“ไม่ได้รู้สึกรุนแรงขนาดนั้นแล้ว หลังจากที่ปราบบุคลิกเย็นชาสุดขีดได้แล้ว ฤทธิ์ยานั้นก็อ่อนลงไปมาก บุคลิกเย็นชาสุดขีดคือท่าไม้ตายในการจัดการกับยาปลุกอย่างที่คาดไว้เลย” ลั่วล่างที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องราวเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
นี่ทำให้ดวงหน้าเย็นเยียบของหลิงหลานที่ยืนอยู่ด้านข้างอดสั่นระริกเบาๆ ไม่ได้ เอาเถอะ เธอเป็นคนเลว เธอไม่มีทางบอกความจริงกับลั่วล่างแน่นอนว่า ความจริงแล้วการบาดเจ็บของนายในคืนนี้คือเรื่องที่ไม่จำเป็นเลย
“อาการบาดเจ็บของนายเป็นยังไงบ้าง?” หลิงหลานยังคงอดไม่ไหวขยี้จมูกเอ่ยถามด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ลั่วล่างได้ยินคำพูดก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ฉับพลันว่า “ไม่ค่อยดีนัก บาดเจ็บหนักมากเลย ดูเหมือนต้องไปรักษาที่ศูนย์รักษาสักรอบแล้ว”
“ไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารดีกว่านะ” หลิงหลานกล่าว
รอยยิ้มบนใบหน้าลั่วล่างแข็งทื่อคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างได้ หลิงหลานเลิกคิ้วถามว่า “นึกถึงไอ้สวะนั่นขึ้นมา? กลัวเหรอ?”
ลั่วล่างส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ใช่ ลูกพี่จัดการไอ้สวะนั่นแล้ว ฉันต้องกลัวอะไรอีก?” เขากล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เผยความเย็นชาออกมา “ฉันเชื่อว่าตอนนี้เขาจะต้องอยู่ไม่สู้ตายแน่นอน”
ลั่วล่างเชื่อใจหลิงหลานมาก รู้ว่าลูกพี่ของเขาไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ แบบนี้ ถึงแม้ลูกพี่ของเขาไม่อาจเอาชีวิตของอีกฝ่ายได้เพราะไม่อยากก่อความวุ่นวาย แต่ลูกพี่จะต้องใช้วิธีการอื่นมาทำลายอีกฝ่ายแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น อนาคตของอีกฝ่าย…วิธีการล้างแค้นแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน การแค้นเคืองคนผู้หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาตาย ทำลายของที่เขาหวงแหนมากที่สุดสิ นั่นถึงค่อยน่าพอใจ
“วางใจได้ เขาจะอยู่อย่างคนเลอะเลือนไปชั่วชีวิต ไม่มีใครรู้ว่านายถูกคนลักพาตัวไป นายแค่ไปศูนย์วิจัยแพทย์ทหารเท่านั้น…” หลิงหลานบอกจุดจบของซือหมิงอี้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค และบอกเขาว่าเรื่องนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ไม่มีต่อจากนี้อีก
“ขอบคุณลูกพี่!” ลั่วล่างได้ยินคำกล่าวก็ยิ้มละไม ถึงแม้ดวงหน้ายังเขียวช้ำ แต่องคาพยพทั้งห้าที่สวยงามยังคงทำให้คนรู้สึกว่าเขายิ้มได้สวยมาก
“สายแล้ว พวกเราไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารเร็วหน่อยเถอะ รักษาเร็ว นายก็กลับมาได้เร็ว” หลิงหลานส่งสัญญาณให้เสี่ยวซื่อเปิดประตูห้อง เตรียมตัวพาลั่วล่างไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร
รอยยิ้มของลั่วล่างแข็งทื่ออีกครั้ง เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “ลูกพี่ ไม่ไปที่นั่นได้หรือเปล่า?”
“เพราะอะไร?” หลิงหลานถามด้วยความใคร่รู้
เวลานี้ร่างกายของลั่วล่างอดสั่นเทาไม่ได้ เขาเอ่ยขณะที่ใบหน้าแฝงไปด้วยร่องรอยความหวาดกลัวว่า “ยาที่หลี่ซื่ออวี๋ให้พวกเราใช้ทรมานมากเกินไป?” เขาเล่าเรื่องที่ยาทำปฏิกิริยาภายในร่างกายให้หลิงหลานฟังทีละจุด แววตาของหลิงหลานเปล่งประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงจิตใจก็ทำหน้าประหลาดใจเช่นกัน ยาที่ลั่วล่างพูดถึงนั้นทำไมถึงได้เหมือนกับเวอร์ชั่นอัปเกรดของยายีนเลยล่ะ?
หรือว่าหลี่ซื่ออวี๋ใช้ของที่คล้ายคลึงกับยาแบบนี้? หลิงหลานลูบคาง ทำหน้าครุ่นคิด นี่ก็อธิบายได้ว่าทำไมคุณสมบัติร่างกายของลั่วล่างถึงได้เลื่อนระดับขึ้น ดูเหมือนว่าหลี่ซื่ออวี๋คนนั้นยังมีความสามารถกว่าที่เธอจินตนาการไว้เสียอีก
“เสี่ยวซื่อ นายว่าให้หลี่ซื่ออวี๋คนนั้นมาเป็นหมอของทีมพวกเราก็ไม่เลวมากเลยใช่ไหม?” เธอไม่อาจปล่อยแพทย์ทหารที่มีความสามารถแบบนี้ให้หนีรอดไปได้
มุมปากของหลิงหลานยกขึ้นเป็นรูปโค้งอย่างชัดเจนมาก เมื่อรวมกับสายตาที่คิดคำนวณนั้นด้วย เสี่ยวซื่อก็อดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ รีบกล่าวว่า “ใช่ หลี่ซื่ออวี๋ไม่เลวมากๆ เลย ลูกพี่ฉลาดปราดเปรื่อง!”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้จักหลี่ซื่ออวี๋คนนั้น จะไปสนทำไมว่าเขาตกอยู่ในมือลูกพี่ตนแล้วจะมีจุดจบแบบไหน ขอเพียงเขาทำให้ลูกพี่มีความสุขก็พอ เสี่ยวซื่อผลักหลี่ซื่ออวี๋เข้าขุมนรกโดยไม่ลังเล!
หลิงหลานทีแก้ปัญหาเรื่องแพทย์ประจำทีมได้แล้วก็พาลั่วล่างไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารด้วยอารมณ์ที่ดียิ่ง เมื่อมาถึงหน้าประตูกลับเจอคนผู้หนึ่ง หลิงหลานเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา ความรู้สึกแรกคือฝ่ายตรงข้ามดูคุ้นๆ อยู่บ้าง
แน่นอนว่าหลิงหลานไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในขณะที่เธอกำลังคิดจะเข้าไปในประตู คนผู้นั้นกลับเอ่ยทักทายก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “อรุณสวัสดิ์ รุ่นน้องหลิงหลาน!”
หลิงหลานจำต้องหยุดฝีเท้า ถึงแม้ภายนอกของหลิงหลานจะดูเย็นชามาก ทั่วทั้งร่างปล่อยไอเย็นออกมา ท่าทีดูเหมือนไม่อาจเข้าใกล้ได้ แต่ความจริงแล้วในใจเป็นเด็กดีที่มีมารยาทมาก ปกติแล้วขอเพียงทักทายเธออย่างเป็นมิตร หลิงหลานไม่มีทางไม่ไว้หน้า
“อรุณสวัสดิ์ รุ่นพี่!” หลิงหลานตอบกลับเรียบๆ
“แหะๆ ดูเหมือนน้องจะจำฉันไม่ได้แล้ว ฉันคือหลี่หลานเฟิงจากชั้นปีสี่ของห้องควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษ ครั้งที่แล้วเราเจอกันที่ศูนย์รักษาหลังจากที่พวกนายประลองเสร็จไง” หลี่หลานเฟิงได้ยินคำตอบของหลิงหลานก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ดังนั้นเขาเลยแนะนำตัวเองอย่างใจดี และเตือนว่าพวกเขาเคยเจอกันตอนไหน
ในที่สุดหลิงหลานก็นึกออกแล้วว่าคนตรงหน้าคือใคร ตอนที่อยู่ในศูนย์รักษาเวลานั้น คำพูดเดียวของเขาทำให้หลี่ซื่ออวี๋รับช่วงต่อรักษาพี่น้องทั้งสามคนของเธออย่างสบายใจในที่สุด หลิงหลานคิดถึงตรงนี้ก็ผงกศีรษะกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นรุ่นพี่หลี่นี่เอง สวัสดีครับ”
“วันนี้น้องมาที่นี่ทำไมกัน?” หลี่หลานเฟิงถามด้วยความสงสัย สายตาของเขากวาดมองไปยังลั่วล่างที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งมีสภาพน่าอนาถตาบวมจมูกช้ำ เขาก็พลันเอ่ยด้วยความตกใจว่า “เอ่อ ทำไมน้องคนนี้ถึงได้ดูแย่ขนาดนี้ล่ะ?” เขาจ้องมองด้วยความจริงจังสักพักแล้วก็อุทานขึ้นมา “นี่รุ่นน้องลั่วล่างไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่านายหายดีกลับไปแล้วเมื่อหลายวันก่อนหรอกเหรอ?”
ลั่วล่างหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน หลิงหลานตอบแทนเขาว่า “เช้าวันนี้พวกเราไปหอต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กันแล้วพบว่าบนตัวลั่วล่างมีปัญหาอยู่เล็กน้อย ดังนั้นก็เลยมาหานักเรียนดีเด่นหลี่เพื่อทำความเข้าใจสักหน่อย”
“ฉันก็มาหาคุณชายซื่ออวี๋พอดีเลย พวกเราไปด้วยกันเถอะ” หลี่หลานเฟิงรู้สึกได้ถึงความร้อนรนในใจหลิงหลาน รีบพูดเสนอแนะขึ้นมา ดังนั้นทั้งสามคนจึงเข้าไปในศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร ตามหาหลี่ซื่ออวี๋ทันที
……
เวลานี้หลี่ซื่ออวี๋กำลังตรวจสอบข้อมูลเฝ้าสังเกตการณ์ต่างๆ ของฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยเมื่อคืน เมื่อเขาเห็นข้อมูลดีขึ้นวันแล้ววันเล่า ในใจเขาก็โล่งอก ดูท่ายายีนดัดแปลง S จะเลื่อนระดับคุณสมบัติร่างกายเป็นพิเศษอยู่บ้างจริงๆ กระทั่งตอนที่ฟื้นฟูบาดแผลให้กลับมาเป็นปกติ ก็ยังเพิ่มขึ้นหลายเท่า ขอเพียงผ่านไปอีกสิบวัน คาดว่าฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยก็น่าจะกลับมาแข็งแรงโดยสมบูรณ์ กลับไปเข้าร่วมการฝึกฝนร่างกายต่อได้แล้ว
ในขณะที่เขากำลังอารมณ์ดีสุดขีดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนกำลังร้องหาเขาที่ด้านหลังตนว่า “คุณชายซื่ออวี๋ สวัสดี!”
หลี่ซื่ออวี๋หันหน้ากลับไปมอง เป็นหลี่หลานเฟิงนี่เอง เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “หลานเฟิง นายมาแล้ว” ช่วงนี้หลี่หลานเฟิงมีเวลาว่างก็จะมาเยี่ยมเขา นี่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนเปลี่ยนเป็นสนิทกันมาก
อย่างไรก็ตาม ตอนที่เห็นคนที่อยู่ข้างกายหลี่หลานเฟิง อารมณ์ดีๆ ของหลี่ซื่ออวี๋ก็หยุดชะงักลง
“นายมาทำอะไร? หลี่ซื่ออวี๋กลอกตาใส่หลิงหลานอย่างดุดัน ทั่วทั้งใบหน้าดำทะมึนลงโดยพลัน เขายังคงจำความแค้นเรื่องที่หลิงหลานข่มขู่เขาได้อยู่เลย
หลิงหลานคล้ายกับไม่รู้สึกถึงความไม่พอใจของหลี่ซื่ออวี๋ เอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉยว่า “ฉันมาก็เพื่อส่งลั่วล่างคืนให้นาย” คำพูดประโยคนี้ทำให้ลั่วล่างที่ยืนอยู่ด้านหลังเธออึ้งไปทันที ไม่เข้าใจมากๆ ว่าลูกพี่หลานของเขาพูดแบบนี้ทำไม
“ส่งคืน? หมายความว่ายังไง?” หลี่ซื่ออวี๋ก็ตะลึงงันไปเหมือนกัน มองหลิงหลานด้วยสีหน้ามึนงง
“แผลเก่าของเขากำเริบ ถ้าฉันไม่มาหานาย แล้วจะไปหาใครได้อีก?” มุมปากของหลิงหลานยกขึ้นเล็กน้อย กวาดมองด้วยสายตาเย็นเยียบ แววตานั้นเฉียบคมทำให้หัวใจของหลี่ซื่ออวี๋กระตุกขึ้นครั้งสองครั้ง
ลั่วล่างได้ยินคำพูดนี้ก็ลอบปาดเหงื่อเย็นๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากหน้าผาก ‘ลูกพี่ นายชั่วร้ายเกินไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะกล้าเอาอาการบาดเจ็บพวกนี้มาใส่ร้ายนักเรียนดีเด่นหลี่’
หลี่ซื่ออวี๋สงบใจ เอ่ยประท้วงด้วยใบหน้าโกรธเคืองว่า “นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง ตอนที่เขาออกไป ข้อมูลต่างๆ บ่งบอกชัดเจนว่าเขาหายดีจนไม่อาจดีไปมากกว่านี้แล้ว…”
“แต่เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ” หลิงหลานชี้ไปที่ลั่วล่าง ส่งสัญญาณให้หลี่ซื่ออวี๋เข้ามาตรวจสอบดู
หลี่ซื่ออวี๋สาวเท้าขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วจับชีพจรของลั่วล่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันใด เขารีบลูบหน้าอกของลั่วล่าง ตรวจดูอาการบาดเจ็บภายใน จากนั้นเขาก็จ้องหลิงหลานอย่างดุดัน เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ทำไมนายลงมือหนักขนาดนี้?”
หลิงหลานดึงแขนเสื้อตัวเองอย่างใจเย็น ตอบกลับด้วยความเย็นชาว่า “นายคิดว่าฉันจะลงมือโหดแบบนี้ตอนที่แลกเปลี่ยนความรู้กับพี่น้องตัวเองเหรอ?”
“งั้นอาการบาดเจ็บภายในตรงนี้ของเขามาได้ยังไงล่ะ? มีคนลอบโจมตีลั่วล่างหรือไง?” หลี่ซื่ออวี๋ชี่ไปที่หน้าอกของลั่วล่าง ถามอย่างโมโห
“ไม่มีการลอบโจมตีอยู่แล้ว เช้าวันนี้ฉันไปแลกเปลี่ยนความรู้ที่หอต่อสู้กับลั่วล่าง ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่าก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว” หลิงหลานตอบอย่างเยือกเย็น “ฉันใช้แรงที่ก่อนหน้านี้ลั่วล่างรับมือได้มาตลอด แต่ตอนที่โจมตีโดนลั่วล่าง ไม่นึกเลยว่าลั่วล่างจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ นี่ทำให้ฉันสงสัยว่า ร่างกายของลั่วล่างยังไม่ฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์ใช่หรือเปล่า แต่นายกลับปล่อยเขาออกมาแล้ว?”
“ก่อนเขาออกไป ข้อมูลการตรวจสอบทุกอย่างต่างเป็นดัชนีของคนปกติ ฉันถึงให้เขากลับไป” ได้ยินหลิงหลานตั้งคำถามต่อมาตรฐานของภาควิชาเขา หลี่ซื่ออวี๋ถลึงตาใส่ นี่เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้เป็นอันขาด
“ฉันเชื่อนาย แต่ฉันไม่เชื่อเครื่องจักรพวกนี้” หลิงหลานตบอุปกรณ์รักษาที่อยู่ข้างกายเบาๆ ทันใด “มีอาการบาดเจ็บบางอย่างซ่อนอยู่ภายในตัวผู้ป่วยมาตลอด มีความเป็นไปได้สูงว่าอุปกรณ์วินิจฉัยพวกนั้นจะตรวจไม่เจอเลย ยกตัวอย่างเช่น พลตรีบ๊อบของจักรวรรดิซีซาร์ เขาถูกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดวินิจฉัยว่าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้วเหมือนกัน แต่ครึ่งปีให้หลัง แผลเก่าของเขากลับกำเริบ สุดท้ายก็ช่วยชีวิตไม่ได้แล้วก็เสียชีวิตไป…หรืออย่างเช่น ผู้บัญชาการทีล่าจากสมาพันธ์ไอยินก็พลาดช่วงเวลารักษาที่ดีที่สุดไปเพราะการวินิจฉัยผิดพลาดเหมือนกัน ต้องปลดประจำการล่วงหน้า ขนาดสหพันธรัฐเราก็มีการวินิจฉัยผิดพลาดแบบนี้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ต้องให้ฉันยกตัวอย่างทีละรายไหม? หลี่ซื่ออวี๋ นายคิดว่านายสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าอุปกรณ์วินิจฉัยพวกนั้นไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ เหรอ?”
หลิงหลานอ่านรายชื่อเหตุการณ์วินิจฉัยผิดพลาดที่เสี่ยวซื่อรวบรวมมาไปพลาง ถามกลับด้วยคำพูดเฉียบขาดไปพลาง นี่ทำให้สีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋เปลี่ยนเป็นขึ้นสีแดงไม่หยุด แต่เขากลับเอ่ยคำพูดประท้วงออกมาไม่ได้ เนื่องจากที่หลิงหลานกล่าวมาต่างเป็นเรื่องจริง ขนาดอาจารย์ของเขาก็ไม่กล้าพูดว่าไม่มีวันพลาดร้อยเปอร์เซ็นต์
“แต่อัตราความแม่นยำของเครื่องอยู่ที่ 99.97% นะ…” หลี่ซื่ออวี๋เอ่ยค้านอย่างอ่อนแรง ถึงแม้ว่ามีการวินิจฉัยผิดพลาดอยู่จริงๆ แต่อัตราแบบนี้มันต่ำมากเกินไป
“ดังนั้น มันยังมีอัตราความผิดพลาดอยู่ 0.03% นายรับรองได้ไหมว่าลั่วล่างไม่อยู่ในหมวดนี้?” หลิงหลานตัดบทหลี่ซื่ออวี๋ทันที กล่าวพลางจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย
หลี่ซื่ออวี๋อ้าปาก แต่พบว่าเขาไม่สามารถเอ่ยคำว่าแน่นอนออกมาได้ ถึงแม้ในใจเขาไม่คิดว่าเขาจะวินิจฉัยผิดพลาด แต่ในทางการแพทย์ เขาไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ
“ฉันได้ยินว่า แพทย์ทหารที่เก่งกาจอย่างแท้จริงสามารถวินิจฉัยได้ด้วยตัวเองว่าผู้ป่วยฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงดีแล้วหรือยัง หลังจากนั้นก็ค่อยเอามารวมกับผลการตรวจสอบของเครื่องจักร โดยพื้นฐานแล้วมันจะกำจัดความเป็นไปได้ในเรื่องการวินิจฉัยผิดพลาด ฉันอยากถามนักเรียนดีเด่นหลี่ว่า นายได้ทำเรื่องนี้หรือเปล่า?” หลิงหลานถามจี้อีกครั้งโดยไม่หยุดพักเลยสักนิดเดียว
—————————–