มู่หนานจือ – บทที่ 31 เข้าไปเอง

มู่หนานจือ

เจ้าคนสารเลวนี่คิดจะทำอะไร?

เจียงเซี่ยนจ้องหลี่เชียนอย่างเย็นชา

นกยูงไหมทองนะ!

ตอนนี้นกยูงไหมทองเป็นของไร้ค่าไปทั่วทุกที่แล้วงั้นหรือ?

ยังเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างอีก

อยากบอกว่าตัวเขาเองรู้ความผิดปกติของนางแล้วหรือ? แถมยังคิดจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างข่มขู่นางด้วย?

ไม่ว่าเป็นจะอย่างแรกหรืออย่างหลัง นางก็จะไม่รับทั้งนั้น!

เจียงเซี่ยนยืดหลังตรง

แต่ไป๋ซู่กลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของเจียงเซี่ยนแต่อย่างใด นางได้ยินแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน จำเป็นต้องรบกวนให้ซื่อจื่อชินเอินป๋อไปบอกด้วย เดี๋ยวข้าให้นางในข้างกายข้าไปให้เจ้าก็ได้” แล้วถาม “เจ้าได้นำเสื้อคลุมมาด้วยหรือไม่?”

หลี่เชียนรีบคารวะไป๋ซู่ “ขอบคุณท่านหญิงมาก ขอบคุณท่านหญิงมาก ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่มั่นใจว่าซื่อจื่อชินเอินป๋อจะเห็นแก่ข้าเหมือนกัน จึงไม่ได้นำเสื้อคลุมมาด้วย แต่พรุ่งนี้ข้าหยุด หากท่านหญิงสะดวก ข้าจะส่งรถม้าไปรับแม่นมที่อยู่ข้างกายท่านไป ท่านว่าดีหรือไม่?”

ความซาบซึ้งระบายอยู่เต็มหน้าเขา เขาลุกขึ้นแล้วก็คารวะเจียงเซี่ยน พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านหญิงมาก”

สีหน้านั้นอยากให้จริงใจแค่ไหนก็จริงใจเท่านั้น น้ำเสียงนั้นอยากให้นอบน้อมแค่ไหนก็นอบน้อมเท่านั้น

เจียงเซี่ยนเบ้มุมปาก

เจ้าเสแสร้งกับข้าไปเถอะ!

ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเสแสร้งไปได้สักกี่น้ำ?

ชาติก่อนข้าโง่เอง จึงถูกเจ้าหลอก ทว่าชาตินี้เจ้าเลิกคิดที่จะหลอกข้าอีกครั้งไปได้เลย

เจ้าอยากหลอกใครก็ไปหลอกคนนั้น!

เจียงเซี่ยนหันตัวแล้วไปทางวังฉือหนิง

หลี่เชียนตะโกนใส่นางอยู่ข้างหลังนางว่า “ท่านหญิง พรุ่งนี้ข้าเอาขนมกุหลาบของศาลเจ้ากูเส่ามาให้ท่านดีหรือไม่?”

เจียงเซี่ยนหยุดฝีเท้า หลับตาลง

ภาพในชาติก่อนที่หลี่เชียนถือดาบที่เลือดยังหยดอยู่ คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง และบังคับให้นางแต่งตั้งเขาเป็นโหวปรากฏขึ้นในความทรงจำของนางอีกครั้ง

นางค่อยๆ หันตัวไป นัยน์ตากลมโตที่สดใสเบิกโต หางตางอนขึ้นเล็กน้อย ในความเอาแต่ใจปนความเย่อหยิ่งอยู่อย่างเบาบาง

“พรุ่งนี้เจ้าจะไปฝ่ายซักล้างหรือ?” เจียงเซี่ยนเอ่ย “ข้ายังไม่เคยไปเลย ไม่รู้ว่าที่นั่นสนุกหรือไม่? ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะตามเจ้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยเป็นอย่างไร?”

หลี่เชียนสูดหายใจเข้าลึก

ในที่สุดเรื่องนี้ก็สำเร็จแล้ว

“ข้าก็ไม่เคยไปเหมือนกัน” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มสดใสและสว่างไสวเหมือนเช่นเคย “หากมีท่านหญิงไปเป็นเพื่อน ต้องสนุกมากอย่างแน่นอน”

“งั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน!” เจียงเซี่ยนก็ยิ้มเหมือนกัน ยิ้มอย่างไร้เดียงสา

ทว่าไป๋ซู่ที่สนิทกับนางกลับรู้สึกผิดปกติ

นางรั้งเจียงเซี่ยนไว้ และกระซิบข้างหูนางว่า “เป่าหนิง พวกเราออกจากวังตามใจชอบไม่ได้ หากถูกคนล่วงเกินจะทำอย่างไร? ไทฮองไทเฮาไม่มีทางยอม”

“วางใจเถอะ!” เจียงเซี่ยนตอบ แต่นัยน์ตากลับจ้องอยู่ที่หลี่เชียน และเอ่ยว่า “ทูลไทฮองไทเฮาว่าพวกเราอยากตามฝ่าบาทไปเที่ยวที่ภูเขาวั่นโซ่วก็ได้ หากไทฮองไทเฮาไม่อนุญาต ข้าก็มีวิธีของข้าเอง!”

“ไม่ได้!” ไป๋ซู่รีบเอ่ย “นี่มันโทษฐานหลอกลวงฝ่าบาท!”

เจียงเซี่ยนไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว

หลี่เชียนยิ้มอย่างสดใสมากขึ้น และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนและไป๋ซู่เสียงดังว่า “ท่านหญิงทั้งสอง งั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้เช้ายามซื่อ[1]ข้ามารับพวกท่านดีหรือไม่?”

“ได้!” เจียงเซี่ยนพยักหน้า แล้วลากไป๋ซู่เข้าไปในประตูใหญ่ของวังฉือหนิงโดยไม่หันกลับมาอีก

หลี่เชียนมองเงาร่างของทั้งสองคนที่อยู่ไกลออกไป แล้วเดินออกจากวังอย่างสบายใจและมีความสุข และกลับตรอกหมวก

เซี่ยหยวนซีรอเขาอยู่ใต้ต้นฉัตรจีนต้นใหญ่หน้าตรอก

พอเห็นรถม้าของหลี่เชียน เขาก็โบกมือ

รถม้าจอดแล้ว เซี่ยหยวนซีก็กระโดดไปบนขึ้นรถม้า

หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไม หวังไหวอิ๋นรออยู่ในห้องข้าจะเฝ้าดูและเร่งให้ข้าเขียนฎีกาให้ราชสำนักหรือ?”

“ใช่น่ะสิขอรับ!” เซี่ยหยวนซียิ้ม

หลี่เชียนก็ยิ้มเช่นกัน

ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย

คนอย่างพวกเขาพึ่งพาอาศัยคนที่สอบเข้าขุนนางหรือ?

ต่อให้สอบได้จวี่เหรินแล้วอย่างไร?

“พวกเราอ้อมตรอกไปรอบหนึ่ง” หลี่เชียนสั่งองครักษ์ที่ขับรถให้เขา

องครักษ์ขานรับ

ม้าเข้าไปในตรอกเล็กที่อยู่ข้างๆ

หลี่เชียนเอ่ยกับเซี่ยหยวนซีเสียงเบาว่า “ข้าคุยกับท่านหญิงเจียหนานแล้ว พรุ่งนี้นางจะตามข้าไปที่ฝ่ายซักล้าง เพราะไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นนางจะพูดอะไรบ้าง ดังนั้นต้องเอาเสื้อคลุมนกยูงไหมทองตัวนั้นที่เตรียมไว้ไปด้วย”

เซี่ยหยวนซีขานรับเสียงเบา “ขอรับ” แล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ความรู้สึกของท่านถูกต้อง คนที่เฝ้าจวนชินเอินป๋อส่งข่าวมาว่า หวังจ้านกับมารดาของเขาไม่รู้อยู่ที่ไหนตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ยิ่งกว่านั้นเจียงลวี่ซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่ปรากฏตัวมาเดือนกว่าแล้ว คนที่ส่งไปกองบัญชาการต้าถงก็ตอบมาแล้วเหมือนกันว่าเจี่ยงลวี่ไม่อยู่ที่ต้าถง ช่วงนี้ค่ายทหารภูเขาตะวันตกก็เปลี่ยนผลัดป้องกันบ่อยเช่นกัน จนหากฎระเบียบอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าสั่งการลงไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็คิดหาทางเอารายชื่อขององครักษ์จนถึงสิ้นเดือนนี้มาให้ได้…”

หลี่เชียนตอบ “อืม” คำเดียว ใบหน้าที่ตีหน้าขรึมนั้นเย็นชาและจริงจัง แล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ก็คอยดูว่าจะได้ข่าวอะไรมาจากท่านหญิงเจียหนานบ้างหรือไม่” เขาพูดไปก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยว่า “ส่วนท่านพ่อ คิดหาทางให้หวังไหวอิ๋นอยู่กับเขาดีกว่า เอาไว้ใกล้จะจบเรื่องแล้วค่อยบอกเขา เขาจะได้ไม่กังวล”

เซี่ยหยวนซีขานรับ

หลี่เชียนกับเซี่ยหยวนซีกลับตรอกหมวกแล้ว เขาก็กลับมาระบายรอยยิ้มเต็มหน้าอีกครั้ง

แต่ไป๋ซู่กลับกำลังเป็นห่วงเจียงเซี่ยน “เป่าหนิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตอนแรกเจ้าก็ออกไปกับหวังจ้านรอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้จะออกไปกับหลี่เชียนที่ไม่รู้จักด้วยซ้ำอีก หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร? เรื่องนี้ข้าตามใจเจ้าไม่ได้ หากพรุ่งนี้เจ้าออกไป ข้าจะทูลไทฮองไทเฮา” พอเอ่ยถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าน้ำเสียงเข้มงวดเกินไปแล้ว จึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าอยู่ในวัง เจ้าจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ออกจากวัง…ไม่ได้…”

“งั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ไปเที่ยวหอเหยียนชุนดีหรือไม่?” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างดื้อรั้น

ไป๋ซู่ร้อนใจจนตาแดง

ตอนเด็กๆ มีครั้งหนึ่งพวกนางเล่นซ่อนหากันที่หอเหยียนชุน เจียงเซี่ยนเดินไปซ่อนไป นางก็หาทั้งบ่าย สุดท้ายเจียงเซี่ยนหิวแล้ววิ่งออกมาเองถึงจบเกม

“ข้ามีธุระจริงๆ” เจียงเซี่ยนถอนหายใจ “เจ้าก็ช่วยข้าแค่ครั้งนี้แล้วกัน ต่อไปข้าก็จะอยู่ในวังดีๆ”

คนอื่นมองเห็นภัยอันตรายต่างก็จะหลบไป แต่หลี่เชียนกลับอาศัยคนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมและใจกล้า เขาไม่เพียงแต่จะไปเฝ้าดูอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งดูดายเท่านั้น ทว่าหากสนใจขึ้นมาก็จะเข้าไปร่วมด้วย

ครั้งที่แล้วที่เขาปรากฏตัวที่อุทยานหลวง นางก็น่าจะรู้สึกตัวแบบนี้ นางคิดแต่ว่าหลี่เชียนยังอายุน้อย และอาจจะต่างกับหลี่เชียนในอดีตบ้าง

นี่มันตรงกับคำพูดที่สืบทอดกันมาแต่โบราณว่า ‘ดูจากการกระทำในวัยเด็กก็รู้ได้ว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนแบบไหน’ จริงๆ

ทว่าในเมื่อเขาอยากเข้ามาร่วมด้วยก็เข้ามาเถอะ!

นางก็ไม่มีคนใช้พอดี

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม

นี่ก็ถือว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวใช่หรือไม่?

เดิมทีนางก็แค่คิดจะสร้างความยุ่งยากให้ตระกูลหลี่ ให้โดนขัดขวางเล็กน้อย

แค่หวังให้เขารู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ อย่าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อก็แล้วกัน

ทว่า…ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยให้คนทำงานเปล่าๆ

หากเขาทำได้ดี นางอาจจะปล่อยตระกูลหลี่ไป และตระกูลหลี่ก็ไม่จำเป็นต้องถูกทรมานสามปีเหมือนอย่างในชาติก่อนอีกแล้ว

นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่นางตอบแทนให้เขาเช่นกัน

ส่วนเขาจะมีความสามารถเอาไปได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาเองแล้ว

เจียงเซี่ยนห่มผ้า แล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว

———————————–

[1] ยามซื่อ = ช่วงเวลา 09.00-10.59 น.

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท