ภายใต้ผ้าปิดปากคือดวงหน้าหล่อเหลาที่ทำให้คนทั่วทั้งสหพันรัฐต่างคลั่งไคล้จริงๆ ด้วย ใบหน้ายิ้มแย้มตามมาตรฐานของหลิงเซียวยังคงดูน่าเคารพและน่าเข้าใกล้
คำพูดของหลิงเซียวทำให้ผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่ข้างกายมองไปทางหลิงหลานด้วยความตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะรู้มาตลอดว่านายพลหลิงเซียวมีลูกอยู่หนึ่งคน แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องราวโดยละเอียด ยิ่งไม่รู้ว่าอยู่ในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง มิน่าล่ะ ครั้งนี้นายพลถึงมาที่นี่อย่างน่าประหลาดใจ เกรงว่าคงจะมาเพื่อเยี่ยมลูกของเขา
แววตาของผู้คุ้มกันทั้งสองคนส่องประกายความเข้าใจขึ้นมาแวบหนึ่ง พวกเขาย้ายสายตาไปทางอื่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บ่งบอกว่าไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของผู้การ แต่ดูออกชัดเจนว่า หูของพวกเขาสองคนตั้งตรง ส่วนลึกในใจของพวกเขายังคงอยากรู้อยากเห็นมากๆ ว่านายพลหลิงเซียวกับลูกชายของเขาปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร…
คำพูดที่ตรงไปตรงมาของหลิงเซียวทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของพ่อทำให้หลิงหลานอึ้งไปบ้าง ควรรู้เอาไว้ว่า ตอนแรกที่พวกเขาเจอหน้ากัน ท่าทีแสดงออกของหลิงเซียวดูไว้ตัวอย่างมาก ควรพูดว่า ช่องว่างสิบหกปีที่หายตัวไประหว่างที่หลิงหลานเติบโตทำให้หลิงเซียวไม่รู้เลยว่าจะแสดงความรักของพ่ออย่างไร…หลิงเซียวกับหลิงหลานสองคนที่รับมือไม่ทันต่างกำลังปรับตัวกับสถานะใหม่ของพวกเขา ยอมรับตัวตนซึ่งกันและกัน
แต่ไม่นึกเลยว่าหลังจากที่แยกจากกันช่วงหนึ่ง เมื่อเจอหลิงเซียวอีกครั้ง พ่อของเธอกลับเปลี่ยนจากท่าทีอ่อนโยนไว้ตัว มาเป็นจู่โจมอย่างเต็มที่ ประมาณว่า ฉันก็คือพ่อของเธอ เธอต้องยอมรับ…แต่หลิงเซียวแบบนี้กลับทำให้หลิงหลานเตรียมตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าควรจะรับมือยังไงไปชั่วขณะ
เธอไม่อาจพูดโผงผางว่า ไม่อยากให้พ่อของเธอคิดถึงเธอ…เอาเถอะ บทสนทนาแนวรักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้ไม่เหมาะกับพวกเขาสองพ่อลูกอย่างมาก ดังนั้น หลิงหลานเลยได้แต่เงียบเท่านั้นถึงจะถูก!
“ลูกจากไปนานขนาดนี้ พวกเราคิดถึงลูกมากเลย หลายวันนี้แม่ของลูกเป็นห่วงว่าลูกจะปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรงเรียนได้หรือเปล่า ดังนั้นพอรู้ว่ามีโอกาสนี้ แม่ก็เลยให้พ่อมาเยี่ยม” หลิงเซียวเห็นหลิงหลานเงียบไปก็รู้สึกมีความหวัง หลังจากที่แสดงความคิดถึงลูกสาวอย่างเต็มที่อีกครั้ง ก็โยนความผิดไปให้ภรรยาตัวเองโดยไม่ลังเล ต่อหน้าคนนอก แค่กๆ เขายังต้องรักษาบุคลิกของนายพลอยู่นะ
หลิงหลานมองค้อนอย่างเย็นชา ตอบเรียบๆ ว่า “บอกแม่ของผมว่า ผมอยู่ที่นี่สบายดีทุกอย่าง แล้วก็คำพูดที่ว่าคิดถึงลูกชาย ผมแนะนำให้คุณพ่อกลับไปปรึกษาแม่ดู จากสถานการณ์ของพวกคุณในตอนนี้ สามารถให้กำเนิดลูกอีกคนได้ พอถึงตอนนั้นก็ไม่มีเวลาว่างให้คิดอะไรไร้สาระแล้ว”
“เอ่อ…นั้นก็เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว” คำตอบที่ไม่ไว้หน้าของหลิงหลานทำให้หลิงเซียวกล่าวพลางหัวเราะอย่างสำลัก แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร ใครใช้ให้พ่ออย่างเขาทำผิดต่อลูกสาวตัวเองล่ะ
พูดไปพูดมาก็เป็นความผิดของเขาทั้งนั้น เขาหายตัวไปอย่างกะทันหันสิบหกปีก็ช่างเถอะ ทำไมพอโผล่ตัวออกมาก็ก่อเรื่องใหญ่เลย โยนลูกสาวของตัวเองเข้าไปในถ้ำหมาป่าอย่างโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งนี้ ทุกครั้งที่คิดเรื่องพวกนี้ หลิงเซียวก็จะตีอกชกหัว หงุดหงิดใจอย่างมาก
ถึงแม้หลิงเซียวจะโดนหลิงหลานโจมตีใส่ แต่หัวใจอันยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบของเขาไม่ได้กระทบกระเทือนเลยสักนิดเดียว เขายังคงดำเนินแผนการของเขาต่อไปอย่างแน่วแน่ ใช่แล้ว เขาเตรียมตัวเอาไว้ว่าก่อนที่จะออกจากโรงเรียนทหาร เขาจะต้องคว้าหัวใจลูกสาวของเขามาให้ได้ ให้เธอเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ใช้การเขียนอย่างเย็นชามาเรียกขานเขา พอคิดว่าลูกสาวตัวเองจะเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ อย่างอ่อนหวานแล้ว เขาก็รู้สึกเลือดลมปั่นป่วนขึ้นมา
ตอนนี้หลิงเซียวเมินไปแล้วว่า หลิงหลานที่ทำตัวสง่างามเย็นชาน่าเกรงขามมาตลอดจะเปลี่ยนมาเรียกด้วยท่าที่อ่อนหวานได้เหรอ? เห็นได้ชัดว่า ความคิดของหลิงเซียวไม่มีทางเป็นจริงแน่นอน…
แม้แต่หลิงเซียวเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงหลานก็ดูเป็นวีรบุรุษที่สูญเสียความกล้าหาญอยู่บ้าง กระทั่งรอยยิ้มอบอุ่นที่เดิมทีเจิดจ้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด เวลานี้ก็ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ความรักของพ่อที่แฝงไปด้วยการยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อประนีประนอมความเช่นนี้กลับทำให้พวกฉีหลงเกิดความรู้สึกมากมายขึ้นในใจ มีหลายคนถึงขนาดมองไปยังลูกพี่ตัวเองด้วยสายตาอิจฉาและเคารพนับถือ สมกับที่เป็นลูกพี่หลานของพวกเขาจริงๆ ต่อให้อยู่ต่อหน้านายพลหลิงเซียวก็สามารถเยือกเย็นน่าเกรงขามได้…
เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของหลิงเซียวกับหลิงหลานแล้ว พอนึกถึงตัวเอง ทุกคนก็อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ทำไมนายพลหลิงเซียวพ่อของลูกพี่หลานถึงได้นิสัยดี ท่าทีอ่อนโยน ความอดทนสูงขนาดนี้ พอนึกถึงพ่อของตัวเองที่บางครั้งก็ถลึงตาใส่ด้วยความโมโห จู้จี้สารพัด พวกเขาก็เริ่มสงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเองอาจจะถูกเก็บมาเลี้ยงก็ได้…
จำเป็นต้องพูดว่า วิธีการของหลิงเซียวที่แสดงความรักของพ่อเช่นนี้ทำร้ายจิตใจพวกเด็กๆ เข้าแล้ว
ดังนั้น หลังจากที่ครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวดแล้ว พวกเพื่อนๆ ของหลิงหลานทยอยกันตัดสินใจว่า กลับบ้านไปแล้วพวกเขาจะชูธงประกาศสงครามตั้งตนเป็นอิสระ เริ่มต้นชีวิตแห่งการปฏิวัติที่ยืดเยื้อของพวกเขา และก็ทำให้พ่อของพวกเขาเอามีดแทงรูปหลิงเซียวในยามดึกที่เงียบสงัดทุกคืน…
ต่อให้เป็นหลิงหลานที่เยือกเย็น เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ของหลิงเซียวก็ต้านไม่ไหวเหมือนกัน ต้องถอยร่นอย่างพ่ายแพ้กลับไป หลิงหลานจะไปรู้ได้ยังไงว่า ไอดอลของมหาชน ผู้แข็งแกร่งสุดยอดของสหพันธรัฐคนนี้จะหน้าด้านได้ขนาดนี้ หลิงหลานที่แสดงความรู้สึกไม่เก่งมาตลอด เวลานี้ก็ได้แต่ขยี้จมูก เงียบกริบไปอีกครั้ง เธอไม่อาจใจดำไล่พ่อที่เดินทางพันลี้เพื่อมาเยี่ยมเธอได้ลงคอจริงๆ!
พูดตามตรง ท่าทีแสดงออกเช่นนี้ของหลิงเซียวยังคงทำให้หลิงหลานเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนลูกสาวเกเรไม่มีระเบียบวินัยที่ถูกคุณพ่อโอ๋จนเคยชินแล้วจริงๆ
หลิงเซียวคือคนระดับไหน เขาสัมผัสได้ทันทีว่าลูกสาวที่เอาใจยากของเขาเบิกบานใจมีความสุข ก็คิดว่าตัวเองทำถูกแล้วอย่างแน่นอน
ความจริงแล้ว หลิงเซียวรู้สึกจนปัญญาและกังวลใจมากที่หลิงหลานไม่ยอมรับพ่ออย่างเขาคนนี้มาตลอด หลังจากที่เขาบอกลาหลิงหลาน ก็คิดอยู่ตลอดว่าจะแก้ไขความห่างเหินระหว่างเขากับหลิงหลานยังไง
หลิงเซียวไม่เคยเป็นพ่อมาก่อน จู่ๆ ก็มีลูกสาวที่โตขนาดนี้แล้วกระโดดออกมา เขาก็รับมือไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยกับลูกสาวอย่างไร ถึงแม้หลิงเซียวไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่เขาเป็นคนที่เต็มใจเรียนรู้ ดังนั้นตอนที่เขาจัดเตรียมกองพลที่ยี่สิบสาม เขาก็ไม่ลืมซื้อหนังสือมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับเด็กจากในโลกออนไลน์เสมือนจริง นอกจากทำงานแล้ว ตอนที่เขามีเวลาว่าง เขาก็จะหลบอยู่ในห้องหนังสือหอบพวกหนังสือมาศึกษาอย่างขยันหมั่นเพียร หวังว่าจะค้นเจอวิธีการแก้ไขปัญหา…
หลังจากที่เขาอ่านหนังสือมานับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็คิดว่าสามารถเข้าสู่ช่วงทำสงครามจริงแล้ว เขาคว้าโอกาสในการมาที่โรงเรียนทหารโดยไม่ลังเล แล้วรีบมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เตรียมตัวแก้ปัญหาที่รบกวนใจเขาเป็นเวลานาน สรุปคือ เขาจะต้องกลายเป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใจลูกสาวตัวเองให้ได้
ดังนั้นเมื่อเจอหน้ากัน เขาก็ทำตามคำชี้แนะในหนังสือว่า ‘อย่าปกปิดความรักของพ่อ จะต้องแสดงออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ไม่อย่างนั้นลูกจะสัมผัสไม่ได้ คิดว่าคุณไม่รักเขา…มีแต่ต้องให้ลูกสัมผัสได้ถึงความรักของคุณ เขาถึงจะยอมรับคุณ และสามารถสร้างความสัมพันธ์สนิทสนมกับลูกได้…’
แน่นอนว่าตอนที่หลิงเซียวอ่านหนังสือ เขาย่อมมองข้ามประโยคที่เล็กสุดขีดด้านล่างสุดของปกหนังสือว่า ‘หนังสือเล่มนี้เหมาะที่จะใช้กับเด็กอายุ 0-3 ขวบเท่านั้น’
หลิงเซียวรู้สึกว่าเขาเก็บเกี่ยวอะไรมาได้แล้ว ยิ่งทำให้เขาเชื่อคำชี้แนะในหนังสือ เขามองเด็กหลายคนด้านหลังหลิงหลานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยถามด้วยสีหน้าสนิทชิดเชื้อว่า “พวกเธอก็คือเพื่อนสนิทของหลิงหลานสินะ เจอกันครั้งแรก ขอฝากตัวด้วยนะ แล้วก็ยังต้องขอบคุณพวกเธอด้วยที่ดูแลหลิงหลานมาตลอด”
ท่าทีสนิทสนมของหลิงเซียวทำให้พวกฉีหลงไม่อาจสงบนิ่งได้ เอ่ยด้วยความตกใจสุดขีดที่ได้รับความโปรดปราณโดยไม่คาดฝันว่า “ไม่เลยครับ นะ นายพลหลิง…” เอาเถอะ พวกเขาที่คุ้นชินกับภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของพ่อในบ้าน ย่อมตกใจกับท่าทีที่อยู่ในระดับเดียวกันของหลิงเซียวอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่า ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ทำหน้าเหมือนกับกำลังฝันไป ถึงแม้พวกเขารู้อยู่นานแล้วว่าหลิงเซียวคือพ่อของหลิงหลาน แต่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน หลิงเซียวยังคงเป็นไอดอลมหาชนที่ห่างไกลสุดขีดในใจพวกเขา เป็นเป้าหมายที่พวกเขาดิ้นรนศึกษาไปชั่วชีวิต และเวลานี้พวกเขาก็สัมผัสไอดอลของตัวเองอย่างใกล้ชิดได้ในที่สุด
“พวกเธอคือเพื่อนสนิทของหลิงหลานลูกชายฉัน เรียกฉันว่าคุณลุงหลิงเถอะ” หลิงเซียวกล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ น้ำค้างแข็งบนใบหน้าก็ละลายลงเล็กน้อย
หลิงเซียวตะโกนว่า ‘YES’ ในใจดังลั่น อย่างที่คิดเอาไว้เลย การเป็นพ่อที่ได้มาตรฐานจะต้องปฏิบัติต่อพวกเพื่อนๆ ที่เล่นกับลูกด้วยท่าทีที่ดีเยี่ยมสุดขีด ให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองได้รับความเคารพ แบบนี้เขาถึงจะรักคุณมากยิ่งขึ้น สนิทสนมกับคุณมากยิ่งขึ้น
“ครับ คะ คุณลุงหลิง!” พวกเขาหลายคนมองดวงหน้าของหลิงเซียวที่อ่อนเยาว์จนแทบจะเป็นพี่ชายของลูกพี่ตนได้ จากนั้นก็เปรียบเทียบกับพ่อที่จอนผมหงอกในบ้านอีกครั้งก่อนจะน้ำตานองหน้าฉับพลัน คำว่าคุณลุงนี้ยากเย็นสำหรับพวกเขานิดหน่อยจริงๆ แต่พวกเขารู้ดีว่า คำพูดประโยคนี้ของหลิงเซียวบ่งบอกว่า หลิงเซียวยอมรับพวกเขาแล้ว รับพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทของหลิงหลาน
พอเห็นหลิงเซียวพูดคุยกับพวกฉีหลงด้วยท่าทีอบอุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เปี่ยมไปด้วยความจริงใจไม่มีการทำอย่างขอไปทีเลยสักนิดเดียว หลิงหลานก็มองฟ้าอย่างไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง
หลิงหลานรู้ว่าเสน่ห์ของพ่อเธอไม่มีที่สิ้นสุด แต่นี่มันก็โอเวอร์เกินไปแล้ว พูดคุยสอบถามอย่างเรียบง่ายครั้งเดียวก็สยบพวกฉีหลงห้าคนได้หมด ความเคารพเลื่อมใสและความชื่นชมยกย่องที่เต็มไปทั่วทั้งหน้านั้น เกรงว่าพวกฉีหลงคงลืมไปแล้ว ข้างๆ พวกเขายังมีลูกพี่อยู่หนึ่งคน นี่ทำให้หัวใจหลิงหลานระทมทุกข์อยู่บ้าง เธอยังไม่ใช่คู่แข่งของพ่อเธอจริงๆ ด้วย…
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือ ตั้งแต่ที่หลิงเซียวมาถึง เสี่ยวซื่อในห้วงจิตใจก็ร้องพร่ำเพ้อของเขาไม่หยุด ส่งเสียงเอะอะจนเธอปวดหัว ไม่เพียงเท่านั้น เขายังบ่นที่หลิงหลานไม่ให้โอกาสเขาพูดคุยกับหลิงเซียวเลย ท่าทางเสียใจไม่ได้รับความเป็นธรรมต่างๆ นานาแทบจะทำให้หลิงหลานใช้กำลังรุนแรงในบ้านอีกครั้ง โชคดีที่เธอผ่านการฝึกฝนที่แสนโรคจิตมานับไม่ถ้วนของอาจารย์หมายเลขห้ามาแล้ว หลิงหลานเลยยังควบคุมตัวเองได้อย่างเด็ดขาดก่อนที่เธอกำลังจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวซื่อถูกหลิงหลานขังในห้องลับเล็กๆ อย่างไร้ความปรานีทันที โลกสงบเงียบโดยพลัน หลิงหลานค่อยรู้สึกจิตใจผ่อนคลายเบิกบานใจขึ้นมา
แต่หลิงหลานที่อารมณ์ดีก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียอย่างรวดเร็ว เพราะเธอได้ยินพวกฉีหลงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาเข้าสู่โรงเรียนทหารให้หลิงเซียวฟัง บอกว่าพอเข้าสู่โรงเรียนทหารแล้ว พวกเขาก็ถูกนักเรียนเก่าข่มเหงรังแก จำเป็นต้องรับการต่อสู้เดิมพันของเหลยถิง พอขึ้นสนามประลองก็มีนักเรียนสามคนจากกลุ่มนักเรียนใหม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายยังต้องให้ลูกพี่หลานออกหมัดจัดการปัญหา ฯลฯ…
บอกเรื่องนี้ไปก็ช่างเถอะ แต่ไม่นึกเลยว่าลั่วล่างจะเล่าเรื่องของเทียนจีให้หลิงเซียวฟังด้วยสีหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม หลิงเซียวได้ยินว่ามีนักเรียนต่ำช้าที่ชอบเพศเดียวกันอยู่ในโรงเรียนทหาร รอยยิ้มอบอุ่นที่รักษาไว้ก็แตกออกในที่สุด…
‘ปัง’ หลิงเซียวที่โกรธจัดจนผมตั้งฟาดฝ่ามือลงไปทันที โต๊ะชาเพียงหนึ่งเดียวในห้องโถงบ้านพักของหลิงหลานแตกออกเป็นผุยผง
“บัดซบ รนหาที่ตาย!” หลิงเซียวตวาดอย่างรุนแรง ไอพลังบนตัวพุ่งขึ้นมาทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลอดไฟทุกดวงในห้องโถงระเบิดดังปังๆๆๆ จนหมด บ้านพักเปลี่ยนเป็นมืดสนิทไปทั่วทั้งหลัง
ที่แท้ต่อให้ลูกสาวที่เหมือนดอกไม้ราวกับหยกของเขาจะปลอมตัวเป็นผู้ชายก็ยังอันตรายอยู่ดี…