คำแนะนำของหลี่หลานเฟิงทำให้แววตาทุกคนในทีมส่องประกาย หานจี้จวินมองหลี่หลานเฟิงอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง รู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้รูปที่อีกฝ่ายมอบให้เขาอีกครั้ง
หลิงหลานอนุมัติความคิดของหลี่หลานเฟิงทันที ฉีหลงกับเซี่ยอี๋เป็นสองคนที่แข็งแรงกำยำมากที่สุดในทีม รูปร่างพวกเขาค่อนข้างล่ำสัน มีรูปลักษณ์เหมือนทหาร ทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบทหารสองคนนั้นอย่างว่องไวก่อนแยกกันยืนอยู่สองฝั่งของประตู นอกจากหลิงหลานกับหลี่หลานเฟิงแล้ว คนอื่นๆ แบกทหารสองคนที่สลบไสลซ่อนเข้าไปในเส้นทาง
ชุดเครื่องแบบต่อสู้สีดำแต่เดิมของหลิงหลานกับหลี่หลานเฟิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดูเหมือนชุดเครื่องแบบทหารฐานที่มั่นซึ่งเหมือนกับเครื่องแบบทหารที่ฉีหลงกับเซี่ยอี๋สวมใส่ภายใต้สายตาของทุกคน ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คืออินทรธนูของพวกเขา หลิงหลานเลือกยศพันตรี ส่วนหลี่หลานเฟิงก็เลือกร้อยเอกอย่างชาญฉลาดอยู่ด้านหลังหลิงหลานครึ่งตัวด้วยสีหน้าเคารพ
การกระทำนี้ทำให้ความประทับใจของทีมหลิงหลานที่มีต่อหลี่หลานเฟิงเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ควรพูดว่าหลี่หลานเฟิงเพิ่มความรู้สึกดีๆ ของพวกสมาชิกทีมหลิงหลานอย่างต่อเนื่อง และเขาก็บรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว
เมื่อเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลิงหลานก็สั่งให้เสี่ยวซื่อเปิดประตู หลังจากที่ประตูเปิดออกเอง หลิงหลานก็ก้าวเข้าไปข้างในอย่างหยิ่งทระนงองอาจ ขณะที่หลี่หลานเฟิงเดินตามหลังหลิงหลานด้วยความเคารพและรอบคอบระมัดระวัง
ส่วนฉีหลงกับเซี่ยอี๋สองคนยืนตัวตรงที่สองฝั่งของประตูโดยที่หันหลังให้กับประตู ในเวลาเดียวกันพวกเขาทำวันทยหัตถ์ตามมาตรฐาน จนกระทั่งพวกหลิงหลานสองคนเข้าไปในประตูแล้วถึงค่อยลดมือลง ทุกอย่างดูปกติธรรมดา
ทหารสองคนด้านในพลันตกตะลึงที่จู่ๆ ประตูถูกเปิดออกและมีทหารสองคนเข้ามาอย่างน่าแปลกใจ พวกเขาสบตากันเองด้วยความสงสัย เพราะพวกเขาไม่ได้รับการแจ้งจากเบื้องบนว่า เวลานี้จะมีคนเข้ามาในฐานที่มั่น
อย่างไรก็ตาม การทำความเคารพตามมาตรฐานของทหารที่รับหน้าที่คุ้มกันตรงหน้าประตูทำให้ทั้งคู่ไม่กล้าตัดสินใจมั่วซั่ว ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะมีเรื่องฉุกเฉินอะไรบางอย่างเลยไม่ทันได้แจ้งมา แต่หนึ่งในนั้นยังคงตะโกนตามหน้าที่รักษาการณ์ว่า “รหัสผ่าน!”
เวลานี้หลี่หลานเฟิงเดินเข้าไปในประตูกับหลิงหลานแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำว่ารหัสผ่าน หัวใจของเขาพลันกระตุก ฝีเท้าอดช้าลงไม่ได้ มีเพียงฝีเท้าของหลิงหลานที่ยังมั่นคงราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากคำว่ารหัสผ่านของอีกฝ่าย เดินหน้าต่อไปอย่างแน่วแน่ และเชิดหน้าขึ้นใช้สายตาเย็นเยียบสุดขีดมองไปยังสองคนที่อยู่ตรงข้าม
“อืม ทำได้ดีมาก” หลิงหลานเอ่ยปากชมอย่างเฉยชา ทำให้สองคนนั้นขมวดคิ้ว เธอก้าวขึ้นหน้าไปอีกหนึ่งก้าว ในตอนที่สีหน้าของสองคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด เธอก็กล่าวต่อว่า “รหัสผ่าน…”
เมื่อได้ยินว่ารหัสผ่าน สีหน้าตึงเครียดของสองคนนั้นผ่อนคลายลงทันใด ในตอนนี้เอง ร่างของหลิงหลานพลันพุ่งเข้าไปราวกับเสือชีตาห์ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหน้าพวกเขาทั้งสอง
จากนั้นก็เห็นสองมือของเธอกางออกก่อนจะดีดอย่างแรงทีหนึ่งโดยพลัน ลำแสงเย็นเยียบสองสายพุ่งผ่านกลางอากาศแล้วเธอก็เขย่ามือทั้งสองข้างทันที ด้ายที่มองแทบไม่เห็นสองเส้นบินออกมาจากตรงข้อมือ พริบตาเดียวก็มัดมือสองข้างของพวกเขาสองคนไว้ เมื่อดึงแรงๆ ก็ลากพวกเขาออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่แต่เดิมได้
การโจมตีของหลิงหลานดูเหมือนซับซ้อน แต่ความจริงจัดการเสร็จในชั่วพริบตาเท่านั้น การจู่โจมที่มาอย่างกะทันหันมากเกินไปทำให้สองคนนั้นไม่มีเวลาตอบสนอง ถูกดึงขึ้นไปที่กลางอากาศทันที สองมือของหลิงหลานดึงลงไปข้างล่าง ขณะที่สองคนนั้นกำลังจะชนกันกลางอากาศก็เปลี่ยนทิศทางการลอยอย่างกะทันหัน ก่อนจะร่วงลงมาฉับพลัน หลิงหลานพุ่งปราดไปหนึ่งทีก็มาถึงข้างใต้แล้วรับพวกเขาสองคนไว้อย่างมั่นคง
เวลานี้ สองคนนั้นหมดสติไปนานแล้ว หลิงหลานวางพวกเขาลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ
หลี่หลานเฟิงเพิ่งมาถึงข้างกายหลิงหลาน เมื่อเห็นความเร็วและการเคลื่อนไหวของหลิงหลานเหนือกว่าเขา หลี่หลานเฟิงเกิดความรู้สึกผิดหวังอย่างล้ำลึก ไม่ว่าการควบคุมหุ่นรบหรือว่าการต่อสู้มือเปล่า เขาด้อยกว่ากระต่ายไม่น้อยเลย ดูท่าหากคิดจะบรรลุความปรารถนา ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกระต่ายได้อย่างแท้จริงละก็ เขายังต้องพยายามให้มากกว่านี้
“เมื่อตะกี้นายใช้เข็มยาสลบแทงพวกเขาแล้วชัดๆ ทำไมยังต้องดึงพวกเขาออกมาด้วยล่ะ?” ถึงแม้ความเร็วของหลี่หลานเฟิงจะสู้หลิงหลานไม่ได้ แต่สายตาของเขาดีเยี่ยม มองเห็นการเคลื่อนไหวหลายท่าในชั่วพริบตาทั้งหมดของหลิงหลานได้อย่างชัดเจน
หลิงหลานไม่ได้ตอบ เธอแค่ส่งสัญญาณให้หลี่หลานเฟิงไปดูบริเวณที่สองคนนั้นยืน หลี่หลานเฟิงเดินเข้าไปด้วยความสงสัยก่อนจะก้มลงมองด้วยความจริงจัง สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป ที่แท้ตำแหน่งที่สองคนนั้นยืนอยู่ก็คือตำแหน่งเปิดใช้งานสัญญาณเตือนภัย
ทหารสองคนที่ดูเหมือนยืนอย่างมั่นคงนี้ ความจริงแล้วส้นเท้าข้างหนึ่งของพวกเขาแต่ละคนกำลังลอยอยู่ พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขายืนด้วยฝ่าเท้าครึ่งหน้า เท้าลอยขึ้นเล็กน้อย ขอเพียงเกิดความผิดปกติขึ้นมา เท้าของพวกเขาเหยียบลงไปก็สามารถเปิดใช้งานสัญญาณเตือนภัยได้ในพริบตา
การติดตั้งแบบนี้อำพรางได้ลึกลับสุดยอดและสังเกตเห็นได้ยาก ถึงขนาดที่สามารถรับรองได้ว่าถ้าเกิดทหารเฝ้าระวังตอบสนองไม่ทันถูกคนสังหาร ส้นเท้าที่ไม่สามารถใช้แรงพยุงให้ลอยกลางอากาศย่อมเหยียบลงไปตามร่างกายที่สูญเสียการควบคุม เช่นนั้นสัญญาณเตือนภัยยังคงเปิดใช้งานได้อย่างราบรื่น
เมื่อเห็นหลี่หลานเฟิงกลับมาด้วยสีหน้านึกกลัว หลิงหลานก็ปาดเหงื่อเย็นๆ ที่หลังออกมาตรงหน้าผากอย่างเงียบงัน ความจริงแล้วตอนแรกเธอก็ไม่รู้ว่าสัญญาณเตือนภัยจะติดตั้งไว้แบบนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะจู่ๆ เสี่ยวซื่อปรากฏตัวออกมาและเตือนได้ทันเวลาก่อนที่เธอจะโจมตี หลิงหลานย่อมตกหลุมพรางแน่นอน ต่อให้สังหารสองคนนี้ได้ก็หลีกหนีผลจากการที่สัญญาณเตือนภัยเปิดใช้งานไม่ได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่ถูกบีบให้หนีกลับไปมือเปล่าเท่านั้น
เมื่อเห็นหลิงหลานล้มทหารคุ้มกันด้านในได้สำเร็จ พวกฉีหลงก็รีบเข้ามา พอเห็นว่าการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยของที่นี่ถูกเปิดใช้งานอย่างไรก็หวาดกลัวไม่หยุด ทอดถอนใจว่าการติดตั้งแบบนี้โรคจิตมากจริงๆ ตรงกันข้าม ฉางซินหยวนสนใจการติดตั้งนี้มาก เขาคว่ำตัวลงกับพื้นศึกษาดูด้วยสีหน้าสนอกสนใจ ในปากก็เอ่ยพึมพำราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง
พวกเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่นาน พวกหลิงหลานแอบลอบเข้าไปด้านในต่อท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของฉางซินหยวน ด่านนี้ยากอยู่บ้างจริงๆ แต่ว่าด้านหลังก็ง่ายมากขึ้นแล้ว บางทีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของฐานที่มั่นลับอาจจะเชื่อมั่นการออกแบบสัญญาณเตือนภัยของพวกเขามาก ด่านหลายอันที่อยู่ด้านหลังจึงไม่ได้ซับซ้อนโรคจิตขนาดนั้น กลุ่มของหลิงหลานเลยเข้าไปถึงตำแหน่งศูนย์กลางของฐานที่มั่นง่ายมาก
หลิงหลานพาพวกลูกทีมมาถึงที่นี่แล้วก็หยุดเคลื่อนไหว เพราะว่าหากเข้าไปต่อก็เป็นขอบเขตการเฝ้าตรวจตราของผีซวีแล้ว เสี่ยวซื่อรายงานหลิงหลานไว้แต่แรกแล้วว่า ฐานที่มั่นลับนี้มีผีซวีสองคนรักษาการณ์อยู่ข้างใน ขอเพียงพวกเขาเข้าไปในขอบเขตการเฝ้าระวังของอีกฝ่ายก็จะถูกโจมตีอย่างไร้ความปรานีและโดนกำจัดทิ้งไปทันที และเวลานี้หลิงหลานไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้กับพวกสมาชิกทีมอย่างไรดีว่า เธอรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีผีซวี
มีเพียงผีซวีเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงผีซวี และใครสามารถสัมผัสได้ก่อนกันก็ต้องดูว่าพลังผีซวีของใครแข็งแกร่งกว่ากัน นอกจากนี้ความสามารถด้านแฮคเกอร์กับความสามารถของผีซวีเป็นความสามารถที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง แทบจะไม่สามารถปลุกขึ้นมาพร้อมกันในตัวคนผู้เดียวได้ ต่อให้มีคนปลุกความสามารถพรสวรรค์สองอย่างที่แทบไม่อาจดำรงอยู่ด้วยกันนี้ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้ความสามารถสองอย่างนี้แข็งแกร่งขึ้นมาได้พร้อมกัน
เนื่องจากยิ่งแข็งแกร่ง ความสามารถทั้งสองอย่างก็ยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้น สหพันธรัฐเคยทำการทดสอบให้คนที่ปลุกพรสวรรค์สองอย่างนี้พร้อมกันเพิ่มความแข็งแกร่งของความสามารถทั้งสองอย่าง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ผู้แบกรับไม่สามารถทนรับพลังที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ ท้ายที่สุดสมองก็ถูกทำลายโดยพลังที่ระเบิดจากการขัดแย้งกันของความสามารถทั้งสอง กลายเป็นมนุษย์ผักไม่อาจตื่นขึ้นมาอีกเลย
นับตั้งแต่นั้นมา สหพันธรัฐก็ทำการควบคุมจำกัด ต่อให้มีคนที่ปลุกความสามารถทั้งสองอย่างนี้ได้ก็จะเลือกพัฒนาได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความรู้เหล่านี้ต่างเคยถูกบรรดาอาจารย์ของสถาบันลูกเสือแจ้งให้ทราบอย่างรอบคอบระมัดระวังในตอนที่ปลุกพรสวรรค์ พวกฉีหลงรู้เรื่องนี้ดี เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเธอมีความสามารถด้านแฮคเกอร์ที่เก่งกาจขนาดนั้นแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ครอบครองความสามารถของผีซวีที่ทรงพลังด้วย พูดได้แค่ว่า ตัวตนของเสี่ยวซื่อน่าอัศจรรย์มากเกินไป ทำให้หลิงหลานอยากใช้คำอธิบายที่สมเหตุสมผล แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้
ในเวลานี้เอง สีหน้าของหลี่หลานเฟิงที่ถูกทักษะความสามารถของหลิงหลานโจมตีใส่จนนิ่งเงียบไปบ้างพลันเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย เขาคล้ายกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงตัดการเชื่อมต่อทางจิตของหลิงหลานทันที ในตอนที่ทุกคนอึ้งไป ส่วนหลิงหลานตระหนักอะไรบางอย่างขึ้นได้ บนตัวเขาก็ปรากฏกลิ่นอายอันตรายสุดขีดออกมาอย่างเงียบงันก่อนจะแผ่ขยายออกไปช้าๆ
ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ทำให้พวกเขาอึดอัดนี้ รู้สึกได้ว่าพลังจิตของตัวเองเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาอย่างรุนแรง จนกระทั่งตอนที่มีความรู้สึกว่าจะถูกกลิ่นอายนี้กลืนกินจนหมด พลังจิตของหลิงหลานพลันระเบิดออกมา ครอบคลุมพลังจิตของเจ็ดคนที่เหลือไว้อย่างรวดเร็ว
การคุ้มกันของหลิงหลานทำให้พลังจิตของทั้งเจ็ดคนสงบลงขึ้นมากทันที ทุกคนต่างตกตะลึง มีเพียงหานจี้จวินที่จ้องมองหลี่หลานเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างได้
เวลานี้หลี่หลานเฟิงไม่สามารถคำนึงถึงสภาพของพวกเพื่อนๆ เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันตรายสองสายตรงด้านหน้าซึ่งคล้ายกับพลังความสามารถผีซวีของเขา อีกฝ่ายดูเหมือนจะอ่อนด้อยกว่าเขาเล็กน้อย ซึ่งสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้จากการที่คนเหล่านั้นยังไม่สังเกตเห็นตัวตนของเขา
แต่หลี่หลานเฟิงไม่ได้คลายคิ้วของเขาออก เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามมีสองคน หลี่หลานเฟิงไม่รู้ว่าเขาสามารถต้านทานสองคนนี้ ปกป้องทุกคนในทีมได้หรือเปล่า เขารีบเก็บงำพลังผีซวีของตัวเองเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นเขา จากนั้นค่อยมองไปทางหลิงหลานด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “กระต่าย ด้านในมีผีซวีสองคน ความสามารถแข็งแกร่งมาก เมื่อเราเข้าไปในขอบเขตการเฝ้าระวังของพวกเขาก็จะถูกโจมตี มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเราจะมีอันตรายถึงชีวิต”
เขามีความมั่นใจหากสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง โชคดีหน่อยก็ถึงขนาดเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าเป็นสองคน หลี่หลานเฟิงไม่มีความมั่นใจมากนัก ถึงอย่างไรผีซวีด้านในก็ด้อยกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากทั้งคู่ร่วมมืออย่างรู้ใจกัน ต่อให้เขาอยากคุ้มครองทุกคนในทีมหลิงหลานก็กลัวว่าจะมีข้อผิดพลาดจากความเลินเล่อบ้าง จนถูกคนจับจุดอ่อนได้
เดิมทีหลี่หลานเฟิงเคยสงสัยว่าหลิงหลานก็มีความสามารถด้านผีซวีที่แข็งแกร่งมากเหมือนกัน แต่หลังจากที่หลิงหลานแสดงความสามารถด้านแฮคเกอร์ออกมาทั้งหมด หลี่หลานเฟิงไม่ได้คาดหวังต่อความสามารถด้านผีซวีของหลิงหลานมากนักแล้ว เรื่องที่พวกหลิงหลานรู้ หลี่หลานเฟิงย่อมรู้เช่นกัน ถึงแม้ความสามารถของผีซวีกับแฮคเกอร์มีโอกาสดำรงอยู่ได้พร้อมกัน แต่ไม่สามารถทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้พร้อมกัน บางทีตอนที่หลิงหลานมีความสามารถสองอย่างนี้ เขาได้เลือกพัฒนาความสามารถด้านแฮคเกอร์ ไม่ใช่ความสามารถของผีซวี นี่ทำให้หลี่หลานเฟิงเสียใจอยู่บ้าง
เนื่องจากผีซวีแทบจะถูกกองทัพสหพันธรัฐควบคุมไว้หมด หลี่หลานเฟิงที่เป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลหลี่ย่อมไม่อาจกลายเป็นหุ่นเชิดของกองทัพได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณปู่ของเขาพบว่าพลังจิตของหลี่หลานเฟิงมีเอกลักษณ์มาก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผีซวีในตำนาน เขาจึงปิดข่าวนี้ไว้ทั้งหมด นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมหลี่หลานเฟิงถึงไม่ถูกกองทัพค้นพบ
———————————-