อย่างไรก็ตาม เหล่าเด็กหนุ่มที่แสดงผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมยังคงถูกพลตรีของกองพลที่ยี่สิบสามคนนั้นขู่ขวัญอยู่ดี เมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจบนตัวพลตรีคนนั้น มันน่ากลัวจนเกือบจะสยบพวกเขาในชั่วพริบตา ถ้าหากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพูดคุยกับหลิงหลานทำให้พลังสายนี้กระจายตัวออกไปแล้วละก็ เกรงว่าพวกเขาคงจะยืนหยัดได้ไม่นานนัก
นี่ก็ทำให้พวกเขาชื่นชมกองพลที่ยี่สิบสามอย่างลับๆ สมกับที่เป็นคนของนายพลหลิงเซียว เมื่อเทียบกับกองพลอื่นๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่าร้ายกาจกว่ามาก นี่จึงทำให้เด็กหนุ่มเหล่านี้เคารพเลื่อมใสต่อกองพลที่ยี่สิบสามไม่หยุด สี่ปีให้หลังมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยตั้งเป้าไว้ว่าจะสอบเข้ากองพลที่ยี่สิบสาม
นี่ย่อมเป็นการเข้าใจผิดที่งดงาม ลองคิดดูสิ ไอพลังของหลิงหลานที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณโดยสมบูรณ์ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ย่อมต้องเหนือกว่าระดับของทหารทั่วไปแน่นอน กอปรกับทหารเหล่านี้กลัวว่าจะกดดันนักเรียนมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาเลยเก็บงำไอพลังบนร่างไว้ ถึงได้ทำให้พวกนักเรียนเข้าใจผิดแบบนี้
นอกจากนี้หลิงเซียวก็เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ต่อให้เขาสะกดกลั้นพลังบนร่างตัวเองไว้ทั้งหมด แต่ระดับขอบเขตของพวกเขาห่างกันมาก แค่เข้าใกล้ก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมนักเรียนถึงสัมผัสได้อย่างรุนแรงขนาดนั้น เพียงแต่ว่าหลังจากที่เขาได้พูดคุยกับลูกสาวตัวเอง เขาก็อารมณ์ดีเลยคลายไอพลังป้องกันบนร่างโดยไม่รู้ตัว ทำให้แรงกดดันนั้นสลายหายไปเยอะมาก อันที่จริงมีเพียงเวลาแบบนี้เท่านั้นที่เป็นโอกาสดีที่สุดในการลอบสังหารหลิงเซียว จำเป็นต้องพูดว่า หลิงเซียวมีจุดอ่อนแค่สองข้อเท่านั้น นั่นก็คือหลานลั่วเฟิ่งกับหลิงหลานสองแม่ลูก
ดังนั้น ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่ง หากแต่หลิงเซียวกับหลิงหลานสองพ่อลูกแข็งแกร่งมากเกินไป ถึงได้สร้างความเข้าใจผิดที่น่าประหลาดแบบนี้ออกมา
หลังจากที่บอกลากับบรรดาคนในทีมแล้ว หลิงหลานก็พาลั่วล่างกลับมาที่บ้านพักของพวกเขา ยังไม่ทันที่หลิงหลานจะบอกความจริงกับลั่วล่าง หลิงหลานก็ได้รับการแจ้งเตือนที่พวกระดับสูงของโรงเรียนทหารส่งมา บอกว่าเดี๋ยวจะมีตัวแทนทดสอบของกองพลที่ยี่สิบสามไปเยี่ยมชมที่บ้านพักของเธอ
พวกระดับสูงของโรงเรียนยังไม่ลืมเตือนหลิงหลานในตอนท้ายข้อความว่า หาโอกาสชมเชยโรงเรียนให้ดีๆ ถ้าโรงเรียนดี ทุกคนก็จะดีมากขึ้น
หลิงหลานวางสายอุปกรณ์สื่อสารด้วยใบหน้าเย็นเยียบ ข่าวนี้ทำให้พวกหานจี้จวินมองหน้ากันเอง ควรรู้เอาไว้ว่าทีมทดสอบของกองพลไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนักเรียนใหม่อย่างพวกเขาเลยสักนิดเดียว ทำไมคนของกองพลที่ยี่สิบสามมาหาพวกเขาด้วย? เวลานี้พวกเขารู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง ลืมเลือนไปชั่วขณะว่าหลิงเซียวผู้บัญชาการกองพลที่ยี่สิบสามคือพ่อของหลิงหลาน
เอาเถอะ เนื่องจากหลิงหลานไม่เคยพูดเรื่องหลิงเซียวต่อหน้าพวกเขา เวลาผ่านไปนานเข้า พวกเขาแทบจะไม่สนใจเรื่องที่หลิงเซียวเป็นพ่อของหลิงหลานเลย นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของความมืดใต้ดวงไฟ พูดได้แค่ว่า ในสายตาของพวกเขา หลิงหลานแข็งแกร่งจนทำให้พวกเขาลืมตัวตนของหลิงเซียวได้เลย
“แม่งเอ๊ย พ่อโง่เง่านี่ยังจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?” หลิงหลานที่หงุดหงิดใจได้แต่อยู่ในห้องโถงรอคอยการมาถึงของพ่อเธอด้วยใบหน้าเย็นเยียบ
พอเห็นลูกพี่หลานมีไอเย็นไปทั่วทั้งร่าง ทุกคนต่างรู้ว่าหลิงหลานอารมณ์เสียเอามากๆ ตอนนี้ลั่วล่างแน่ใจแล้วว่า ลูกพี่ของเขาจะต้องรู้จักพลตรีคนเมื่อตะกี้แน่นอน
นอกจากตัวแทนของพวกระดับสูงในโรงเรียนทหารแล้ว คนที่มาบ้านพักมีเพียงคนจากกองพลที่ยี่สิบสามสามคนเท่านั้น คนที่เดินนำก็คือหลิงเซียว ส่วนอีกสองคนก็ตามหลังเขามาอย่างเงียบเชียบ เมื่อหลิงเซียวก้าวเข้าไปในห้องโถงของบ้านพัก พวกเขาก็เลือกสองตำแหน่งแล้วยืนนิ่งไม่ไหวติงโดยอัตโนมัติ
หลิงหลานเห็นดังนั้นก็รู้ว่าสองคนนี้จะต้องเป็นคนคุ้มกันส่วนตัวของพ่อเธอแน่นอน เพราะว่าตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ หนึ่งคือหน้าต่าง ขอบเขตสายตาตรงหน้าต่างกว้างมาก สามารถควบคุมสถานการณ์ด้านนอกไว้ได้ ส่วนอีกคนก็ยืนอยู่ในตำแหน่งที่แทบจะถูกทุกคนมองข้าม แต่ทุกคนในห้องโถงต่างตกอยู่ในสายตาของเขาอย่างชัดเจน พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าใครในห้องโถงมีการเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรขึ้นมา เขาสามารถมองเห็นได้ทั้งหมด คนหนึ่งอยู่ที่ลับ คนหนึ่งอยู่ที่แจ้ง คนหนึ่งอยู่ด้านใน คนหนึ่งอยู่ด้านนอก ร่วมมือได้อย่างรู้ใจกันดีเยี่ยม
หลิงเซียวพยักหน้าให้พวกหลิงหลานหกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาในห้องโถงภายใต้การจัดการของคนในระดับสูงของโรงเรียนทหาร จากนั้นก็พูดคุยกับพวกหลิงหลานอย่างสนิทสนมหลายประโยค ทำความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาคร่าวๆ และก็พูดคุยกับคนในระดับสูงของโรงเรียนทหารรอบหนึ่ง สุดท้ายตัวแทนของระดับสูงในโรงเรียนทหารก็จำเป็นต้องบอกลาจากไปภายใต้คำขอของเขา แน่นอนว่าก่อนจากไปก็ไม่ลืมส่งสายตาว่าให้หลิงหลานทำตัวดีๆ
หลังจากที่ตัวแทนระดับสูงของโรงเรียนทหารจากไปแล้ว เมื่อในบ้านพักเหลือเพียงกลุ่มของหลิงหลาน รวมถึงพวกหลิงเซียวสามคน หลิงเซียวก็เปลี่ยนอิริยาบถจากที่เดิมทีเป็นผู้ดีสง่างาม เขาไหวไหล่ เอนตัวลงบนโซฟาโดยไม่มีภาพลักษณ์เลยสักนิดเดียว ปากก็บ่นอุบอิบว่า “คุยกับพวกเขาแล้วเหนื่อยใจจริงๆ เลย!”
ท่าทางซึมกะทือเหมือนกับกำลังอยู่ในบ้านตัวเองเช่นนี้ทำให้ขอบตาของคนคุ้มกันหลิงเซียวสองคนกระตุกขึ้นเบาๆ คาดว่าพวกเขากำลังร่ำร้องในใจว่า ‘รบกวนท่านช่วยรักษาบุคลิกและความน่าเกรงขามของนายพลสักนิดเถอะครับ!’
แน่นอนว่าท่าทางเช่นนี้ย่อมทำให้พวกฉีหลงมองหน้ากันเองเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ถ้าหากพูดคุยอย่างเอาจริงเอาจัง พวกเขายังรู้ว่าจะพูดอะไรได้บ้าง ทว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันกันอย่างเหนือความคาดหมายเช่นนี้ พวกเขาก็รับมือไม่ถูกเหมือนกัน
พวกเขาต่างมองไปที่ลูกพี่หลิงหลานของตัวเองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะเห็นหลิงหลานเอามือสองข้างกอดอก มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก…เอาเถอะ ลูกพี่อารมณ์ไม่ค่อยดีแน่นอน พวกเขายืนห่างหน่อยจะดีกว่า
หานจี้จวิน เซี่ยอี๋และหลินจงชิงสามคนถอยไปข้างหลังหลายก้าวอย่างเงียบเชียบ หานจี้จวินยังคงเป็นพี่น้องที่มีน้ำใจ ก่อนจะถอยหลังไปเขายังไม่ลืมดึงฉีหลงที่เอื่อยเฉื่อยด้วย
ฉีหลงมองพวกเขาสามคนเว้นระยะห่างจากลูกพี่หลานอย่างไร้สุ้มไร้เสียงด้วยสีหน้างุนงง ก่อนจะสัมผัสกลิ่นอายของลูกพี่ตัวเองอีกรอบ เอาเถอะ ถึงแม้ว่าเขาจะเฉื่อยชา แต่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาทำให้เขารู้ว่า การตัดสินใจของพวกหานจี้จวินคือสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นเขาก็ถอยหลังตามไปทันที และเขาก็ไม่ลืมเตือนลั่วล่าง ช่วยเหลือสหายที่ร่วมตกทุกข์ได้ยากด้วยกันกับเขา
หลังจากที่ลั่วล่างตระหนักได้ก็ถอยหนีไปอย่างเงียบเชียบแบบนี้เช่นกัน อันที่จริงการกระทำเหล่านี้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น ถ้าหากไม่ได้สังเกตละก็ คงจะคิดว่าพวกเขาห้าคนถอยหลังไปแทบจะพร้อมกันเลย
บางทีไอเย็นเยียบทั่วร่างของหลิงหลานอาจจะกดดันผู้คนอยู่บ้าง ในที่สุดพอรู้ตัวอีกทีหลิงเซียวก็สังเกตเห็นว่า ลูกสาวของเขาดูเหมือนไม่ได้ยินดีต้อนรับการมาของเขาเลย เขารีบลุกขึ้นมาเอ่ยด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “นักเรียน การมาของพวกเรารบกวนเธอหรือเปล่า?”
“คุณว่าไงล่ะ? ท่านพลตรี?” หลิงหลานตอบอย่างเย็นชา เธอคาดการณ์ล่วงหน้าได้แล้วว่า ชีวิตนักเรียนทหารที่เดิมทีสงบเงียบมากจะต้องถูกพ่อของเธอทำลายลงแน่นอน (จะว่าไป ชีวิตนักเรียนทหารของหลิงหลานก็ไม่เคยสงบเงียบมาตั้งแต่แรกแล้ว…นี่ถือว่าเป็นการใส่ความของหลิงหลานหรือเปล่า?)
คำตอบของหลิงหลานทำให้หลินจงชิงกับเซี่ยอี๋สูดลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง ใช้ท่าทีไม่ต้อนรับแบบนี้มาปฏิบัติต่อพลตรีของกองพลที่ยี่สิบสามจะดีจริงๆ เหรอ?
มีเพียงหานจี้จวินที่คล้ายกับมีอะไรบางอย่างแล่นวาบขึ้นในสมอง เพียงแต่มันเร็วมากเกินไป เขาคว้าไว้ไม่ทัน นี่ทำให้เขาขมวดคิ้วเริ่มใคร่ครวญขึ้นมา
เวลานี้คนคุ้มกันของหลิงเซียวสองคนนิ่วหน้าพร้อมกัน พฤติกรรมของหลิงหลานทำให้พวกเขาโมโหอย่างยิ่ง ในฐานะที่พวกเขาเป็นคนคุ้มกันข้างกายหลิงเซียว พวกเขาไม่อนุญาตให้มีคนหยาบคายต่อผู้การของพวกเขาได้ โดยเฉพาะผู้การคนนี้ยังเป็นคนที่พวกเขาเคารพเลื่อมใสที่สุดด้วย
คนผู้เดียวที่ยังคงอารมณ์ดีกลับเป็นหลิงเซียว เขาไม่สนใจท่าทีของหลิงหลานเลยแม้แต่น้อย สรุปคือ ไม่ว่าลูกสาวของเขาจะทำสีหน้าท่าทางอะไร ในสายตาคนเป็นพ่ออย่างเขาต่างเห็นว่าดีเลิศประเสริฐศรี…ดูสิ นี่ก็คือลูกสาวของฉัน ไม่มีทางลดความหยิ่งทระนงของเธอลงเพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่เลย! สมกับที่เป็นทายาทของหลิงเซียว! ในสายตาของคุณพ่อยี่สิบสี่กตัญญู ลูกของเขาย่อมไม่มีจุดบกพร่อง ถ้าหากมีจุดที่ไม่ดีจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องเป็นความผิดของคนอื่น
ดังนั้นหลิงเซียวที่รู้สึกภาคภูมิใจก็เดินไปหาหลิงหลานด้วยใบหน้ายิ้มละไม เขากางแขนเอ่ยว่า “สรุปแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ในโรงเรียนทหารนี้ก็ต้องรบกวนเธอแล้วนะ” หลิงเซียวเตรียมตัวใช้อ้อมกอดอันร้อนแรงบ่งบอกความรู้สึกภาคภูมิใจของเขาในเวลานี้ รวมถึงความรักของพ่อที่เต็มเปี่ยมด้วย
การกระทำอันร้อนแรงของหลิงเซียวทำให้ห้าคนที่เหลือในกลุ่มหลิงหลานหน้าถอดสี พวกเขาที่เดิมทีเว้นระยะห่างจากหลิงหลานช่วงหนึ่ง คราวนี้พุ่งไปด้านหลังอีกหลายก้าวแทบจะพร้อมกัน เว้นระยะออกไปอีกช่วงหนึ่ง
พวกเขารู้ดีว่าลูกพี่ของตนเกลียดการสัมผัสร่างกายกับคนแปลกหน้ามากๆ ต่อให้พวกเขาก็ไม่อาจสัมผัสใกล้ชิดได้ถ้าไม่จำเป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอ้อมกอดที่เร่าร้อนแบบนี้เลย
หานจี้จวินอดชำเลืองมองลูกพี่หลานที่กำลังยืนตัวตรงอยู่ด้านหน้าพวกเขาปล่อยไอเย็นออกมาทั่วร่างอย่างเคร่งเครียดไม่ได้ เขาหวังว่าลูกพี่ของตนจะอดทนครั้งนี้ไปได้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นพลตรีของกองพลที่ยี่สิบสาม ถ้าหากล่วงเกินอีกฝ่ายละก็…
ไม่ใช่สิ กองพลที่ยี่สิบสามเป็นกองพลของพ่อหลิงหลานไม่ใช่เหรอ? ในที่สุดสมองของหานจี้จวินก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหันหน้ามองไปยังพลตรีที่มีท่าทีสนิทสนมอย่างชัดเจนคนนั้นด้วยใบหน้าตะลึงลาน ความคิดหนึ่งแล่นวาบเข้ามา…
ความจริงก็ยืนยันออกมาแล้ว หลิงหลานไม่มีทางทำผิดต่อตัวเองแน่นอน เธอชูหมัดขึ้นมาฉับพลันก่อนจะซัดใส่ท้องของคนที่มาอย่างโหดเหี้ยม
‘ผัวะ’ หลิงหลานต่อยพ่อของเธอกลับไปบนโซฟาทันที การโจมตีที่โจ่งแจ้งสุดขีดนี้ทำให้สีหน้าของชายสองคนที่อยู่ข้างกายหลิงเซียวเปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด ร่างกายที่เดิมทีคิดจะขัดขวางเคลื่อนไหว แต่กลับถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งสะกดไว้ ไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้เลย
พวกเขามองไปทางผู้การของตัวเองด้วยความตกตะลึง ไม่กล้าขัดขืน เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าพลังสายนี้มาจากใคร เป็นท่านหลิงเซียวผู้การของพวกเขานี่เอง
เมื่อเห็นหลิงเซียวล้มลงไปบนโซฟาด้วยสีหน้าเจ็บปวด กุมท้องตัวเองไว้แสร้งทำเป็นน่าสงสาร หลิงหลานก็เป่าหมัดของตัวเอง เอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “คุณมาที่นี่ทำไม?”
“ฉันคิดถึงเธอไงล่ะ” หลิงเซียวกล่าวด้วยสายตาเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ในใจเขากลับดีใจสุดขีด เพราะว่าท่าทีเช่นนี้ของหลิงหลานยืนยันว่าลูกสาวของเขาจำเขาได้นานแล้ว สมกับที่เป็นลูกสาวของเขาจริงๆ สายตาแหลมคม แยกความจริงได้ในแวบเดียว
“คุณมาที่นี่โดยที่ทิ้งกองพลที่ยี่สิบสามอย่างไร้ความรับผิดชอบ คุณเป็นผู้บัญชาการแบบนี้เหรอ?” ในที่สุดหน้าน้ำแข็งของหลิงหลานก็แตกออกแล้ว เธอคำรามเสียงต่ำ
ทำไมเธอถึงคิดว่าหลิงเซียวคือผู้ชายที่ดีมีความรับผิดชอบคู่ควรให้ไว้วางใจได้นะ? อย่างที่คิดไว้เลย ภาพลักษณ์ที่จินตนาการออกมาในใจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างรุนแรง หลิงหลานรู้สึกเหมือนเธอถูกหลอกแล้ว
เสียงนี้ทำให้พวกฉีหลงเซ่อซ่าไป พวกเขาทำหน้าตกตะลึงมองท่านพลตรีที่ใบหน้าเปิดเผยเพียงแค่ดวงตา นั่งกุมท้องอยู่บนโซฟา เขาก็คือนายพลหลิงเซียวไอดอลทั่วทั้งสหพันธรัฐที่อ่อนโยนสง่างาม ทำให้คนรู้สึกเหมือนรับสายลมฤดูใบไม้ผลิคนนั้นเหรอ?
มีเพียงหานจี้จวินที่พรูลมหายใจเบาๆ เอ่ยในใจว่า ‘เป็นเขาจริงๆ ด้วย~!’
“พ่อคิดถึงลูกชายตัวเอง มาเยี่ยมแล้วมีอะไรไม่ถูกต้องเหรอ?” ในเมื่อถูกลูกสาวเปิดโปงแล้ว หลิงเซียวก็ไม่เสแสร้งอีกต่อไป เขาพลันนั่งลงบนโซฟาดีๆ ดึงผ้าปิดปากที่ทำให้เขาอึดอัดอยู่บ้างลงมา เอ่ยด้วยใบหน้าหนักแน่นมีเหตุผล