มู่หนานจือ – บทที่ 18 ตอบ

มู่หนานจือ

ไป๋ซู่ก็หัวเราะเช่นกัน “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไทเฮาเคยพระราชทานขนมถั่วแดงให้เจ้าตอนไหน? แล้วเจ้าชอบกินหรือไม่…”

เจียงเซี่ยนฟังอยู่ รอยยิ้มก็ค่อยๆ จืดจางลง

นั่นสิ!

เฉาไทเฮาเคยพระราชทานขนมถั่วแดงให้นางตอนไหน แล้วนางชอบกินขนมถั่วแดงตั้งแต่เมื่อไร

ในวังนี้ จริงหรือเท็จ เท็จหรือจริง ใครจะบอกได้ชัดเจน เรื่องทุกเรื่อง คำพูดทุกคำ ก็มีอยู่เพียงเพราะความจำเป็นเท่านั้น ใครจะไปสนว่าจะพูดจริงหรือหลอกลวง

พอคิดแบบนี้ เจียงเซี่ยนก็ท้อใจเล็กน้อย

ไป๋ซู่คิดไปในทางเดียวกับเจียงเซี่ยนแล้ว จึงไม่อยากพูดอะไรไปชั่วขณะเช่นกัน แล้วเอ่ยด้วยอารมณ์หดหู่ว่า “หลี่เชียนนั่นรับใช้วังคุนหนิง”

เจียงเซี่ยนรู้แล้ว

ไม่รู้ว่าชาตินี้หลี่เชียนจะหนีการควบคุมของโชคชะตาได้พ้นหรือไม่?

ตนเองรีบแสวงหาฐานะและผลประโยชน์แบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่?

ทันใดนั้นแม้แต่ใจที่โจมตีและแก้แค้นหลี่เชียนของนางก็เหมือนจะด้านชา

ทั้งสองคนพิงอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างอย่างเงียบๆ ในสีหน้าต่างมีความเหงาอยู่เล็กน้อย

ท่ามกลางความเงียบเหงานั้น ไป่เจี๋ยเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา และรายงานเสียงเบาว่า “ท่านหญิง ซื่อจื่อชินเอินป๋อให้คนมาถามว่าตอนบ่ายท่านว่างหรือไม่? เจอกันใต้ต้นไป่โบราณนั้นในอุทยานหลวงได้หรือไม่? เขามีเรื่องจะคุยกับท่านเจ้าค่ะ”

ได้ข่าวของเซียวหรงเหนียงแล้วอย่างนั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนร่าเริงขึ้นมาทันที นางลุกขึ้นมานั่งและสั่งไป่เจี๋ย “ตอนบ่ายข้าว่าง เจ้าไปตอบซื่อจื่อว่าตอนบ่ายเจอกันตรงนั้น แล้วก็ให้เงินคนที่มาส่งข่าวไปสักหน่อย”

ไป่เจี๋ยยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป

ไป๋ซู่เห็นเจียงเซี่ยนยิ้มตลอด ก็ลากเสียงยาวเอ่ยว่า “เป่า-หนิง-นี่-จะ-ไป-เจอ-พี่-ชาย-หรือ!”

เจียงเซี่ยนไม่อยากทำให้นางหัวเราะ จึงเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็อย่ามัวแต่คิดถึงท่านพี่ของข้าอยู่เลย เสด็จยายตั้งใจอยากให้ตระกูลหวังเป็นตระกูลมั่งคั่งที่ว่างงานและมีอิสระ คนที่เติบโตในวังอย่างข้ากับเจ้า สะดุดตาเกินไป ไม่เหมาะกับตระกูลหวัง”

ไม่อย่างนั้นทำไมท่านยายถึงไม่คิดที่จะให้นางแต่งงานกับท่านพี่อาจ้านล่ะ!

เห็นๆ อยู่ว่าท่านพี่อาจ้านหล่อเหลาและอ่อนโยน เอาใจใส่และจริงใจ…

เจียงเซี่ยนส่ายหน้า รีบลืมความคิดนี้ไปให้หมด แล้วเริ่มเตรียมเครื่องประดับกับเสื้อผ้าที่จะใส่ไปเจอหวังจ้านตอนบ่าย

ไป๋ซู่ดูนางแต่งตัว นานมากทีเดียวกว่าจะเอ่ยว่า “เป่าหนิง ข้ารู้สึกว่าเฉาเซวียนไม่ชอบข้า”

“แล้วเจ้ายังชอบเขาหรือไม่?” เจียงเซี่ยนหยิบเสื้อคลุมยาวลายเปี้ยนตี้จินแฝงลายลูกพลับสี่ลูกสีชมพูมาทาบบนตัว

ไป๋ซู่คิดถึงใบหน้าแดงเลือดฝาดที่แวววาวเหมือนผ้าไหมที่มีลายหลากสีสัน และอดที่จะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำไม่ได้ว่า “ชอบ…”

“นั่นก็พอแล้วนี่นา!” เจียงเซี่ยนมือซ้ายถือกระโปรงปักลายสีขาว มือขวาถือกระโปรงแปดจีบสีเขียวมันปักลายดอกอวี้หลาน[1]สีชมพู ถามนาง “ตัวไหนสวย?”

ไป๋ซู่ชี้ไปที่กระโปรงปักลายสีขาว “อุทยานหลวงส่วนใหญ่เป็นต้นไม้สีเขียว ใส่สีขาวดีกว่า”

แต่เจียงเซี่ยนกลับเลือกกระโปรงแปดจีบสีเขียวมันแล้ว

ไป๋ซู่โกรธเป็นอย่างมาก และเอ่ยว่า “เจ้าเลือกเสร็จแล้วยังถามข้าอีก?”

“ก็ไม่มีอะไรทำไม่ใช่หรือ?” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “ข้าคิดว่าพวกเราควรหานักดนตรีอะไรสักอย่างเข้าวังมาสอนพวกเราดีดพิณหน่อย หรือจะเป็นผีผาก็ได้ ยังได้ฟังเพลงอะไรง่ายๆ สักเพลงด้วย คัดพระไตรปิฎกทุกวัน เบื่อจะตายอยู่แล้ว”

ไป๋ซู่ถึงกับมองมาตาโต แล้วเอ่ยว่า “เจ้า…เอ่อ…มีงานอดิเรกเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

ตอนที่เป็นฮองไทเฮาว่าราชการหลังม่าน

เจียงเซี่ยนเอ่ยในใจ

ในวังเงียบเหงา ไม่หาอะไรทำสักหน่อย จะทนต่อไปได้อย่างไร?

นางลองคิดดูแล้วชาติก่อนไม่คุ้มเลยจริงๆ

ทว่าพอเจียงเซี่ยนเจอหวังจ้านก็อารมณ์ดีขึ้นมาอีก

หวังจ้านแอบเอาขนมกุหลาบของศาลเจ้ากูเส่ามาให้นางสองชิ้น ด้วยกลัวว่าใครจะเห็นเข้า จึงซ่อนไว้ในอกเสื้อ ตอนที่เอาออกมาก็ยังร้อนอยู่

เจียงเซี่ยนยิ้มหวานให้เขา และแอบนั่งกินขนมใต้ต้นไห่ถัง

หวังจ้านยืนขวางอยู่ตรงหน้านาง แถมยังสั่งนางไม่หยุดว่า “เจ้าค่อยๆ กิน ถ้ามีคนมาเจ้าก็เอาขนมยัดไว้ในอกเสื้อข้า และบอกว่าข้าเป็นคนกินก็แล้วกัน เจ้าระบบย่อยไม่ดี กินได้แค่ชิ้นเดียว ชิ้นที่เหลือนั้นเอากลับไปให้จ่างจูกิน นางคอยดูแลเจ้าอยู่เสมอ เจ้ามีของดีแล้วก็ต้องไม่ลืมที่จะให้นางชิมสักหน่อย พี่น้องเช่นนี้ถึงจะอยู่ได้ยาวนาน”

เจียงเซี่ยนได้ยินก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน และเอ่ยว่า “ท่านพี่อาจ้าน ท่านก็นั่งลงด้วยเถอะ! ไม่มีใครมาหรอก ข้าให้ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อยืนอยู่ข้างนอกแล้ว! ท่านยืนอยู่แบบนี้ ข้าต้องเงยหน้าคุยกับท่าน ปวดคอมาก”

หวังจ้านมองไปรอบด้าน พอเห็นว่ายังไม่มีใครผ่านมาจริงๆ ก็นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ข้างๆ

ชอบขนมกุหลาบของศาลเจ้ากูเส่า นั่นเป็นเรื่องในชาติก่อนแล้ว

ตอนหลังสิ่งที่ชอบที่สุดคือขนมเมฆขาวในศาลเจ้ากูเส่า ใช้แป้งข้าวจ้าวทำ เติมแค่น้ำตาล และมีเพียงรสหวานจางๆ ไม่เหมือนขนมกุหลาบที่นวดกลีบกุหลาบและน้ำเชื่อมเข้าไป สีสันสดใสสวยงาม และรสชาติหวานเลี่ยน

เจียงเซี่ยนห่อขนมกุหลาบที่กินไม่หมดเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่อาจ้าน หาเซียวหรงเหนียงเจอแล้วหรือ?”

หวังจ้านพยักหน้า ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่ขนมกุหลาบครึ่งชิ้นในมือของเจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “ไม่อร่อยหรือ?”

เจียงเซี่ยนรีบเอ่ย “ไม่ใช่ ข้าเอากลับไปกินพร้อมกับไป๋ซู่ เวลานี้เซียวหรงเหนียงเข้าเวรอยู่ที่ไหนหรือ? นาง…ตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร?”

หวังจ้านไม่สงสัยเรื่องอื่น และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปี ทั้งผอมและตัวเล็ก แล้วก็รับใช้อยู่ที่ฝ่ายซักล้าง ได้ยินขันทีทางนั้นบอกว่า นางซื่อสัตย์และไม่ออกนอกลู่นอกทาง ให้ไปทางตะวันออกไม่กล้าไปทางตะวันตก ให้ไปทางตะวันตกไม่กล้าไปทางตะวันออก แม่นมที่คุมงานหลายคนต่างก็ชอบนาง…”

“ไม่ผิดตัวใช่หรือไม่?” เจียงเซี่ยนตกใจ

เซียวหรงเหนียงผอมและตัวเล็กจริงๆ แต่เข้าฝ่ายซักล้างที่อยู่ระดับต่ำสุด และยังเป็นช่วงเวลาที่น่าจะตั้งครรภ์จ้าวสี่จนมองเห็นท้องได้อย่างชัดเจนแล้วด้วย…นี่มันเป็นไปไม่ได้!

“น่าจะไม่ผิดตัว” หวังจ้านเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ข้าสืบมาแล้ว ทั้งพระราชวังต้องห้ามมีนางในห้าพันสี่ร้อยหกสิบหกคน และนางในระดับสูงหนึ่งพันแปดร้อยเก้าสิบสี่คน มีสามคนที่ชื่อเซียวหรงเหนียง คนหนึ่งอายุสามสิบปีเป็นนางในระดับสี่รับใช้อยู่ที่ท้องพระคลัง คนหนึ่งอายุสี่สิบสี่ปีรับใช้อยู่ที่ฝ่ายย้อมผ้า อีกคนก็คือเซียวหรงเหนียงที่ข้าเอ่ยไปเมื่อครู่แล้ว มีแต่อายุของนางที่ตรงกับที่เจ้าบอก…”

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าตนเองเหมือนตกลงไปในใยแมงมุมแล้ว ทั้งที่มองเห็นแมลงอยู่ชัดๆ ทว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งจมลึก และยิ่งมองไม่เห็นว่าแมลงตัวนั้นอยู่ตรงไหน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจับมันแล้ว

“ท่านพี่อาจ้าน ท่านช่วยจัดการให้ข้าหน่อย ข้าจะไปเจอเซียวหรงเหนียงคนนี้” นางเอ่ยอย่างตัดสินใจเด็ดขาด

ชาติก่อนนางเจอเซียวหรงเหนียงในตำหนักหย่างซินที่จ้าวสี่อาศัยอยู่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง

ต่อให้นางหน้าตาแตกต่างไปจากตอนนั้นมาก เจียงเซี่ยนก็คิดว่าตนเองสามารถจำนางได้เช่นกัน

หวังจ้านกังวลขึ้นมา จึงเอ่ยว่า “เจ้าหาเซียวหรงเหนียงคนนี้ไปทำไมกันแน่? เจ้าไปที่ฝ่ายซักล้าง ถึงจะปิดบังไทฮองไทเฮาได้ แต่จะปิดบังคนในวังได้อย่างไร?”

เจียงเซี่ยนไม่กลัวคนในวังรู้

นางกลัวจ้าวอี้รู้

ชาติก่อนไม่ว่าจะเป็นเฉาไทเฮาหรือไทฮองไทเฮา คนมากขนาดนั้นทั้งวังต่างก็ไม่เจอเซียวหรงเหนียงกับจ้าวสี่ จะเห็นได้ว่าจ้าวอี้ปกป้องพวกนางได้ดีแค่ไหน

นางสงสัยว่าจริงๆ แล้วเซียวหรงเหนียงที่อยู่ในฝ่ายซักล้างนั้นไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของจ้าวสี่ และมารดาแท้ๆ ของจ้าวสี่นั้นจ้าวอี้เลี้ยงไว้ข้างนอก

ไม่ได้เจอหน้าสักครั้ง นางก็ยากที่จะสงบใจได้ แล้วก็ไม่มีทางสืบต่อไปได้เช่นกัน

เจียงเซี่ยนกัดริมฝีปากแน่น

หวังจ้านถอนหายใจ และเอ่ยอย่างยอมให้ว่า “เอาอย่างนั้นก็ได้! ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า

มีคนทักทายพวกเขาด้วยเสียงหัวเราะสดใส “ท่านหญิงเจียหนาน ซื่อจื่อชินเอินป๋อ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอพวกท่านสองคนที่นี่!”

————————————-

[1] ดอกแมกโนเลีย

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท