หย่งกวงร้องครวญครางทีหนึ่งถึงค่อยลืมตาขึ้นมา เมื่อเขาพบว่าตัวเองถูกมัดไว้แน่นหนา สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขากำลังคิดจะตะโกนเสียงดังก็สังเกตเห็นว่าเพื่อนของเขายืนอยู่ด้านนอก ก็ตะโกนด้วยใบหน้ายินดีว่า “พี่ซี ช่วยด้วย”
ชายหนุ่มชุดขาวเห็นดังนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “หย่งกวง ฉันอยากถามนาย ฉันบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับลั่วล่างไม่ใช่เหรอ? ฉันให้นายช่วยฉันนัดเขามาออกมาเจอหน้ากัน ทำไมนายถึงก่อเรื่องให้ฉันขนาดนี้ด้วย?”
แววตาของหย่งกวงส่องประกายขึ้นมา เขามองลั่วล่างแล้วก็มองชายหนุ่มชุดขาว จากนั้นก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “ความจริงแล้ว ฉันเองก็อยากนัดลั่วล่างออกมาอย่างเปิดเผยนะ แต่ว่าเพื่อนๆ ข้างกายเขาระมัดระวังกันมากเลย ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปใกล้ หมอนั่นก็ไม่ให้ฉันเข้าไปใกล้ ถึงฉันพูดว่าไม่มีเจตนาร้าย แค่อยากทำความรู้จัก แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายฉันไม่มีทางเลือกแล้วถึงได้ใช้วิธีการแบบนี้ เดิมทีคิดว่าพอถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็จะอธิบายสถานการณ์ให้ชัดเจน ไม่นึกเลยว่าจะยั่วโมโหลั่วล่างเข้า ตีฉันจนสลบไประหว่างทาง”
หย่งกวงกล่าวถึงตรงนี้ก็กล่าวขอโทษอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ขอโทษนะ ลั่วล่าง ที่ทำให้นายเข้าใจผิด”
“เรื่องทุกอย่างนี้เป็นแค่ความคิดของนายจริงๆ เหรอ?” ถึงแม้อีกฝ่ายอธิบายมาแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำให้ลั่วล่างคลายความระแวงลงได้ นิ้วมือข้างขวาของเขายังคงกุมด้านหลังคออีกฝ่ายไว้ ขอเพียงมีการเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อยก็จัดการฝ่ายตรงข้ามได้ทันที และการกระทำนี้ของเขาก็เตือนคนอื่นอย่างลับๆ ด้วยว่าอย่าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม ในมือเขามีตัวประกันอยู่
หย่งกวงได้ยินคำถามของลั่วล่างก็ตอบว่า “ใช่แล้ว ฉันเป็นคนของภาควิชาแฮคเกอร์ ดังนั้นเลยได้แต่ใช้วิธีการของแฮคเกอร์นัดนายออกมา” หย่งกวงภาคภูมิใจกับวิธีการของตัวเองเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็ห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว “เดิมทีฉันอยากใช้ระบบของศูนย์วิจัยแพทย์ทหารส่งข้อความไปให้นาย แต่ว่าที่นั่นเจาะยากมากเกินไป สุดท้ายเลยได้แต่ใช้ของศูนย์รักษา โชคดีที่นายไม่ได้สงสัย”
คำพูดของหย่งกวงอธิบายว่าทำไมข้อความถึงส่งมาจากศูนย์รักษา นี่ทำให้ลั่วล่างอดเชื่อไปแล้วสามส่วนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในใจก็ลอบดูถูกตัวเองเช่นกัน ก็เหมือนที่ลูกพี่หลานว่าไว้ เขามีแค่ความกล้าและความแข็งแรงของนักสู้ แต่ว่าไม่มีอุบายของคนฉลาด ช่องโหว่ธรรมดาขนาดนี้ เขาก็ไม่ได้ตรวจสอบเลยสักนิดเดียว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาดูผิดปกติมากเกินไปจริงๆ เกรงว่าสุดท้ายเขาก็ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ตอนนี้ในใจลั่วล่างตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเขามีโอกาสจะต้องไปหาหานจี้จวินเพื่อขอคำแนะนำพิเศษ ต่อให้กลายเป็นคนเฉลียวฉลาดอย่างหานจี้จวินไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อาจให้อีกฝ่ายใช้แผนการธรรมดาแบบนี้ล่อเขาออกมาเหมือนกัน นี่มันน่าขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ เขาคาดเดาอนาคตได้เลยว่า พอกลับไปแล้วจะต้องถูกพวกเพื่อนๆ หัวเราะเยาะแน่นอน
“โฮเวอร์คาร์คันนั้นก็เป็นฝีมือของนายด้วยเหรอ?” ลั่วล่างถามต่อ
หย่งกวงกวาดท่าทีซึมเซาทิ้งไปทันที เอ่ยด้วยใบหน้าภาคภูมิใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นแค่ case เล็กๆ” เขายังมีความมั่นใจในความสามารถเฉพาะทางของตัวเองมาก
ท่าทีเช่นนี้ของฝ่ายตรงข้ามทำให้ความสงสัยในใจลั่วล่างหายไปเล็กน้อย ชายหนุ่มชุดขาวคล้ายกับมองออกว่าความเย็นชาบนใบหน้าลั่วล่างหายไปแล้วนิดหน่อย เขาก็รีบเอ่ยปากว่า “นายดูสิ ลั่วล่าง ฉันไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ นะ ฉันแค่รู้สึกถูกชะตากับนายมากๆ ดังนั้นเลยอยากทำความรู้จักนายเท่านั้น” เขากล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้ายังเผยร่องรอยการไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา
ลั่วล่างเห็นแล้วหัวใจก็อดอ่อนลงไม่ได้ แต่ดวงหน้าเคร่งขรึมเย็นชาของหลิงหลานปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง ดวงตาเย็นชาคู่นั้นเสียดแทงเข้ามาในใจลั่วล่างโดยตรง ทำให้หัวใจของเขาเคร่งเครียดขึ้นอีกครั้ง หัวใจที่เดิมทีอ่อนลงเล็กน้อยเปลี่ยนเป็นเย็นชาแข็งกระด้างขึ้นมาอีกรอบ
ตอนที่ชายหนุ่มชุดขาวเห็นแววตาของลั่วล่างกลับมาเย็นชาอีกครั้ง ร่างของเขาก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ สีหน้าที่เดิมทีไม่ได้รับความเป็นธรรมคล้ายกลับแข็งทื่อไปชั่วขณะ…
……
หลิงหลานที่กำลังทำภารกิจในโลกหุ่นรบหยุดเคลื่อนไหวฉับพลัน ทำให้เสี่ยวซื่อที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความงุนงงสุดขีด “ลูกพี่ เธอเป็นอะไรไปน่ะ?”
“พลังจิตของฉันถูกรบกวน!” หลิงหลานขมวดคิ้วตอบ
“เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวซื่อประหลาดใจมาก เขาสัมผัสไม่ได้เลยว่ามีผีซวีอยู่ใกล้พวกเขาในโลกเสมือนจริง ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโจมตีใส่ลูกพี่”
“มาจากโลกเสมือนจริงหรือเปล่า?” หลิงหลานถามเสี่ยวซื่อ เสี่ยวซื่อรู้เรื่องในโลกเสมือนจริงดีกว่าเธอ
“ไม่ใช่ ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรไม่มีผีซวีเลย นอกเสียจากโลกใบนี้ยังมีตัวตนที่อยู่ระดับเดียวกับฉัน ต่อให้เป็นแบบนั้น ก็หนีเซนเซอร์ของฉันไม่พ้นเหมือนกัน” เสี่ยวซื่อตอบด้วยความมั่นใจ
คิ้วของหลิงหลายขมวดแน่นมากขึ้น ในเมื่อไม่ใช่ของโลกเสมือนจริง การโจมตีนี้มาจากไหนกันล่ะ?
เวลานี้หลิงหลานลืมไปแล้วว่า เธอได้ปล่อยพลังจิตของตัวเองหลายสายออกมาส่งเข้าไปในสมองของพวกเขาในการต่อสู้ประจัญบานตอนนั้นเพื่อคุ้มครองพวกฉีหลง ตอนนั้นหลิงหลานกลัวว่าพวกเขาจะถูกอัดจนสลบ จะบุ่มบ่ามตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาวอกฤติ ดังนั้นเธอจึงทิ้งพลังจิตสายนี้เอาไว้ มันจะกระตุ้นพวกเขาให้กลับมาเยือกเย็นในช่วงเวลาสำคัญ…
เดิมทีเธอต้องเก็บกลับไปหลังจากการต่อสู้ประจัญบาน แต่เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เธอถูกคนลอบสังหาร ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสลบไสลออกจากโรงเรียนกลับไปที่บ้าน พอได้สติกลับมาก็กราบอาจารย์มู่สุ่ยชิง ฝึกฝนทักษะบัญชาเทวะ ทำให้เธอลืมไปหาเพื่อนๆ เพื่อเก็บพลังจิตที่เธอฝากไว้กลับมา
เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายพลังจิตหลายสายนี้ก็ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังจิตของพวกเพื่อนๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ทว่ามีข้อดีที่ไม่คาดฝันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อพวกเพื่อนๆ ถูกผู้มีความสามารถทางจิตโจมตี ทางหลิงหลานก็จะสัมผัสได้บ้าง เพียงแต่ตอนนี้หลิงหลานไม่รู้มูลเหตุนี้เลย ดังนั้นในใจจึงงุนงงว่าการโจมตีนี้มาจากทางไหน
“ฉันต้องออฟไลน์แล้ว รู้สึกใจไม่ดีนิดหน่อยมาตลอดเลย” หลิงหลานตัดสินใจซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง ก็รีบออกจากโลกเสมือนจริง
……
ภายในบ้านพักของทีมหลิงหลาน ห้องหนึ่งบนชั้นสามคือห้องที่ตั้งแคปซูลล็อกอินสู่โลกเสมือนจริงโดยเฉพาะ เมื่อเซี่ยอี๋กลับมาถึงที่พักของทีมก็วิ่งตรงไปที่ชั้นสาม ขอเพียงยังไม่ถึงเวลาทานอาหาร พวกลูกพี่หลานกับลั่วล่างก็จะอยู่ในโลกเสมือนจริง และเขาต้องไปหาลูกพี่หลานเพื่อปรึกษากันก่อนในตอนที่ลั่วล่างยังไม่รู้เรื่องราวว่าจะโน้มน้าวให้ลั่วล่างยอมรับภารกิจที่โรงเรียนทหารส่งมาคราวนี้ยังไง
ที่แม้เมื่อสิบวันก่อนเป็นช่วงเวลาประเมินครั้งแรกของนักเรียนปีห้าที่สมัครสอบเข้ากองพลต่างๆ พูดได้ว่านี่เกี่ยวพันถึงอนาคตของพวกผู้สมัครสอบแน่นอน และก็เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งด้วยเช่นกัน
เนื่องจากนักเรียนที่ผ่านการประเมินรอบนี้จะได้รับทรัพยากรที่ดีที่สุดของกองพล ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีที่สุด ไปยังหน่วยที่ดีที่สุดและสามารถได้รับการพัฒนามากที่สุด ส่วนการประเมินอีกหลายรอบหลังจากนี้ก็ไม่มีการปฏิบัติและสวัสดิการที่ดีขนาดนั้นแล้ว นี่ก็เป็นการประเมินครั้งหนึ่งที่โรงเรียนทหารทุกแห่งต่างพยายามช่วงชิงกันอย่างสุดความสามารถ
ทีมประเมินที่กองพลส่งออกมาไม่เพียงมาที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง ในโรงเรียนทหารแห่งอื่นๆ ก็มีจุดสมัครสอบหลายแห่งที่ต้องไปเช่นกัน ที่นั่นจะรวบรวมนักเรียนที่ทำการประเมินจากโรงเรียนทหารแห่งอื่นๆ ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดสุดขีด ดังนั้น สิ่งที่โรงเรียนให้ความสำคัญมากที่สุดทุกปีก็คือการประเมินรอบแรกนี้ ควรรู้เอาไว้ว่าที่ผ่านมาโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งยึดครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งในหมู่นักเรียนที่ผ่านการประเมินทั้งหมด นี่ก็เป็นเหตุผลที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งอยู่เหนือกว่าโรงเรียนทหารแห่งอื่นๆ มาโดยตลอด
โรงเรียนทหารย่อมคาดหวังว่าเกียรติยศของพวกเขาจะแผ่ขยายต่อไปได้เรื่อยๆ นี่เลยทำให้ความต้องการในด้านต่างๆ สูงขึ้นมาเช่นกัน โรงเรียนหวังว่าจะสามารถเพียบพร้อมดีงามในทุกๆ ด้าน ทิ้งความประทับใจที่ดีอย่างยิ่งยวดให้กับผู้ทดสอบจากกองพลต่างๆ หวังว่าพวกเขาจะลงมือย่างปรานีในตอนที่ปรอะเมิน และกุญแจสำคัญที่สุดก็คือการแสดงการต้อนรับ…
เนื่องจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งต่างเป็นพวกนายท่าน ดังนั้นจึงไม่เหมือนโรงเรียนทหารอื่นๆ ที่ผสมชายหญิง สามารถส่งสาวงามออกมาต้อนรับได้ ครั้งนี้พวกเขาได้ข่าวว่า โรงเรียนทหารสหศึกษาสหพันธรัฐที่เป็นศัตรูคู่แค้นของพวกเขาจะส่งทีมผู้หญิงที่เรียกได้ว่าสวยที่สุดไปต้อนรับเหล่าผู้ทดสอบ นี่ทำให้พวกคนระดับสูงของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเครียดมาก
ถ้าหากคราวนี้พวกเขายังคงส่งผู้ชายใจร้อนออกไปต้อนรับโดยที่มีตัวเปรียบเทียบแบบนี้ พวกเขาจะยั่วโมโหผู้ทดสอบเหล่านั้นหรือเปล่านะ? เมื่อคิดว่าเหตุผลนี้อาจจะส่งผลต่อคะแนนของพวกผู้สมัครสอบ พวกเขาก็ร้อนใจราวกับแผดเผา ครุ่นคิดแผนรับมืออย่างยากลำบาก และก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเสนอแนะ บอกว่าในหมู่ผู้ชายก็มีคนที่โตมาสวย ยกตัวอย่างเช่น ลั่วล่างปีหนึ่ง (เนื่องจากลั่วล่างเข้าร่วมการประลองเดิมพัน เป็นที่รู้จักของคนไม่น้อย ต่อให้เป็นคนระดับสูงก็เคยได้ยินเหมือนกัน) นี่ทำให้พวกเขาเหมือนได้รับฟางช่วยชีวิต ค้อนทุบโต๊ะตัดสินใจหาเด็กหนุ่มที่สวยงามน่าดึงดูดบางคนมาทำเรื่องนี้
สุดท้ายหลังจากที่ศึกษากันมา ทุกคนคิดว่ายังคงเป็นนักเรียนใหม่ปีหนึ่งที่เหมาะกับหน้าที่นี้มากที่สุด พวกเขาบริสุทธิ์ ไม่มีความกลิ้งกลอกของพวกนักเรียนเก่า ถ้าหากทำผิดพลาดโดยทันไม่ระวังจริงๆ เชื่อว่าพอพวกผู้ทดสอบเห็นอายุน้อยๆ ของพวกเขาก็ไม่อาจตำหนิความผิดในอดีตได้เหมือนกัน
สุดท้ายเรื่องนี้ก็ถูกมอบให้กลุ่มนักเรียนใหม่รับผิดชอบ ใครใช้ให้ลั่วล่างเป็นคนของกลุ่มนักเรียนใหม่ล่ะ นอกจากนี้กลุ่มนักเรียนใหม่ก็เป็นองค์กรเดียวที่ถูกยอมรับจากบรรดานักเรียนใหม่ ไม่ไปหาพวกเขาแล้วจะไปหาใครได้ล่ะ
ความจริงแล้วที่เซี่ยอี๋ถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียกตัวไว้ก็เพื่อเรื่องนี้ อาจารย์ประจำชั้นของปีหนึ่งพวกเขาให้นักเรียนคนนั้นเป็นตัวแทนมาแจ้งให้เขาไปที่ห้องพักครูของอาจารย์ประจำชั้น (นับตั้งแต่ที่ฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บ เซี่ยอี๋ก็แทนที่พวกเขาชั่วคราว กลายเป็นผู้ช่วยของอู่จย่ง ช่วยอู่จย่งจัดการเรื่องของกลุ่มนักเรียนใหม่ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมาหาเซี่ยอี๋)
พอเซี่ยอี๋ไปถึงห้องพักครูของอาจารย์ประจำชั้นก็เห็นอู่จย่งอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน เขารู้สึกรางๆ ว่าอาจจะเป็นเรื่องของกลุ่มนักเรียนใหม่ ความจริงก็ยืนยันว่าเซี่ยอี๋คาดเดาได้ไม่ผิด อาจารย์ประจำชั้นบอกความคิดของพวกคนระดับสูงในโรงเรียนทหารให้พวกเขาฟัง บอกให้กลุ่มนักเรียนใหม่รับผิดชอบงานต้อนรับในครั้งนี้ นอกจากนี้ก็พูดถึงความโดนเด่นของลั่วล่างขึ้นคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้ตั้งใจต่อหน้าพวกเขา แนะนำว่าให้เขานำทีมที่เหมาะสมที่สุด
อู่จย่งกับเซี่ยอี๋ได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มเจื่อนไม่หยุด คำพูดของอาจารย์ประจำชั้นทำให้พวกเขาเข้าใจแผนการของคนระดับสูงในโรงเรียนทหาร พวกเขาถูกใจลั่วล่างที่มีหน้าตาเหมือนทั้งผู้ชายและผู้หญิง…แต่เดิมทีลั่วล่างก็เกลียดที่มีคนเอาเรื่องหน้าตาเหมือนผู้หญิงของเขามาพูดถึง ทั้งสองคนไม่รู้ว่าถ้าหากลั่วล่างล่วงรู้แผนการของคนระดับสูงในโรงเรียนทหารแล้วจะบันดาลโทสะจนไปล้มโต๊ะผู้อำนวยการทันทีหรือเปล่า?
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ปรึกษากันแล้วคิดว่าคนที่สามารถจัดการลั่วล่างได้เกรงว่าก็มีแค่ลูกพี่หลานเท่านั้น ดังนั้นเซี่ยอี๋จึงกลับมาที่บ้านพักแล้วก็วิ่งตรงขึ้นมาที่ชั้นสามเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กับหลิงหลาน
เซี่ยอี๋พเพิ่งจะย่างเท้าเข้ามาในห้องแคปซูลล็อกอินก็เห็นแคปซูลล็อกอินของลูกพี่หลานเปิดฝาออกฉับพลัน หลิงหลานนั่งขึ้นมาอย่างเรียบร้อย กำลังเตรียมตัวออกมาจากแคปซูลล็อกอิน
เซี่ยอี๋เห็นดังนั้นก็เอ่ยด้วยความดีใจว่า “ลูกพี่หลาน ฉันมีเรื่องปรึกษานายพอดีเลย” เซี่ยอี๋กล่าวจบก็กุลีกุจอหยิบผ้าขนหนูของหลิงหลานจากบนเคาน์เตอร์แล้วเดินเข้าไปยื่นให้หลิงหลาน
“เรื่องอะไร?” หลิงหลานรับผ้าขนหนูที่เซี่ยอี๋ยื่นมาให้อย่างสุภาพ ก่อนจะเดินไปพลางถามไปพลาง เธอเตรียมตัวไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านข้างเพื่อล้างหน้า
——————————–