มู่หนานจือ – บทที่ 72 ท้าทาย

มู่หนานจือ

สองสามปีนี้เฉาไทเฮาอารมณ์ดร้อนน้อยลงมากแล้ว

ฮูหยินอันเฉิงเห็นแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

นางก้มหน้าปักผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้เฉาไทเฮา

ในตำหนักเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงร้องของแมลงในฤดูใบไม้ร่วงในป่าข้างนอก

ห้องข้างตำหนักข้างประตูวังทางทิศตะวันออก เว่ยสู่ผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายใหญ่ เมื่อครู่ทางท่าเรือวารีเคียงพฤกษาเปลี่ยนโคมไฟแล้วขอรับ โคมไฟประดับมุกที่เชื่อมต่อกันหกโคม…”

เขารับคำสั่งจากหลี่เชียนและแอบหมอบอยู่บนชายคาอย่างเงียบๆ มาตลอด

หลี่เชียนสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยเสียงเบาอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าระวังด้วย ข้าไปล่ะ!”

เว่ยสู่รั้งหลี่เชียนไว้ และเอ่ยอย่างกังวลว่า “คุณชายใหญ่ ข้าไปกับท่านด้วย!”

“ไม่ได้!” หลี่เชียนเอ่ย “พวกเราต้องทำให้เฉาไทเฮาเชื่อว่าพวกเราบังเอิญได้ข่าวนี้มา จึงไม่สามารถพากำลังคนไปเพิ่มได้ ข้าจำเป็นต้องไปคนเดียว”

“อันตรายเกินไปแล้ว!” เว่ยสู่ร้อนใจจนตาแดงหมด

คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคุณชายใหญ่นอกจากท่านเซี่ยแล้ว ทุกคนต่างก็คิดว่าไม่ควรจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่ยังใส่ผงสลอดให้คุณท่าน บอกว่าหากเกิดอะไรขึ้น ตระกูลหลี่ผลักเขาออกไปก็ได้แล้ว นี่คุณชายใหญ่กำลังเสี่ยงอันตรายอยู่อย่างสิ้นเชิง!

หลี่เชียนเห็นเขาถึงเวลานี้แล้วยังพูดจาแบบนี้ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจังมากเช่นกัน แล้วเอ่ยว่า “ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย พวกเจ้าจงรักภักดีต่อข้าแบบนี้หรือ?”

“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่ขอรับ” เว่ยสู่เอ่ยอย่างลนลาน “พวกเราเชื่อฟังคุณชายใหญ่ทุกอย่าง คุณชายใหญ่ว่าอย่างไร พวกเราก็ทำอย่างนั้น! ข้าจะพาคนสองสามคนไปตำหนักไผอวิ๋นตามคำสั่งของท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ”

หลี่เชียนพยักหน้า และถือดาบออกไปข้างนอก

เซี่ยหยวนซีรู้สึกกังวล

เขาตามออกไปอย่างอดไม่ได้

ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เงาร่างของหลี่เชียนเหมือนเงาดำและหายไปท่ามกลางพงไม้อย่างเร็วมาก

เซี่ยหยวนซีนึกถึงตำหนักที่โล่งกว้างและต้นไม้โบราณที่บางตาในวัง ถึงจะเป็นคืนเดือนมืด มีคนผ่านไปก็สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่แวบแรก

เจ้าโง่คนไหนกันที่แนะนำให้เฉาไทเฮามาฉลองวันเกิดที่ภูเขาวั่นโซ่ว

ต้นไม้ใบหญ้าเยอะ คืนที่แสงจันทร์สุกสกาวและดาวน้อยมากแบบนี้ พอคนเข้าไปในป่าได้ก็มองไม่เห็นแล้ว…สวรรค์คงต้องการให้เฉาไทเฮาตายจริงๆ!

หลี่เชียนเคลื่อนที่ไปมาอยู่กลางป่าทึบ มีกิ่งไม้และใบไม้แผ่ออกมาตรงหน้าเขาอย่างกะทันหันตลอด

เขาผลักกิ่งไม้และใบไม้เหล่านั้นออกอย่างระมัดระวังมาก และเข้าไปใกล้วัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่ว เห็นเหล่าองครักษ์ที่สวมชุดดำ พันผ้าโพกศีรษะสีดำ มือถือดาบเล่มใหญ่ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวขององครักษ์ พาตระกูลเจียงลงมือ

พวกเขาล้อมวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วเอาไว้แล้ว

ไม่รู้ว่าตอนที่จุดและดับโคมไฟประดับมุกที่เชื่อมต่อกันหกโคมที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษานั้น พวกเขาเพิ่งจะฆ่าเฉากั๋วจู้อย่างที่เจียงเจิ้นหยวนบอก หรือหลังจากฆ่าเฉากั๋วจู้และล้อมวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วไว้อย่างแน่นหนาแล้ว

ก่อนหน้านี้เจียงเจิ้นหยวนปรึกษากับเขาว่า ตระกูลเจียงทำงานของตระกูลเจียง ตระกูลหลี่ทำงานของตระกูลหลี่

หากตระกูลหลี่ถูกคนที่ลอบไปแจ้งข่าวแก่เฉาไทเฮาหรือถูกคนของตระกูลเจียงจับ แล้วตระกูลหลี่ไม่สามารถขัดขวางไม่ให้จ้าวอี้คุมขังเฉาไทเฮาได้ทันเวลา งั้นเขาก็จำเป็นต้องออกหน้าลงมือเอง

พูดไปพูดมาก็ยังคงไม่เชื่อในความสามารถของตระกูลหลี่อยู่ดี

แต่หลี่เชียนไม่โกรธ กลับรู้สึกว่าเจียงเจิ้นหยวนมีวันนี้ได้ไม่ได้มีแต่ชื่อจริงๆ

ทว่าเจียงเจิ้นหยวนต้องคิดไม่ถึงแน่ว่า เขาจะลอบมาแจ้งข่าวแก่เฉาไทเฮาด้วยตนเอง

หลี่เชียนคิดอยู่ ทันใดนั้นก็อยากเห็นมากว่าเจียงเจิ้นหยวนจะทำหน้าอย่างไรตอนที่รู้ว่าคนที่เฝ้าอยู่ข้างกายเฉาไทเฮาคือเขา

เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างแผ่วเบา โดยพยายามเลี่ยงไม่ให้เท้าเหยียบบนกิ่งไม้แห้งในพุ่มไม้จนเกิดเสียงอะไรดังขึ้นมา

องครักษ์กลุ่มที่เฝ้าอยู่ใกล้ตำหนักเต๋อฮุยนั้นเตรียมพร้อมแล้ว และซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ตรงเชิงกำแพง

มีชายหนุ่มสองคนที่สวมเสื้อผ้าเหมือนกับองครักษ์เหล่านั้นเดินมา คนหนึ่งตัวสูง รูปร่างผอมเพรียว ทว่าทุกย่างก้าวกลับว่องไวเหมือนเสือดาว ส่วนอีกคนเตี้ยกว่าชายตัวสูงครึ่งศีรษะ ถึงแม้รูปร่างกำยำ ฝีเท้าว่องไว แค่มองก็รู้ว่าฝีมือดีมาก แต่กลับไม่มีพลังแบบชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เลย

หลี่เชียนคิด ‘ชายตัวสูงคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการในครั้งนี้’

ความคิดเพิ่งจะฉายวาบผ่านไป ชายตัวสูงมองไปตรงจุดที่หลี่เชียนซ่อนตัวอย่างไม่รู้ว่าตั้งใจหรือบังเอิญ แล้วเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของคืนเดือนมืดนี้ “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”

เพราะเปลี่ยนมุมแล้ว แสงสีขาวที่สว่างไสวจึงส่องลงบนหน้าของชายตัวสูงพอดี

เขามีดวงตาที่เหมือนดวงดาวในค่ำคืนที่หนาวเย็น สันจมูกที่โด่งและสวยงามเหมือนเทือกเขา ปากบาง หน้าผากกว้าง สีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากคนหนึ่ง

แต่หลี่เชียนมองแวบเดียวก็เห็นเงาของเจียงเซี่ยนจากบุรุษผู้นี้แล้ว

หรือว่าจะเป็นเจียงลวี่พี่ชายของท่านหญิงเจียหนานงั้นหรือ?

เขาคาดเดาอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็เหมือนใจร้อนขึ้นมา อยากบุกไปถึงตำหนักเต๋อฮุยของเจียงลวี่ตอนนี้มาก

พอความคิดแล่นขึ้นมา หลี่เชียนก็หยุดไม่ได้เช่นกัน เขาบิดตัว และกระโดดออกไปเหมือนนกนางแอ่นลอดต้นหลิว

ชายที่รูปร่างกำยำตวาดเสียงเบา แล้วชักดาบมุ่งหน้ามาฟันไปที่หลี่เชียน

ชั่วขณะที่จิตสังหารทะลักออกมาอย่างไม่มีสิ่งใดขวางกั้นนั้น อากาศในป่าก็หนาวเล็กน้อย

ทว่าหลี่เชียนกลับฝืนพลิกตัวรอบหนึ่งกลางอากาศ และชักดาบที่แหลมคมมากออกมาจากฝัก ปลายเท้าเหยียบลงบนลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ และกระโจนไปทางชายที่รูปร่างกำยำเหมือนอินทรีล่ากระต่าย ปลายดาบสะท้อนแสงจันทร์สุกสกาวที่หนาวเย็นมากใต้แสงจันทร์ ตัวดาบเหมือนมีชีวิตขึ้นมา ลวดลายแปลกประหลาดกระเพื่อมออกมาทีละวงเหมือนลายคลื่นน้ำ ทำให้สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวดาบและเหมือนถูกดูดเข้าไปจนไม่มีทางปลีกตัวออกมาได้ ประหลาดมาก

ร่างของชายที่รูปร่างกำยำชะงักไป

เจียงลวี่หรี่ตาเล็กน้อย และตะโกนเสียงเบา “ฝูเซิง หลีกไป” และจะก้าวมาข้างหน้า…

ทว่าใครจะรู้ว่าดาบของหลี่เชียนกลับตวัดขึ้นอย่างกะทันหัน และแทงตรงมาที่ลำคอของเจียงลวี่

การเคลื่อนไหวลื่นไหลดุจสายน้ำ เดี๋ยวหักเดี๋ยวเลี้ยวเปลี่ยนได้อย่างอิสระ เหมือนเต้นรำ

หากไม่ใช่ว่าผิดกาลเทศะ เจียงลวี่ก็อยากตะโกนสักคำว่าเยี่ยม!

เขาใช้ฝักดาบขวางไว้ตรงหน้าอก

พลังดาบของหลี่เชียนยังคงเหมือนเดิม เขาจรดดาบลงบนพื้น แต่ตนเองกลับอาศัยแรงทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พลิกตัวเคลื่อนที่กลางอากาศ และชั่วพริบตาก็ร่วงลงบนกำแพงวัง

เจียงลวี่ตกใจมาก

ฝูเซิงได้สติกลับมาแล้ว และกระโดดพุ่งเข้าใส่หลี่เชียน

เหล่าองครักษ์ที่เดิมทีซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ก็ตั้งสติได้แล้วเช่นกัน จึงพากันล้อมเข้ามา

หลี่เชียนหันกลับไปยิ้มและขยิบตาให้ แล้วกระโดดเข้าไปในกำแพง

ใต้แสงจันทร์นั้น เขามีคิ้วรูปดาบเหมือนยอดเขา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ สง่างามและองอาจ หล่อเหลาและร่าเริงดุจสายลม

เจียงลวี่แปลกใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นและห้ามฝูเซิงไว้ พลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจแล้ว ถึงเขาจะไปรายงานเรื่องนี้กับเฉาไทเฮา เฉาไทเฮาสูญเสียตำแหน่งสูงและอำนาจไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว” แล้วเอ่ยกับองครักษ์ที่ล้อมเข้ามาอีกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล แค่ทำงานในส่วนของตนเองให้ดีก็พอแล้ว”

เขาแอบรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คือลูกชายของตระกูลหลี่ที่ท่านพ่อเอ่ยถึงก่อนหน้านี้

น่าสนใจ น่าสนใจ!

คิดไม่ถึงว่าบุตรชายของตระกูลหลี่จะหน้าตาแบบนี้!

ทุกคนคารวะอย่างเงียบๆ และเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้อีกครั้ง

เจียงลวี่เงยหน้าขึ้น พลางมองรั้วที่สูงมาก และเผยรอยยิ้มที่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ออกมา

เฉาไทเฮาที่รอเฉากั๋วจู้อยู่ถูกรบกวนด้วยเสียงร้องอย่างตกใจ

ใครที่มันมีตาหามีแววไม่ขนาดนี้

ฮูหยินอันเฉิงไม่พอใจมาก และตวาดว่า “เรื่องอะไรถึงเสียงดังโหวกเหวกขนาดนี้!”

ประตูถูกเปิดดังปัง นางในที่อยู่ข้างกายเฉาไทเฮาวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน และเอ่ยว่า “ไทเฮาเพคะ มี…มีองครักษ์ลอบบุกเข้ามาทางตำหนักหลัง บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะทูลไทเฮาเพคะ”

———————-

Related

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท