“หลี่หลานเฟิงไปกองพลที่ยี่สิบสามแน่นอน ฉันคุยกับเขาแล้ว” หลิงหลานตอบทันที “ส่วนหลี่ซื่ออวี๋ ขอเพียงยังจัดการภัยแฝงเร้นของฉีหลงไม่ได้ ต่อให้เขาไม่อยากไปก็ไม่มีทางเลือก”
คำพูดของหลิงหลานทำให้คนอื่นๆ อดสละน้ำตาเห็นใจให้หลี่ซื่ออวี๋ไม่ได้ หลี่ซื่ออวี๋ที่น่าสงสารจึงขายทั้งชีวิตให้หน่วยรบหลิงเทียนอย่างไร้ความผิดเช่นนี้เอง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอิสระอีกเลย
ฉีหลงที่หลบอยู่ด้านข้างแอบปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ในใจก็สะกดจิตตัวเองว่า “ไม่ใช่เรื่องของฉัน ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของลูกพี่…” เขายังจำตอนที่อาการกำเริบในเวลานั้นได้ เข็มฉีดยาที่ลูกพี่เคยฉีดให้เขาอย่างลับๆ นั้นย่อมต้องมีของที่น่าสงสัย
“ส่วนฉางซินหยวน ครั้งหน้าหาโอกาสถามดูก็ได้แล้ว ต่อให้ไม่ยอมก็ยังมีเวลาอีกหลายปี พอให้พวกเราลงมือล่อลวง” หลิงหลานลูบคาง นึกถึงอัจฉริยะด้านการดัดแปลงพัฒนาหุ่นรบคนนั้น อืม จะให้เขาหนีไปไม่ได้เป็นอันขาด
ล่อลวง? เมื่อหลิงหลานกล่าวคำพูดนี้ออกมา คนอื่นๆ ในบ้านพักต่างทำท่าแบบเดียวกัน นั่นก็คือเงยหน้ามองเพดาน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น พวกเขาเป็นหน่วยรบที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ไม่ใช้แก๊งลักพาตัวอะไรแน่นอน…เอ่อ ถึงแม้ว่ามีสมาชิกไม่กี่คนที่ได้มาจากการหลอกล่อจริงๆ ก็ตาม แต่โดยรวมแล้วยังคงเป็นจำนวนน้อย ใช่ไหมล่ะ…ในใจทุกคนแก้ตัวให้ตนเอง เตือนตัวเองว่าจะถูกลูกพี่ตนชักนำไปในทางที่ผิดไม่ได้เด็ดขาด
ใกล้พลบค่ำแล้ว หลิงหลานเดินออกมาจากในบ้านพักเอง พวกฉีหลงยังคงเข้าอบรมหลักสูตรฝึกฝน ยังไม่กลับมา หลิงหลานตัดสินใจไปที่ท่าเพื่อส่งพ่อของเธอ หลีกเลี่ยงไม่ให้หลิงเซียวเข้าใจผิดและก็เสียใจอีกครั้ง
หลิงหลานรู้ดีว่า หลิงเซียวปลอมตัวเดินทางไกลแสนไกลมาที่โรงเรียนทหารก็เพราะท้ายที่สุดเขายังเป็นห่วงเธอ ดังนั้นเลยอยากเข้ามาดู ถึงแม้หลิงหลานคิดว่าการกระทำของหลิงเซียวเยอะเกินความจำเป็น แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หลิงหลานรู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้งแล้ว เธอได้รับรู้ถึงความรักของพ่อที่รับได้ทุกอย่างและไม่มีขอบเขตของหลิงเซียวที่มีต่อลูกสาว ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างพลาดเวลาไปสิบหกปี แต่หลิงเซียวตั้งใจทุ่มเทในความสัมพันธ์มากกว่าหลิงหลาน ควรพูดว่าหลิงเซียวยังคงผ่านคุณสมบัติในบทบาทของพ่อ
การใช้เวลาร่วมกันในโรงเรียนทหารหลายวันนี้ทำให้หลิงหลานค่อยๆ หลอมรวมหลิงเซียวในมิติมรดกกับหลิงเซียวในความเป็นจริงเข้าด้วยกัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงหลานชินกับการทำหน้าตาย และดวงหน้าของหลิงเซียวดูอ่อนเยาว์มากเกินไปหน่อยละก็ บางทีหลิงหลานอาจจะเอ่ยปากเรียกว่า ‘พ่อ’ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของหลิงเซียวแล้ว ส่วนตอนนี้…
ทีมทดสอบประเมินของหลิงเซียวแทบจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง คนที่มาส่งยังคงมีไม่น้อยจริงๆ บางคนเป็นพวกนักเรียนทหารชั้นปีสูงๆ ที่ทดสอบประเมินเข้าไปในกองพลที่ยี่สิบสามได้สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น พวกฮั่วเจิ้นอวี่ และมีจำนวนมากที่เป็นนักเรียนชั้นปีต่ำๆ ที่ชื่นชมชื่อเสียงกองพลที่ยี่สิบสาม ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคาบเรียนเข้ามาแสดงตัวตนทิ้งความประทับใจดีๆ ให้พวกผู้ประเมินสักเล็กน้อยเพื่อสร้างความมีตัวตนไว้
ถึงแม้พวกเขารู้ว่าผู้ประเมินการทดสอบจะแตกต่างกันทุกปี แต่ถ้าเผื่อหลายปีให้หลัง คนที่มายังคงเป็นผู้ประเมินการทดสอบเหล่านี้ล่ะ…พวกเขาต่างไม่อยากพลาดความหวังที่เล็กน้อยสุดขีดแบบนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮั่วเจิ้นอวี่เห็นหัวหน้าทีมของกองพลที่ยี่สิบสาม ในช่วงเวลาประเมินนั้น หัวหน้าท่านนี้ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในสนามทดสอบเลย ต่อให้ตรวจสอบการทำงานก็อยู่หลังจากที่สิ้นสุดการประเมินของแต่ละวันเท่านั้น ในเมื่อฮั่วเจิ้นอวี่ตัดสินใจไปที่กองพลที่ยี่สิบสาม เขาย่อมอยากทำความเข้าใจมากขึ้น เขาอยากรู้ว่าพลตรีคนนี้เป็นนายทหารชั้นสูงแบบไหนกันแน่ บางทีเขาอาจจะหาเงาบางอย่างของนายพลหลิงเซียวได้จากตัวของเขา
ฮั่วเจิ้นอวี่เชื่อว่า นายทหารชั้นสูงที่นายพลหลิงเซียวเป็นผู้นำมักจะมีของบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่
พลตรีดูอายุน้อยมาก ต่อให้ใส่หน้ากากขนาดใหญ่มาก แทบจะบดบังดวงหน้าของเขาทั้งหมด แต่มันก็ไม่สามารถปิดปิดเรื่องนี้ไว้ได้ เขาพาทีมเดินไปที่ท่ายานรบของกองพลที่ยี่สิบสามโดยเฉพาะ ไม่เหมือนกับทีมประเมินอื่นๆ ที่เดินเข้าไปในยานรบเลย หากแต่ยื่นอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังรอคอยใครบางคน
ทหารที่ทดสอบประเมินคนอื่นๆ คล้ายกับไม่รู้สึกประหลาดใจเลย พลตรีเพิ่งจะหยุดเดิน พวกเขาก็เลือกยืนคนละตำแหน่งรอบๆ พลตรีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เกาะกลุ่มกันสองคนสามคนคุยเล่นกันเอง บรรยากาศดูผ่อนคลายมาก
ตอนแรกฮั่วเจิ้นอวี่ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ไม่นานเขาก็พบว่าความลับในนั้น ทหารประเมินเหล่านั้นดูเหมือนยืนคุยกันตามใจชอบ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย พวกเขาดูเหมือนล้อมวงรอบพลตรีรางๆ ทิศทางและองศาการยืนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พูดได้ว่า สภาพแวดล้อมรอบๆ บริเวณทั้งหมดต่างอยู่ในสายตาของทหารเหล่านี้ ไม่มีมุมอับสายตาสักจุดเลย
ฮั่วเจิ้นอวี่เห็นดังนั้นก็อดลอบรู้สึกไร้คำพูดไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าแนวคิดของหัวหน้ากองพลที่ยี่สิบสามจะเก่งกาจขนาดนี้ ฉากนี้ไม่อาจเห็นได้ในทีมประเมินอื่นๆ เลย ต่อให้เป็นหัวหน้าที่นำพาทีมก็อาจจะไม่สามารถสยบเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาที่อวดดีเย่อหยิ่งมีพรสวรรค์กลุ่มนั้นไม่ได้
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในขณะที่ฮั่วเจิ้นอวี่ทึ่งนั้น ในใจก็ลอบยินดี กองพลที่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้มักจะดีกว่ากองพลที่มีกลุ่มอำนาจต่างๆ แข่งขันกันเอง
ในตอนนี้เอง ฮั่วเจิ้นอวี่เห็นร่างที่ดูคุ้นเคยกำลังเดินเข้ามา นั่นก็คือหลิงหลานที่เอาชนะเขาบนการต่อสู้ในสนามประลองนี่เอง จากนั้นก็เห็นหลิงหลานข้ามรั้วป้องกัน เดินไปหาคนของกองพลที่ยี่สิบสา ดูจากเป้าหมายแล้ว คนที่เขาต้องการไปหาก็คือพลตรีคนนั้น
ฮั่วเจิ้นอวี่อึ้งไปและแอบเครียดแทนหลิงหลาน ทหารประเมินการทดสอบของกองพลที่ยี่สิบสามเหล่านี้ดูเหมือนอ่อนโยนอัธยาศัยดีมาก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่คนที่คบหาง่ายขนาดนั้น เขาเคยตั้งใจสร้างความสัมพันธ์ดีๆ กับพวกทหาร แต่ก็ล้มเหลว สายตาที่เข้าอกเข้าใจและแฝงไปด้วยความเยาะหยันของคนเหล่านั้นทำให้ฮั่วเจิ้นอวี่ไม่กล้าพูดมากกับพวกเขาอีก
ฮั่วเจิ้นอวี่คิดว่าหลิงหลานยังเดินไปไม่ถึงเบื้องหน้าพลตรีก็คงถูกทหารรอบๆ ขวางไว้แล้ว ไม่นึกเลยว่าหลิงหลานเพิ่งเดินเข้าไป ทหารที่อยู่ด้านหน้าสุดยิ้มและก็เปิดทางให้ ฉากนี้ทำให้แววตาของฮั่วเจิ้นอวี่หดลง ไม่ต้องคิดเขาก็รู้แล้วว่า หลิงหลานต้องรู้จักพลตรีคนนั้นอย่างแน่นอน
เนื่องจากฮั่วเจิ้นอวี่ทุ่มความสนใจทั้งหมดไว้ที่การประเมิน เขาเลยไม่ได้สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนทหาร ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องหลิงหลานนำพากลุ่มนักเรียนใหม่ตั้งกลุ่มพิธีการต้อนรับ และถูกหัวหน้าทีมประเมินของกองพลที่ยี่สิบสามชื่นชมในพิธีการต้อนรับ…
สายตาของฮั่วเจิ้นอวี่ทะมึนลง หลิงหลานรู้จักพลตรีท่านนี้จะส่งผลต่อการล้างแค้นในอนาคตของเขาหรือไม่? ฮั่วเจิ้นอวี่ยิ้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แววตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณต่อสู้ ‘แบบนี้ก็ยิ่งดี ถ้าเกิดหลิงหลานสมัครเข้ากองพลที่ยี่สิบสามเพราะเหตุนี้จริงๆ บางทีช่วงเวลาการแก้แค้นของพวกเขาอาจจะเลื่อนเร็วขึ้นหลายปี’
“ในที่สุดลูกก็มาแล้ว! พ่อยังคิดว่าลูกไม่ยอมแม้กระทั่งมาส่งพ่อเลย” ถึงแม้ดวงหน้าของหลิงเซียวจะถูกหน้ากากขนาดใหญ่ปกปิดไว้ แต่ไม่อาจบดบังรอยยิ้มในดวงตาได้ แค่เห็นหลิงหลานมาก็ทำให้หลิงเซียวยินดีเป็นล้นพ้น
“อืม ลืมให้คุณพ่อนำคำพูดไปบอกแม่ว่าวางใจเถอะ ผมอยู่ที่นี่สบายดีทุกอย่าง” หลิงหลานขยี้จมูกอย่างลืมตัว เมินความหวังที่อยู่ในสายตาของหลิงเซียว ทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเหมือนนกกระจอกเทศอีกครั้ง เอาเถอะ ให้เธอปรับตัวและปรับตัวอีกหน่อยเถอะน่า!
หลิงเซียวคล้ายกับมองความเก้อเขินของหลิงหลานออก เขายื่นมือไปแตะหน้าผากของหลิงหลานอย่างรักใคร่ “รู้แล้ว พ่อจะนำคำพูดของลูกไปบอกให้ ‘ลูกชาย’ ของพ่อ!” หลิงเซียวกล่าวจบก็หันกายจากไปเตรียมตัวขึ้นยาน ความจริงที่ว่าหลิงหลานมาส่งเขาด้วยตัวเอง เขาก็พอใจมากแล้ว ส่วนเรื่องเรียกว่า ‘พ่อ’ คำนี้ เขาไม่รีบร้อน ยังมีเวลาอยู่ ต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้ลูกสาวของเขายอมเรียก ‘พ่อ’ ด้วยความเต็มใจ
หลิงหลานมองเงาหลังที่องอาจของหลิงเซียว จากนั้นเธอก็ยืนตรงอย่างแน่วแน่และทำวันทยาหัตถ์ของนักเรียนทหารทีหนึ่ง ปากก็เอ่ยกับตัวเองเงียบๆ ว่า “พ่อคะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ!” ถึงแม้คำว่าพ่อจะไม่ได้เรียกออกมา แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในใจเธอมีความรู้สึกเคารพรักหลิงเซียว
ทีมประเมินของกองพลที่ยี่สิบสามตามนายพลของตัวเองขึ้นยานรบไปอย่างฉับไว ยานรบติดเครื่องยนต์แล่นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากพวกฉีหลงที่รู้ว่าหลิงเซียวมาที่โรงเรียนทหารแล้ว คนอื่นๆ ไม่รู้เลยว่านายพลหลิงเซียว ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ไอดอลของทหารทุกคนเคยมาเยือนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเช่นนี้เอง
หลิงหลานเห็นยานรบบินออกไปจากท่าอากาศยานแล้วถึงค่อยลดมือลง จากนั้นเธอก็หันกายออกไปจากท่าอากาศยาน ขณะที่เดินมาได้ครึ่งทางก็เห็นฮั่วเจิ้นอวี่กำลังยืนมองเธอด้วยสีหน้าขึงขังและจริงจัง
“รุ่นพี่ฮั่ว มีธุระอะไรเหรอ?” หลิงหลานถามเรียบๆ
“ต่อไปนายจะไปกองพลที่ยี่สิบสามใช่ไหม?” ฮั่วเจิ้นอวี่เอ่ยถาม
“ใช่!” หลิงหลานตอบกลับอย่างเด็ดขาด
“ดี อีกสี่ปีฉันจะรอนายที่กองพลที่ยี่สิบสาม ตอนนั้นพวกเรามาต่อสู้ล้างบุญคุณความแค้นกัน” แววตาของฮั่วเจิ้นอวี่เต็มด้วยจิตวิญญาณต่อสู้ ส่งหนังสือท้าประลองของเขามาตรงๆ
“ตรงกับความคิดของผมพอดี!” หลิงหลานตีฝ่ามือที่อีกฝ่ายยื่นเข้ามาอย่างเฉียบขาด บ่งบอกว่าเธอยอมรับหนังสือท้าประลองของฮั่วเจิ้นอวี่
หลังจากที่ทั้งคู่ตีมือกัน พวกเขาก็เดินเฉียดไหล่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางของแต่ละคนโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามอง ทว่าพวกเขารู้ว่านับจากนี้ไป พวกเขาต้องเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ในอีกสี่ปีให้หลัง
ไม่นาน ค่ำคืนก็เยื้องกรายลงมา พวกหลิงหลานทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็ทำการฝึกฝนอีกรอบหนึ่งก่อนที่ต่างคนต่างไปพักผ่อน
เวลานี้เอง ในน่านฟ้าอวกาศของดวงดาวที่พวกเขาอยู่มีกองยานรบของกลุ่มอำนาจที่ไม่แน่ชัดลักลอบเข้ามาได้แล้ว พวกมันเข้ามาใกล้ดาวดวงนี้อย่างเงียบเชียบ…สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีการอะไรถึงได้ตัดการเฝ้าตรวจตราของดาวเทียมทั้งหมดของน่านฟ้าอวกาศผืนนี้ ไม่มีใครและอุปกรณ์ใดสังเกตเห็นตัวตนของพวกเขาเลย
ยานลาดตระเวนลำหนึ่งกำลังทำการลาดตระเวนตรวจตราน่านฟ้าอวกาศผืนนี้และพบว่าทุกอย่างปกติดี ขณะที่กำลังเตรียมตัวส่งข้อมูลไปที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักด้านล่าง พวกเขากลับพบว่าส่งข้อมูลไม่ไป
“แปลก ทำไมไม่มีสัญญาณห้าครั้งแล้ว?” เจ้าหน้าที่ควบคุมที่รับผิดชอบส่งข้อมูลส่งติดต่อกันห้าครั้ง ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักต่างแจ้งเตือนว่าไม่มีสัญญาณส่งล้มเหลวและสิ้นสุดลง นี่ทำให้เขาประหลาดใจขึ้นมา อดเอ่ยปากตะโกนออกมาไม่ได้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ส่งล้มเหลวเพราะสัญญาณไม่เสถียรมาก่อน แต่โดยปกติแล้วก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ไม่เคยเกินสามครั้งเด็ดขาด ส่งไม่ผ่านห้าครั้งย่อมเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติแน่นอน
หัวหน้ากลุ่มที่รับผิดชอบเรื่องนี้รีบเข้ามาตรวจสอบ เป็นเหมือนกับที่เจ้าหน้าที่ควบคุมว่าไว้แบบนั้นจริงๆ เครื่องมือแจ้งเตือนว่าไม่มีสัญญาณเลยสักนิดเดียว เขารีบเอ่ยว่า “เชื่อมต่อดาวเทียมอะไร?”
“JX-12 ครับ” เจ้าหน้าที่ควบคุมรีบตอบ
“เปลี่ยนเป็น JX-07” หัวหน้ากลุ่มออกคำสั่งในชั่วพริบตา
“ครับ! หัวหน้า!” เจ้าหน้าที่ควบคุมรีบเปลี่ยนการเชื่อมต่อดาวเทียมทันที แต่แล้วก็พบว่า JX-07 ก็เชื่อมต่อไม่ได้เหมือนกัน “หัวหน้า เชื่อมต่อ JX-07 ไม่ได้ครับ”
“ลองดาวเทียมอื่น!” หน้าผากของหัวหน้ากลุ่มเริ่มหลั่งเหงื่อเย็นๆ ลงมา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างท่าไม่ดีแล้ว
เจ้าหน้าที่ควบคุมเชื่อมต่อดาวเทียมอื่นๆ ของน่านฟ้าอวกาศผืนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็พบว่ายังคงไม่ได้ “หัวหน้า ยังไม่ได้ครับ”
“หรือว่าอุปกรณ์เชื่อมต่อของยานรบพังแล้ว” หัวหน้ากลุ่มถามอีก
“ไม่ครับ อุปกรณ์ตรวจสอบเองแล้วว่าทุกอย่างปกติดี!” เจ้าหน้าที่ควบคุมรีบตอบ
หัวหน้ากลุ่มได้ยินคำกล่าวนี้ก็พลันนึกถึงสงครามข้อมูลของสหพันธรัฐเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ซึ่งก็เคยเกิดฉากนี้เหมือนกัน เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวดว่า “หรือว่าศัตรูบุก?”
——————————–