หลี่เชียนติดต่อกับเฉาเซวียนเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกคือผ่านการแนะนำของหลี่เต้าแม่ทัพเจ้อเจียง และตามท่านพ่อไปพบเฉาเซวียนที่จวนเฉิงเอินกง
ครั้งที่สองคือตามเฉาเซวียนเข้าวังมาเข้าเฝ้าเฉาไทเฮาเพียงลำพัง
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะมองเฉาเซวียนเลิกคิ้วแล้วรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่? แต่เขากลับมองเห็นตำแหน่งทั้งราชสำนักของตระกูลหลี่และผลกระทบที่ตัวเขาเองน่าจะทำให้เกิดในนั้นได้อย่างชัดเจน
ไม่จำเป็นต้องให้เฉาเซวียนบอกใบ้เพิ่มอีก หากวันนี้เขาล่วงเกินท่านหญิงเจียหนานที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้ เกรงว่าในภายภาคหน้าเขากับตระกูลหลี่ก็อย่าได้คิดที่จะเข้ามาในศูนย์กลางของราชสำนักอีก ถึงขนาดที่ว่าอาจจะเป็นสิบหรือยี่สิบปี
แต่เขาพลาดตรงไหนกันแน่?
เขากับท่านหญิงเจียหนานผู้ที่เป็นเหมือนตำนานนี้เจอกันเป็นครั้งแรก
ระหว่างทั้งสองคนนั้นอย่าว่าแต่บุญคุณและความแค้นเลย พวกเขาไม่ได้คุยกันแม้แต่ประโยคเดียวด้วยซ้ำ
ทำไมนางมองเห็นตนเองเหมือนเห็นผี
หลี่เชียนครุ่นคิด กว่าจะยับยั้งตนเองให้ไม่ลูบหน้าตนเองได้ก็ยากมาก
เขาปรายตามองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แต่ท่านหญิงเจียหนานคนนี้ก็หน้าตา…ธรรมดาจริงๆ!
ตัวผอมและเล็กเหมือนถั่วงอก ผิวนั้นขาวราวกับหิมะ ไม่มีสีแม้แต่นิดเดียว สันจมูกโด่งและตรง หน้าตาเรียบร้อยจริงจังแต่ไม่เสียความสวยและสุภาพไป ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยมากในหน้าตาของผู้หญิง นัยน์ตาทั้งกลมและโต ใสแจ๋วและใสสะอาด ดำขาวแยกกันชัดเจน เหมือนในปรอทสีขาวเลี้ยงปรอทสีดำอยู่สองลูก สรุปแล้วคือสวยมาก เวลานี้นางจ้องเขาตาโต ความสว่างไสวและสดใสนั้นทำให้เขานึกถึงแมวปอซือ[1]ที่ตนเองเลี้ยงตอนเด็กอย่างไม่มีสาเหตุ ทุกครั้งที่มันเจอหมาปักกิ่งที่เลี้ยงไว้ในบ้านก็จะกระโดดไปอยู่บนลายฉลุหน้าต่างหรือเตียงเตี้ยอย่างหวาดกลัว แล้วนั่งยองๆ จ้องหมาปักกิ่งลงมาจากตรงนั้น ดูท่าทางสง่างามและเยือกเย็น ทว่าความจริงแล้วกลับคอยเตรียมหนีและระแวดระวังเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ขอเพียงหมาปักกิ่งตัวนั้นขยับนิดเดียวก็พร้อมที่จะกระโดดหนีไปทุกเมื่อ
หลี่เชียนไม่อาจอดทนได้ ทั้งที่รู้ดีว่าเวลานี้ควรจะเหลือบตาลง แกล้งทำเป็นอ่อนโยนและไม่เป็นอันตราย เข้าไปทักทายท่านหญิงเจียหนานอย่างอ่อนน้อม แต่เขาก็ยังคงยิ้มจนเผยให้เห็นฟันขาวทั้งปาก
เจียงเซี่ยนอยากจะเตะเขาออกไปในทีเดียว
เป็นแบบนี้อีกแล้ว!
เป็นแบบนี้อีกแล้ว!
ทุกครั้งที่เจอกันก็เป็นแบบนี้!
คนอื่นต่างเหลือบตาลงและคารวะนางอย่างเคารพและระมัดระวัง มีแต่เขาที่จ้องนางตาโต และยิ้มให้นางอย่างเหลาะแหละและไร้มารยาท นางพูดกับเขาอย่างจริงจัง เขาก็ตอบหน้าเป็นอย่างไม่จริงจังนัก หากนางถอยหลังก้าวหนึ่ง ปลอบใจเขาตามคำพูดของเขา เขาก็จะทำท่าทางน่าเคารพยำเกรงปนซื่อตรงและแข็งแกร่งออกมาอีก…ถึงขนาดที่ว่าทุกครั้งที่เขาเข้าเมืองหลวงมาส่งบรรณาการ นางจะเริ่มกระวนกระวายล่วงหน้าสองเดือน จนได้เจอกัน นางก็รู้สึกว่าอายุขัยลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง
นางจึงงดการส่งบรรณาการของเขาเสียเลย ปรากฏว่าเขาก็ยังไม่รับน้ำใจ และให้เลขานุการในกองบัญชาการของแม่ทัพของเขาเขียนสาส์นสิบกว่าแผ่นแสดงความจงรักภักดีต่อนางมาอย่างมากมาย บอกว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะเข้าเมืองหลวงมาคารวะนาง แถมยังข่มขู่นางอย่างคนถ่อยที่มีอำนาจว่าหากอ๋องเหลียวกับจิ้งไห่โหวเห็นว่าเขาไม่ได้เข้าเมืองหลวงมาคารวะ จะคิดว่าเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อราชสำนักและไทเฮา คิด ‘กำจัดคนสนิทและคนเลวข้างกายฮ่องเต้’ ซึ่งหากทำให้เกิดสงครามขึ้นมาก็ยุ่งยากแล้ว…นางโกรธจนไม่ได้กินข้าวไปหลายวันด้วยซ้ำ
เจียงเซี่ยนจ้องหลี่เชียนตาโตกว่าเดิม
หลี่เชียนควบคุมตนเองไม่ได้จริงๆ
เขาจึงยิ้มอย่างสดใสกว่าเดิม
ท่าทางของท่านหญิงเจียหนานเช่นนี้เหมือนกับแมวที่โกรธไม่มีผิด
สนุกมากจริงๆ!
มิน่าเล่าสนมในวังถึงชอบนางกันขนาดนั้น
หากเขามีน้องสาวแบบนี้ และแกล้งนางทุกวันก็ต้องชอบมากเหมือนกัน
เจียงเซี่ยนโกรธถึงขีดสุดแล้ว
เจ้าคนสารเลวนี่ นอกจากยิ้มแล้วยังทำอะไรได้อีก?
เหมือนกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเขาฟันสวยทั้งปาก
เขาต้องไม่รู้แน่ว่ามีแต่คนที่โตมากับการกินข้าวโพดฝักเท่านั้นที่จะฟันสวยทั้งปากแบบนี้ได้?
ผิดแล้ว หลี่ฉางชิงพ่อของเขาต่างหากที่โตมากับการกินข้าวโพดฝัก
พอมาถึงเขา พ่อของเขาก็ถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมจำนนแล้ว จึงโดนเฉาไทเฮาย้ายจากเฝินหยางซานซีไปเป็นแม่ทัพที่ฝูเจี้ยน ต่อมาจ้าวอี้ออกว่าราชการด้วยตนเอง หลี่ฉางชิงไม่รู้ว่าผ่านคนสนิทข้างกายจ้าวอี้ไปได้อย่างไร ขันทีซุนเต๋อกงที่มารับตำแหน่งซือหลี่เจียน[2]ต่อถึงให้หลี่เชียนเป็นแม่ทัพโหยวจีแห่งกองบัญชาการต้าถง
ตระกูลหลี่เหมือนเสือเข้าป่า ตั้งแต่นี้ไปก็ไม่มีใครบังคับให้ทำตามได้อีกแล้ว
จนตอนที่นางเป็นไทเฮาก็แบ่งดินแดนบางส่วนและชดใช้ค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม จนไม่รู้ว่าตอบรับเงื่อนไขที่สูญเสียอำนาจอธิปไตยและทำให้แคว้นเสื่อมเสียชื่อเสียงกับเขาไปเท่าไร…นั่นแทบจะเป็นความอัปยศตลอดชีวิตของนาง! และเป็นฝันร้ายที่ไม่อยากจะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
ความคิดแล่นผ่านไป เจียงเซี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย
ไม่ถูกสิ!
เวลานี้หลี่เชียนยังเป็นแค่คนหนุ่มที่ไม่เป็นที่รู้จัก คนอื่นเอ่ยถึงเขาก็เรียกกันด้วยฐานะของลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิง ไม่ใช่อ๋องหลินถงที่ทำให้คนหวาดกลัวมากและเด็กหยุดร้องไห้ และโดนเหล่าขุนนางเรียกลับหลังว่า ‘อู่อันจวิน[3]’ ด้วยซ้ำ แล้วนางจะกลัวเขาไปทำไมล่ะ?
ทำให้เขาตกใจจนงงแล้วจริงๆ
เจียงเซี่ยนเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที หน้าตาสดใส และอารมณ์ดีขึ้น
ตระกูลหลี่อยากกลับบ้านเกิดที่ซานซีใช่หรือไม่?
อยากกลับไปเรียกตนเองว่าฮ่องเต้ที่บ้านเกิดใช่หรือไม่?
อา! ฝันไปเถอะ!
ก็ไม่ดูว่าเจ้าเจอใครเข้า?
ดูถูกข้า! คิดจะข่มขู่ข้า!
ช่างน่าเสียดาย!
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน หลี่เชียนเจ้าก็มีวันที่ตกอยู่ในกำมือของข้าเช่นกัน
คอยดูเถอะว่าข้าจะเล่นงานเจ้าอย่างไร!
พวกเจ้าตระกูลหลี่ก็อยู่สู้กับโจรสลัดญี่ปุ่นที่ฝูเจี้ยนไปแล้วกัน!
ถึงเวลานั้นให้หลี่เชียนที่รูปร่างสูงใหญ่และผิวขาวใสตากแดดจนดำเป็นถ่านไปเลยก็ยิ่งดี
เจียงเซี่ยนคิดถึงภาพนั้นก็รู้สึกอารมณ์ดี จนนัยน์ตากลมโตที่โตมากโค้งเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยว
แล้วก็นึกถึงที่เสียมารยาทไปเมื่อครู่…
“ใต้เท้าเฉา!” นางยืดหลังตรงทันที แล้วเรียกเฉาเซวียนอย่างเคยชิน พลางเอ่ยอย่างเป็นมิตร “นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนนอกในวัง ข้าตกใจหมดเลย…”
งั้นหรือ?
ความงุนงงฉายผ่านในดวงตาของเฉาเซวียนไปอย่างเร็วมาก
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าท่านหญิงเจียหนานเป็นที่สนใจของทุกคน
เทศกาลบ๊ะจ่างปีนี้ มารดาของอันลู่โหวได้พาหลานชายเข้าวังมาคารวะไทฮองไทเฮา จู่ๆ ท่านหญิงเจียหนานก็ถูกซื่อจื่ออันลู่โหวขวางทางและเข้ามาคุยด้วยที่ระเบียงคด นางจ้องตรงไปที่ซื่อจื่ออันลู่โหวอย่างแข็งกระด้างด้วยดวงตาที่เหมือนน้ำแข็งอันเย็นยะเยือกจนอีกฝ่ายพูดจาติดขัด พูดได้ไม่กี่คำก็วิ่งหนีไปอย่างลนลาน
ตอนนั้นเขามองอยู่ก็เหมือนอึดอัดขึ้นมา
นั่นก็เป็นครั้งแรกที่นางเจอซื่อจื่ออันลู่โหวเหมือนกัน
แต่เขาไม่เห็นว่านางจะกลัวคนแปลกหน้าแม้แต่นิดเดียว
สมองของเฉาเซวียนเริ่มแล่นอย่างเร็วมาก
เคยมีคนพาหลี่เชียนมาเจอเจียงเซี่ยนเป็นการส่วนตัวแล้วอย่างนั้นหรือ?
หรือว่านางได้ยินอะไรมา?
ทว่าสถานการณ์ในเวลานี้กลับไม่ยอมให้เขาคิดมาก เขาจึงกดความคิดยุ่งเหยิงในใจลงไป แล้วค้อมตัวคารวะเล็กน้อยด้วยท่าทางยอดเยี่ยม พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่ไหนกันเล่า เป็นเพราะพวกเราผลีผลามไป” แล้วมองเจียงเซี่ยนตาโต นัยน์ตาดอกท้อที่แวววาวเหมือนน้ำในฤดูใบไม้ร่วงปรากฏระลอกคลื่นขึ้นมา “ทำให้ท่านตกใจหรือเปล่า?”
เสียงนุ่มจนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม
เจียงเซี่ยนเหมือนรู้สึกหนาวเย็นเป็นระยะๆ
ทุกครั้งที่เฉาเซวียนอยากจะโน้มน้าวให้คนอื่นทำตามที่เขาต้องการก็จะเผยสีหน้าแบบนี้ออกมา
นางโบกมือ สีหน้าแลดูอ่อนโยนและใจกว้าง พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!”
แต่ในใจหลี่เชียนกลับรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
ฐานะสูงศักดิ์แค่ไหนจะมีประโยชน์อะไร?
เติบโตที่พระราชวังต้องห้ามที่มีกฎระเบียบเข้มงวดนี้ตั้งแต่เด็ก เงยหน้าก็เป็นท้องฟ้าที่กว้างเท่าช่องหลังคา ก้มหน้าก็เป็นที่แปลงหนึ่งที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ แล้วจะไม่ขลาดกลัวได้อย่างไร
เขาตีหน้าขรึม แล้วเข้ามาคารวะเจียงเซี่ยนอย่างจริงจัง “ท่านหญิงเจียหนาน เสียมารยาทแล้ว”
เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก
นึกไม่ถึงว่าหลี่เชียนจะพูดกับนางอย่างถ่อมตัวและสุภาพแบบนี้…เป็นเพราะเขาอายุยังน้อยงั้นหรือ?
นางมองหลี่เชียนครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มรับการคารวะ พลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉาเข้าวังมาพร้อมใต้เท้าหลี่ได้อย่างไร? แถมยังดื่มชาในห้องชาด้วย?”
———————————-
[1] แมวพันธุ์เปอร์เซีย
[2] ซือหลี่เจียน ขันทีที่ทำหน้าที่ดูแลเอกสารของฮ่องเต้ ตราประทับ และพิธีการในวัง
[3] หมายเหตุ: ‘อู่อันจวิน’ เป็นบรรดาศักดิ์ของไป๋ฉี่ ตรงนี้สื่อถึงความโหดร้ายของหลี่เชียน