มู่หนานจือ – บทที่ 74 เจรจา

มู่หนานจือ

พอเห็นสายตาของเฉาไทเฮาจับจ้องมาที่ตนเอง เจียงเจิ้นหยวนก็เงยหน้าขึ้นและมองมาที่เฉาไทเฮา

ชั่วพริบตานั้น เจียงเจิ้นหยวนเหมือนดาบที่ดึงออกมาจากฝัก พลังอันคมกริบแผ่ออกไปรอบด้าน กรีดท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล

พลังที่แผ่ออกมานั้นน่าตกใจมาก

นี่คงจะเป็นท่าทางของแม่ทัพชื่อดังกระมัง!

สายตาแปลกใจฉายวาบผ่านไปในดวงตาของหลี่เชียน เขาอดที่จะจับดาบในมือให้แน่นขึ้นตามใจตนเองไม่ได้

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขอบคุณบิดาและเจียงเซี่ยนมาก

ท่านพ่อทุ่มเทปลูกฝังเขาอย่างสุดหัวใจ พาเขาไปเจอคนใหญ่คนโตที่ท่านพ่อสามารถติดต่อได้ ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาว่าความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงคืออะไร ความรกร้างว่างเปล่าของชายแดนคืออะไร ความลำบากของชาวบ้านคืออะไร ความฟุ่มเฟือยของชนชั้นสูงคืออะไร ขุนนางธรรมดาคืออะไร รัศมีของขุนนางที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงคืออะไร ส่วนเจียงเซี่ยนก็พาเข้าไปอยู่ในวงชนชั้นสูงระดับสูงสุด ทำให้เขามีโอกาสรู้ว่าตนเองแตกต่างกับคนเหล่านี้ตรงไหน ทำให้เขากลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้…

สายตาที่หลี่เชียนมองเจียงเจิ้นหยวนร้อนเหมือนถูกไฟเผาจนเป็นรู

ทว่าเจียงเจิ้นหยวนกลับเหมือนไม่รู้สึกถึงสิ่งใดแม้แต่นิดเดียว

เสียงของเขาทุ้มต่ำ เยือกเย็น และงดงาม “ไทเฮา ก็เพราะตระกูลเจียงซื่อสัตย์และเสียสละชีวิตเพื่อแคว้นมาหลายรุ่น ถึงได้ทำตามราชโองการและรับสั่งของฝ่าบาท กระหม่อมไม่คิดว่าตนเองมีความผิด ต่อให้ไปถึงยมโลกหรือสวรรค์แล้วเจอฝ่าบาทพระองค์ก่อน และฝ่าบาทที่ทรงพระปรีชาสามารถ มีคุณธรรม และมีความดีความชอบที่ล่วงลับไปแล้วทุกพระองค์ในศาลบรรพกษัตริย์ กระหม่อมก็ไม่รู้สึกละอายใจเช่นกัน”

เฉาไทเฮายิ้มเยาะ และเอ่ยว่า “เจ้าไม่กลัวเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลหรือ?”

เจียงเจิ้นหยวนยังไม่ได้พูด ทว่าจ้าวอี้ได้ยินแล้วกลับร้อนใจขึ้นมา เขาก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว และตะโกนเสียงดังว่า “เสด็จแม่ หากไม่ใช่เพราะเสด็จแม่บีบบังคับข้าจนไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าจะขอให้เจิ้นกั๋วกงช่วยข้าผดุงความยุติธรรมได้อย่างไร ข้าก็ไม่ใช่คนที่ชอบกุมอำนาจเสียหน่อย ขอเพียงเสด็จแม่ยอมถอยกลับไปอยู่วังหลัง ข้าก็ยังจะกตัญญูและเคารพเสด็จแม่เหมือนเมื่อก่อน! พวกราชเลขาธิการเหยียน ข้าก็ไม่คิดจะสืบหาสาเหตุแล้วเช่นกัน เจิ้นกั๋วกงลงมือตามคำสั่ง ข้าก็ยิ่งควรให้ความสำคัญกับเขา แล้วข้าจะไปตำหนิเจิ้นกั๋วกงได้อย่างไร!”

หลี่เชียนได้ยินแล้วก็ลอบถอนหายใจ

มิน่าเล่าตระกูลเจียงถึงต้องเก็บเฉาไทเฮาเอาไว้

ดูคำพูดเหล่านี้ที่ฮ่องเต้เอ่ยสิ

ราชเลขาธิการเหยียนเป็นราชเลขาธิการแห่งสำนักราชเลขาธิการ และเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋น ในเมื่อเขาเป็นคนของเฉาไทเฮา หลังจากเฉาไทเฮามอบอำนาจคืนให้แล้ว ฮ่องเต้ก็ควรให้ราชเลขาธิการเหยียนลาออก และเลือกคนของตนเองใหม่

นี่ยังไม่เท่าไร เฉาไทเฮาเอ่ยประโยคเดียว ฮ่องเต้ก็ยอมเก็บราชเลขาธิการเหยียนไว้แล้ว ต่อไปถึงเฉาไทเฮาจะถอยกลับไปอยู่วังหลัง ราชเลขาธิการเหยียนรู้ว่าตนเองเป็นคนที่เฉาไทเฮาเก็บเอาไว้ แม้ภายภาคหน้าจะไม่กล้าขัดฮ่องเต้เรื่องในราชสำนักอย่างเปิดเผย แต่ก็สามารถแอบลงมือลับหลัง ทำให้เรื่องราวเป็นไปตามที่เฉาไทเฮาต้องการ และปิดบังคนที่ไม่เคยว่าราชการด้วยตนเองมาก่อนแบบฮ่องเต้ได้อย่างสมบูรณ์ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ล้วนเป็นพวกคนเจ้าเล่ห์และจิตใจโหดเหี้ยม หากเห็นสถานการณ์ชัดเจนแล้ว ใครยังจะเห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา เฉาไทเฮาไม่ได้ว่าราชการหลังม่านเช่นเดิม…มอบอำนาจคืนให้หรือไม่ จะมีอะไรแตกต่าง!

เจียงเจิ้นหยวนไม่รู้ว่าฮ่องเต้นิสัยเป็นอย่างไรงั้นหรือ?

ช่วยคนไร้ความสามารถแบบนี้ ต้องลงแรงเท่าไรถึงจะทำสำเร็จ!

บางทีเจียงเจิ้นหยวนอาจจะอยากให้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับจ้าวอี้?

ทว่าจ้าวอี้กับแม่นมของตนเองมีความสัมพันธ์กัน…นี่ก็ไม่เป็นไรหรือ?

เขาเห็นเจียงเซี่ยนเป็นหลานสาวของตนเองหรือไม่กันแน่?

หลี่เชียนมองเจียงเจิ้นหยวนอีกครั้ง สายตาแตกต่างไปเล็กน้อย

เจียงเจิ้นหยวนก็ถอนหายใจอยู่ในใจเหมือนกัน

เขาคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะไม่เอาไหนขนาดนี้!

หากเจียงเซี่ยนไม่เตือนให้รู้ล่วงหน้า เขาเดินต่อไปทางนี้ เกรงว่าสุดท้ายคงต้องให้ตระกูลเจียงแบกโทษฐานไม่จงรักภักดีและเสียสละตนเองเพื่อแคว้นแล้ว!

เขาไม่กล้าให้เฉาไทเฮาพูดต่อไปอีก

หากเฉาไทเฮาพูดอีกก็ยังไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะสัญญาอะไร ไม่แน่สุดท้ายก็อาจจะขายเขาเหมือนกันก็ได้

ถึงอย่างไรเวลานี้เฉาไทเฮาก็เกลียดเขาที่สุดแล้ว

“ไทเฮา ฝ่าบาทพระทัยกตัญญู ขุนนางและประชาชนทุกคนต่างมองเห็น” เจียงเจิ้นหยวนเดินไปหาอย่างมั่นคง และเอ่ยว่า “ดึกแล้ว น้ำค้างลงหนัก และนี่ก็ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุยเช่นกัน เชิญไทเฮาเสด็จกลับไปที่ตำหนักเต๋อฮุยดีกว่า พรุ่งนี้พวกกระหม่อมยังต้องอวยพรวันเกิดไทเฮา และฝ่าบาทก็สามารถใช้โอกาสนี้เจอบรรดาแม่ทัพที่มาจากชายแดนได้เช่นกัน!”

คำพูดของเจียงเจิ้นหยวนเตือนจ้าวอี้แล้ว

ใช่สิ!

เขาต่างหากที่เป็นฮ่องเต้

เขาต่างหากที่เป็นผู้ครองใต้หล้า

เขาต่างหากที่เป็นคนที่ทำให้เหล่าขุนนางใหญ่เคารพยำเกรง ทำให้บรรดาสนมเอาใจ และเหล่าขันทีประจบประแจง คนที่เดินอยู่ที่ไหนก็เป็นจุดสนใจของทุกคนเสมอ…

จ้าวอี้คารวะมารดาของตนเองครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จแม่ เจิ้นกั๋วกงพูดถูก ตอนนี้กลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเต๋อฮุยดีกว่า ข้าสั่งวังจี่เต้าแล้วว่า พรุ่งนี้ให้เขาเป็นตัวแทนขุนนางฝ่ายบุ๋นอ่านคำอวยพรวันเกิดให้เสด็จแม่ เวลานี้เขาน่าจะกำลังเขียนคำอวยพรให้เสด็จแม่แล้ว…”

หากเจียงเซี่ยนอยู่ตรงนี้ก็เข้าใจได้

ราชเลขาธิการแห่งสำนักราชเลขาธิการในเวลานี้คือเหยียนหวาเหนียน หลังจากจ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเอง เหยียนหวาเหนียนถูกบีบให้ลาออก และให้วังจี่เต้าที่ตอนนี้ตามคุณสมบัติ ประสบการณ์ และลำดับความอาวุโสจัดอยู่ในอันดับที่สามของสำนักราชเลขาธิการเป็นราชเลขาธิการแทน

เวลานี้จ้าวอี้พูดแบบนี้ ก็เพียงแค่อยากบอกเฉาไทเฮาว่า สำนักราชเลขาธิการก็มีคนสนับสนุนเขาเหมือนกัน เหยียนหวาเหนียนไม่เชื่อฟัง เขาก็มีวังจี่เต้าต้านไว้

เฉาไทเฮาใจเย็นลงแล้ว

สิ่งที่นางสนใจที่สุดในตอนนี้คือคนที่นางสามารถพึ่งพาได้เป็นอย่างไรบ้าง? แล้วนางจะได้รับความช่วยเหลือจากขุนนางฝ่ายบู๊คนสนิทของตนเองหรือไม่

“เฉากั๋วจู้ล่ะ?” นางเอ่ยเสียงทุ้ม “เขาอยู่ไหน? เจ้าปล่อยให้เจียงเจิ้นหยวนบีบบังคับข้าแบบนี้ ข้าไม่อาจให้ตนเองเป็นเหมือนเนื้อที่อยู่บนมีดและเขียง และให้เจียงเจิ้นหยวนฆ่าตามใจชอบได้ เจ้าให้เฉากั๋วจู้มาพบข้า”

จ้าวอี้ยิ้มและเอ่ยว่า “เฉากั๋วจู้ไม่ฟังคำสั่งข้า ข้าจึงให้คนสังหารเขาแล้ว ศีรษะของเขาจะแขวนให้ทุกคนดูนอกประตูเมืองพรุ่งนี้ เสด็จแม่ก็ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว”

คำพูดของหลี่เชียนได้รับการยืนยันแล้ว หัวใจของเฉาไทเฮายิ่งหนักอึ้งขึ้น

นางควรจะทำอย่างไร?

ก็นั่งรอความตายแบบนี้งั้นหรือ?

นี่ไม่ใช่นิสัยของนาง!

เฉาไทเฮาปรายตามองหลี่เชียนครั้งหนึ่ง

หลี่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น เขาก้าวมาข้างหน้าเล็กน้อย และติดตามอยู่ข้างกายเฉาไทเฮาอย่างใกล้ชิด

เฉาไทเฮาแอบเสียใจ

นางสะเพร่าเกินไปแล้ว

นางน่าจะให้องครักษ์อยู่ที่ตำหนักเต๋อฮุยสักหน่วย

ทว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรี คนที่ไปๆ มาๆ ข้างกายล้วนเป็นเหล่าฮูหยินและสตรีชั้นสูง จะให้องครักษ์เข้าออกใกล้ตัวบ่อยๆ ได้อย่างไร? หากนางเป็นผู้ชายและเป็นฮ่องเต้ เจิ้นกั๋วกงเล็กๆ อย่างเจียงเจิ้นหยวนจะคุมนางไว้อย่างง่ายดายแบบนี้ได้อย่างไร!

แต่ว่า…ข้างกายนางยังมีขันทีที่ร่างกายแข็งแรงอีกหลายคน…

เฉาไทเฮานึกถึงเฉิงเต๋อไห่ที่รับคำสั่งจากนางให้ไปหาเฉากั๋วจู้

ไม่มีเฉิงเต๋อไห่อยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขันทีเหล่านั้นจะทำได้หรือไม่? จะฉลาดและรู้จักปกป้องเจ้านายหรือไม่?

เฉิงเต๋อไห่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นหรือตาย?

เฉาไทเฮาอยากถามสักคำ ทว่าก็คิดว่าเวลานี้นางเสียเปรียบอย่างที่สุดแล้ว ยิ่งพูดมาก เจียงเจิ้นหยวนก็ยิ่งล่วงรู้เจตนาของนางได้ เช่นนั้นก็พูดน้อยดีกว่า อีกเดี๋ยวค่อยให้หลี่เชียนไปถามแล้วกัน

ใบหน้าของนางมืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตก และหันตัวไปตำหนักเต๋อฮุยโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

จ้าวอี้ดีใจเป็นที่สุด

นี่เป็นครั้งแรก

ครั้งแรกตั้งแต่เขาจำความได้ที่มารดาของเขาทำตามที่เขาต้องการ

ตั้งแต่นี้ไปเขาอยากทำอะไรก็ทำได้แล้วใช่หรือไม่?

จ้าวอี้อดที่จะมองไปทางเจียงเจิ้นหยวนไม่ได้ และเอ่ยเสียงเบามากว่า “เจิ้นกั๋วกง พวกเรา…ทำสำเร็จแล้วใช่หรือไม่!”

————————-

Related

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท