ผ่านเทศกาลฉงหยาง[1]ไปแล้ว เมืองหลวงฝนตกหนักมาก น้ำฝนชะล้างพื้นถนน เกินครึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่หยุด เมืองหลวงที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงนั้นมองเห็นแต่กิ่งไม้แห้งและใบไม้ร่วงอยู่ทั่วทุกที่ อากาศเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เย็นชื้น และหนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก
วังฉือหนิงจุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาว
หวังไทฮองไทเฮา[2]ไม่อยากออกไปข้างนอก จึงตั้งโต๊ะที่ห้องอุ่นตะวันออก แล้วเรียกเจียงเซี่ยน ท่านหญิงเจียหนานหลานสาว กับไป๋ไทฮองไท่เฟย[3]มาเล่นไพ่ด้วยกัน
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังขาดไปคนหนึ่งอยู่ดี
พวกนางจึงต้องให้เมิ่งฟางหลิงนางในของวังฉือหนิงมาเล่นด้วยเพื่อให้ครบคน
ไป๋ไทฮองไท่เฟยถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ฮ่องเต้ทั้งสองรุ่นของพวกเราต่างเป็นคนลุ่มหลงในความรักอย่างหาได้ยาก ‘ขอเพียงคนที่รักเดียวใจเดียวและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า’ พวกเขาก็สมปรารถนาแล้ว แต่กลับทิ้งคนที่ไร้ที่พึ่งพิงอย่างพวกเราเอาไว้ให้ทนทรมานอยู่ในวังนี้ จนคนไม่พอที่จะเล่นไพ่สักโต๊ะหนึ่งด้วยซ้ำ”
ไทฮองไทเฮาไม่เอ่ยสิ่งใด
ตอนที่ฮ่องเต้เซี่ยวจงยังมีชีวิตอยู่โปรดปรานเพียงอันจิ้งเฟย กระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนสืบราชบัลลังก์ก็กลับโปรดปรานเพียงฉินกุ้ยเฟย[4]
ปกติแล้ววังหลังนี้ก็ไม่มีใครอยู่นัก
มือของเจียงเซี่ยนที่ถือไพ่อยู่กลับสั่นเล็กน้อย
เกรงว่าเวลานี้ท่านยายก็คงไม่เคยคิดฝันว่านางจะกลายเป็นคนที่ทนทรมานอยู่ในวังนี้ด้วยกระมัง!
เพราะตอนนี้ฮ่องเต้จ้าวอี้ก็เป็นคนที่ลุ่มหลงในความรักเช่นกัน
เพียงแต่เขาไม่ได้มอบความรักให้กับลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องสาว ซึ่งตอนหลังกลายมาเป็นฮองเฮาของเขาอย่างนาง ทว่ามอบให้กับเซียวซูเฟย[5]ที่เคยเป็นนางในมาก่อน และยังมีลูกชายคนหนึ่งนามว่าจ้าวสี่
ตั้งแต่ต้นจนจบ จ้าวอี้ไม่เคยเข้าหอกับนางเลย
เป็นฮองเฮาสามปี เป็นไทเฮาเจ็ดปี แม่น้ำฮวงโหพัดเขื่อนพัง ท่ามกลางเหตุการณ์ที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเกิดแผ่นดินไหว ทะเลสาบสองแห่งแห้งขอด ทางใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงน้ำท่วม สถานการณ์ของแคว้นลำบาก ทางตะวันออกมีจ้าวอี้อ๋องเหลียว[6]ที่ประสงค์ร้ายและรอจังหวะแย่งชิง ทางตะวันตกมีหลี่เชียนอ๋องหลินถงที่พร้อมรบตลอดเวลา ทางใต้มีจ้าวเซี่ยวจิ้งไห่โหว[7]ที่จิตใจโหดเหี้ยมและทะเยอทะยาน นางอุ้มจ้าวสี่ที่อายุสามขวบว่าราชการหลังม่าน ประคับประคองราชวงศ์จ้าวที่หากไม่ระวังก็จะล่มสลายและแตกกระจายนี้อย่างยากลำบาก ทว่าจ้าวสี่กลับยกถ้วยยาพิษมาให้นางเองกับมือ และวางยาพิษฆ่านางที่วังฉือหนิง
หลังจากนั้นพอนางลืมตาก็กลับมาโผล่ในปีหยวนติ่งที่สิบ ตอนที่นางอายุสิบสามและได้พบหวังไทฮองไทเฮาท่านยายที่เสียชีวิตไปนานแล้ว
นางทั้งน้อยใจและโกรธแค้น จึงกระโดดเข้าใส่อ้อมกอดของท่านยายแล้วก็ร้องไห้เหมือนเด็กที่ถูกรังแกอยู่ข้างนอกแล้วในที่สุดก็ได้เจอญาติที่รักตนเอง…
เวลานี้เรื่องนี้ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้ว จากที่ตกใจมากและดีใจที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา นางก็ตั้งสติได้แล้วเช่นกัน และแม้จะรู้ว่าความสงสัยเหล่านั้นของชาติก่อนที่อัดอั้นอยู่ในใจไม่มีทางหาคำตอบที่ชัดเจนได้อีกแล้ว แต่นางก็ยังอดที่จะครุ่นคิดถึงสิ่งที่จ้าวสี่ทำไม่ได้อยู่ดี
ทำไมเขาต้องวางยาพิษฆ่านาง?
จ้าวสี่ที่อายุสิบปี ถูกเลี้ยงดูในวัง จะเอายาพิษมาจากที่ใด?
มีใครบงการเขาอยู่เบื้องหลังหรือไม่?
คนที่บงการเขาเป็นใครกันแน่?
จ้าวอี้อ๋องเหลียว?
จ้าวเซี่ยวจิ้งไห่โหว?
หรือว่าเป็นหลี่เชียนอ๋องหลินถง?
แต่ไหนแต่ไรมาความกตัญญูถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องมาเป็นอันดับแรก นางเป็นแม่ใหญ่ของจ้าวสี่ ลูกไม้ที่ลอบทำร้ายมากมายในวังเขาไม่ใช้ กลับจะลงมือด้วยตนเองให้ได้ โดยยกถ้วยยาพิษมาให้นางเองกับมือ เขาคิดจะอธิบายกับเหล่าขุนนางใหญ่ของราชสำนักอย่างไร? อธิบายกับเหล่าพระญาติอย่างไร?
มีความผิดฐานสังหารมารดาเช่นนี้ ต่อให้จ้าวอี้ไม่ใช้ จ้าวเซี่ยวไม่ใช้ หลี่เชียนก็จะต้องใช้แน่ๆ อยู่ดี
นางตายแล้ว จ้าวสี่ยังอยากเป็นฮ่องเต้ ฝันไปเถอะ!
ตอนนั้นชนกลุ่มน้อยทางเหนือรุกรานเมืองหลวง หลี่เชียนอาศัยนามของ ‘อ๋องฉิน’ บุกเข้าไปในพระราชวังต้องห้าม และบุกเข้าไปในวังฉือหนิง
หากมิใช่ว่านางยอมอ๋องต่างแซ่[8]อย่างเขา แต่งตั้งให้เขาเป็นข้าหลวงใหญ่แห่งตะวันตกเฉียงเหนือ คุมเก้าเมืองใหญ่ สามสิบหกเมืองรอง สองร้อยหกอำเภอ ห้าสิบเจ็ดมณฑลทหารและยี่สิบเอ็ดเมืองทหารของส่านซีและเสฉวนแล้ว ก็เกรงว่าเขาคงจะไปวังเฉียนชิงเดี๋ยวนั้น และนั่งในท้องพระโรงตั้งตนเป็นฮ่องเต้แล้ว
นางมอบพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมดให้เขาแล้ว
แต่เจ้าคนสารเลวนั่นก็ยังไม่รู้จักพอ!
ทุกสามปีที่ถึงเวลาส่งบรรณาการเข้าเมืองหลวง หากไม่หาเรื่องไปมาหาสู่กับขุนนางที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้และสมรู้ร่วมคิดกันกำจัดคนที่เห็นต่างมาให้นางก็จะไม่ยอมหยุด
นางต่อว่าอย่างรุนแรงด้วยความโกรธในตอนแรก จนประนีประนอมอย่างจนใจในท้ายที่สุด
ตอนที่หมดหนทางจริงๆ นางยังเคยส่งหญิงงามไปให้หลี่เชียนตามที่เฉาเซวียนเฉิงเอินกง[9]บอก เพื่อปลอบใจเขา
แต่เจ้าคนเลวนั่นกลับได้คืบจะเอาศอก เขาเลิกม่านมุกของนาง ขอให้นางยกนางในที่ติดตามอยู่ข้างกายนางมาหลายปีให้เป็นอนุภรรยาของเขาอย่างเยือกเย็น…
ทุกครั้งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ นางก็จะว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ในอกราวกับกับมีกองไฟกำลังลุกไหม้อยู่
ยังดีที่นางย้อนกลับมาตอนอายุสิบสามปี
ได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง
ได้เลือกเส้นทางในภายภาคหน้าอีกครั้ง
นางจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ของตระกูลจ้าวอีกแล้ว
ใครใคร่จะไปจัดการสะสางเรื่องวุ่นวายของพวกตระกูลจ้าวก็ทำไป
นางอยากแต่งงาน
อยากมีลูก
อยากมีสามีที่จริงใจและเข้ากันได้
อยากใช้ชีวิตในครอบครัวเล็กๆ ที่พอมีพอกินของตนเอง
ไม่สนเรื่องการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ไม่สนว่าใครเป็นฮ่องเต้ ไม่เกี่ยวอะไรกับนางทั้งนั้น!
เจียงเซี่ยนสูดหายใจลึกหลายครั้ง ตั้งสติ แล้วออกไพ่
ไทฮองไท่เฟยตะโกนว่า “ไพ่คู่” พลางโยนไพ่ของตนลงบนพรมกำมะหยี่สีแดงเลือดนกที่ปูอยู่ พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป่าหนิง หลายวันนี้เจ้าหลับสบายดีหรือไม่?”
เป่าหนิงเป็นชื่อเล่นของเจียงเซี่ยน
ชื่อนี้ไทฮองไทเฮาเป็นผู้ตั้งให้
องค์หญิงหย่งอันมารดาของนางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้เซี่ยวจงกับไทฮองไทเฮา เมื่อโตขึ้นก็ได้แต่งงานกับเจียงเจิ้นอิง คุณชายรองจวนเจิ้นกั๋วกงที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
ปีเฉียนหยวนที่สิบห้า ฮ่องเต้องค์ก่อนตั้งลานล่าสัตว์แบบปิดสำหรับฮ่องเต้และชนชั้นสูงโดยเฉพาะที่อุทยานหลวงตะวันตก ตอนที่ล่าสัตว์ ไม่รู้เพราะเหตุใด หมีที่เดิมทีถูกกรอกยาสลบและเหยาะแหยะจู่ๆ ก็คลั่งขึ้นมา เจียงเจิ้นอิงจึงตายที่ลานล่าสัตว์ เพราะช่วยฮ่องเต้องค์ก่อน
องค์หญิงหย่งอันที่ตั้งครรภ์เจ็ดเดือนได้ข่าวก็เป็นลมหมดสติไปทันที
เจียงเซี่ยนคลอดก่อนกำหนด
องค์หญิงหย่งอันฝืนลืมตามองลูกสาวได้ครั้งเดียวก็จากไป
ไทฮองไทเฮาถูกฮ่องเต้เซี่ยวจงเมินมาตลอดชีวิต ที่นางสามารถเฝ้ารออย่างสงบเช่นนี้ได้ ก็เพียงเพราะอยากใช้ ‘การรู้จักกาลเทศะ’ ของตนเองแสวงหาความปลอดภัยให้ลูกสาวเท่านั้น
เวลานี้ลูกสาวและลูกเขยต่างจากไปแล้ว หลังจากนางเสียใจอย่างถึงที่สุดก็ออกปากว่าจะพาเจียงเซี่ยนไปเลี้ยงดูที่วังฉือหนิงเอง
ฮ่องเต้องค์ก่อนรู้สึกผิดมาก จึงไม่เพียงแต่ออกราชโองการให้เจียงเซี่ยนเข้าวัง ทว่ายังแต่งตั้งให้นางเป็นท่านหญิงเจียหนานด้วย โดยได้รับเงินเดือนชินอ๋อง[10]ห้าหมื่นต้าน[11]เป็นการถาวร
ตอนนั้นท่านกั๋วกง[12]ของจวนเจิ้นกั๋วกงคือเจียงเจิ้นหยวน พี่ชายแท้ๆ ของเจียงเจิ้นอิง
เมื่อเห็นไทฮองไทเฮาที่แก่ไปยี่สิบปีในทันใด เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ตั้งแต่นั้นมานอกจากเทศกาลบ๊ะจ่าง[13] เทศกาลไหว้พระจันทร์[14]และเทศกาลตรุษจีนที่เจียงเซี่ยนจะกลับไปเยี่ยมญาติที่จวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว เวลาอื่นนางก็อยู่ที่วังฉือหนิงเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาตลอด
เทียบกับจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว วังฉือหนิงเหมือนบ้านของนางมากกว่า
แต่การร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ฟื้นคืนชีพกลับมาของนางนั้นกลับทำให้ทุกคนตกใจกันแทบแย่
ไทฮองไทเฮาโอบกอดนางไว้ พลางเรียก ‘ที่รัก’ ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสายตาที่พร่าเลือนไปด้วยน้ำตา และซักถามตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง
นางไม่อยากให้ท่านยายกังวล จึงบอกแค่ว่าฝันร้าย ไทฮองไท่เฟยถึงได้ถามสารทุกข์สุขดิบด้วยความเป็นห่วง
“หลายวันนี้แม่นมเมิ่งให้คนต้มชาที่ทำให้จิตใจสงบให้ข้า ข้าดื่มไปเยอะมากแล้วเจ้าค่ะ” เจียงเซี่ยนตอบด้วยรอยยิ้ม และออกไพ่ใบหนึ่ง
ไทฮองไทเฮาเห็นใบหน้าของหลานสาวค่อยๆ มีเลือดฝาดขึ้นทุกวันก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างพอใจและออกไพ่ใบหนึ่ง
“กิน!” ไทฮองไท่เฟยตะโกนอย่างดีใจออกนอกหน้า “หม่อมฉันรอไพ่ใบนี้อีกใบเดียวก็จะชนะตั้งนานแล้วเพคะ”
“จริงด้วย” ไทฮองไทเฮาเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา แล้วนับไพ่ที่อยู่บนโต๊ะไพ่พลางครุ่นคิดว่าไทฮองไท่เฟยต้องการไพ่ใบไหน
มีนางในวิ่งเข้ามารายงานว่า “ไทฮองไทเฮา ไทฮองไท่เฟย ท่านหญิง ไทเฮาเสด็จแล้วเพคะ”
ทุกคนต่างแปลกใจ
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับแอบเอ่ยว่าแย่แล้ว
———————————–
[1] เทศกาลฉงหยาง ตรงกับวันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน
[2] ไทฮองไทเฮา ตำแหน่งพระอัยยิกาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
[3] ไทฮองไท่เฟย ตำแหน่งสนมของฮ่องเต้พระองค์ก่อน
[4] กุ้ยเฟย 1 ใน 4 ตำแหน่งชายาเอกของฮ่องเต้ที่มีฐานะรองจากฮองเฮา ประกอบด้วย กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย เสียนเฟย
[5] ซูเฟย 1 ใน 4 ตำแหน่งชายาเอกของฮ่องเต้ที่มีฐานะรองจากฮองเฮา ประกอบด้วย กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย เสียนเฟย
[6] จ้าวอี้อ๋องเหลียว ลูกชายของฉินกุ้ยเฟยกับฮ่องเต้องค์ก่อน
[7] โหว 1 ใน 6 บรรดาศักดิ์ของขุนนางในราชสำนักจีน อันประกอบไปด้วย อ๋อง กง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน โดยโหวมีฐานะเทียบเท่ากับตำแหน่งพระยาของไทย
[8] อ๋องต่างแซ่ คนที่ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋องเพราะมีความดีความชอบ
[9] กง เป็น 1 ใน 6 บรรดาศักดิ์ของขุนนางในราชสำนักจีน อันประกอบไปด้วย อ๋อง กง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน โดยกงมีฐานะเทียบเท่ากับตำแหน่งเจ้าพระยาของไทย
[10] ชินอ๋อง ตำแหน่งที่มีฐานะรองจากองค์รัชทายาท ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้มักเป็นพระโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาของฮ่องเต้
[11] ต้าน มาตรวัดปริมาตรของจีนในสมัยโบราณ ปกติจะใช้เป็นหน่วยในการตวงข้าวสารหรือธัญพืช แต่ในสมัยโบราณจะใช้ข้าวสาร ข้าวสาลีและธัญพืชอื่น ๆ เป็นค่าตอบแทนให้ขุนนางแทนเงินเดือน ซึ่งน้ำหนักของต้านในแต่ละราชวงศ์มีความแตกต่างกันไป
[12] กั๋วกง ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง อันประกอบด้วย กั๋วกง จวิ้นกง และเซี่ยนกง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้
[13] เทศกาลบ๊ะจ่าง ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน
[14] เทศกาลไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน