำตัวน่าอับอายแบบนี้ ขายหน้าตระกูลหลี่จริงๆ”
หลี่อิงเจี๋ยได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านนอกแคปซูลรักษา เขาก็ลืมตามองฉับพลัน ทันใดนั้นเขาก็เบิกตาโต จ้องมองหลี่ซื่ออวี๋ด้วยความตกตะลึง แม่งเอ๊ย ญาติผู้พี่คนรองของเขามาโผล่ตรงนี้ได้ยังไง?”
ตอนที่หลี่ซื่ออวี๋ขัดคำสั่งคุณปู่ ตัดสินใจทิ้งเรื่องสถานะผู้สืบทอด ถึงแม้หลี่อิงเจี๋ยไม่รู้ทั้งหมด แต่เขาก็รู้อยู่นิดหน่อยเหมือนกัน เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าญาติผู้พี่คนรองที่ไม่รู้ว่าสมองคิดยังไงถึงได้ปรากฏตัวขึ้นในโรงเรียนทหาร นอกจากนี้ยังสวมชุดเครื่องแบบทหารสีขาวที่ทำให้เขาอิจฉาไม่หยุดด้วย นี่บ่งบอกว่าหลี่ซื่ออวี๋ต้องเป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาสักแห่งแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายเลย
ต่อให้หลี่อิงเจี๋ยที่เป็นคนหยิ่งทระนงก็ล้มเลิกเป้าหมายเรื่องนักเรียนดีเด่นไปแล้วเหมือนกัน เพราะหลี่อิงเจี๋ยรู้ว่า นักเรียนดีเด่นของภาควิชาหุ่นรบพวกเขาคือหลิงหลานเท่านั้น
—————————–