เป็นเรื่องปกติที่หัวหน้าขันทีที่เข้าวังมาใหม่จะเข้าพบผู้ที่มีอำนาจและมีฐานะในวัง เพื่อให้เข้ากับคนในวังได้อย่างเร็วที่สุด แต่คนที่มาประจบประแจงเจียงเซี่ยนถึงที่นี่…เจียงเซี่ยนเป็นคนมาสองชาติ ก็เพิ่งจะเจอเป็นครั้งแรก
นางอดที่จะมองหลิวชิงหมิงอย่างงุนงงไม่ได้
ทว่าหลิวชิงหมิงกลับเหมือนดูไม่ออก เขายิ้มอย่างประจบและเอาใจ พอมอบของให้เจียงเซี่ยนแล้วก็ขอลากลับ
อย่าว่าแต่เจียงเซี่ยนเลย แม้แต่หลิวตงเยว่ก็จับต้นชนปลายไม่ถูก และเสนอเองว่า “ท่านหญิง จะให้ข้าลองสืบว่าหลิวชิงหมิงผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ไหมขอรับ?”
“ช่างเถอะ!” เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองวุ่นวายพอแล้ว หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกหัวหน้าขันทีอีกสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น?
ยิ่งไปกว่านั้นหลิวชิงหมิงมาพบนางอย่างประจบประแจงเช่นนี้ อาจจะเพื่อบอกนางว่าเขาจะไม่พูดเรื่องที่นางไปฝ่ายซักล้างออกมาก็ได้…
“เจ้าคอยดูไว้หน่อยก็พอแล้ว” เจียงเซี่ยนสั่งหลิวตงเยว่ “อย่าให้เกิดอะไรขึ้นจนลากพวกเราเข้าไปพัวพันด้วย”
หลิวตงเยว่ยิ้มพลางรับปากอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยถึงบ้านที่มีน้ำพุร้อนที่ซื้อเมื่อหลายวันก่อนกับเจียงเซี่ยนอย่างระมัดระวัง “สองวันนี้ฝนตก อากาศชื้น กำแพงจึงยังทาปูนขาวไม่ได้ชั่วคราว แต่ข้าเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็รอให้ท่านหญิงไปดูขอรับ…”
เจ้าของบ้านเดิมทิ้งเครื่องเรือนที่ใหญ่และเทอะทะเอาไว้จำนวนหนึ่ง หลายชิ้นแกะสลักจากไม้สีทองหรือไม้สาลี่ คำนวณดูแล้วบ้านหลังนี้ซื้อมาคุ้มมาก
อาจจะเพราะมักจะอาศัยอยู่ในบ้านที่ค่อนข้างมีอายุมาตลอด เจียงเซี่ยนจึงไม่ชอบพวกของเก่าที่มีอายุมาก
นางให้หลิวตงเยว่จัดของในบ้านใหม่หมด และให้คนของกองโยธาทำเครื่องเรือนให้นางใหม่ชุดหนึ่ง กระทั่งชายคาของระเบียงคดก็วาดภาพใหม่หมดตามแบบเมืองซู บ้านหลังนั้นนอกจากเสาไม่กี่ต้นและกำแพงไม่กี่ด้านแล้วก็แทบจะรื้อของเก่าออกและทำใหม่ทั้งหมด
นี่เป็นงานก่อสร้างใหญ่งานหนึ่ง
หลิวตงเยว่ยุ่งจนหัวหมุน อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว ช่างหยุดงานแล้ว เขาถึงได้กลับวัง
“ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นกัน” เจียงเซี่ยนเอ่ยกับเขา “ซ่อมแซมให้เสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวปีหน้าก็พอแล้ว”
หลิวตงเยว่ช่วยเปิดม่านให้เจียงเซี่ยน และยิ้มพลางตามหลังเจียงเซี่ยนเข้าไปในตำหนักหลักของตำหนักตงซาน แล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิงเป็นคนโอบอ้อมอารี พวกเราจะไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะ ข้าจะจัดการบ้านหลังนั้นให้ท่านให้เสร็จให้ได้ก่อนเข้าสู่ฤดูร้อน ข้าเห็นต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามเขียวชอุ่มข้างๆ ไม่แน่ท่านหญิงอาจจะไปพักร้อนที่นั่นได้ด้วยนะขอรับ! หมอหลวงเถียนบอกแล้วมิใช่หรือ มีโรคในฤดูหนาวมากมายที่ต้องรักษาในฤดูร้อน ไทฮองไทเฮาพอถึงฤดูหนาวก็จะตรัสว่าพระชานุปวดและบวม ไม่แน่ว่าลองไปแช่น้ำพุร้อนตอนฤดูร้อน ฤดูหนาวอาจจะทรมานน้อยลงก็ได้นะขอรับ!”
สิ่งที่เขาพูดทำให้เจียงเซี่ยนอดที่จะมองเขาใหม่ไม่ได้
เสียดายที่นางเป็นท่านหญิง ไม่อย่างนั้นตอนที่ออกจากวังก็พาหลิวตงเยว่ไปรับใช้ข้างกายได้
ทว่าทุกเรื่องล้วนขึ้นอยู่กับความมานะของคน หากนางคิดหาทางก็อาจจะพาหลิวตงเยว่ออกจากวังได้จริงๆ ก็ได้
ขณะที่เจียงเซี่ยนกำลังครุ่นคิดอยู่ หลิวตงเยว่ก็ช่วยเหล่านางในแกะห่อผ้าที่หลิวชิงหมิงมอบให้
ลายเปี้ยนตี้จินสีแดงอ่อน ผ้าไหมหังสีเหลืองอ่อน ผ้าต่วนหูสีเขียวขจี ผ้าไหมจาง[1]สีม่วง ผ้าไหมย้อมสี…ลายดอกไม้สวยงามนานาชนิด แวววาวจนนางแสบตา
“ว้าว สีนี้สวยจริงๆ!” หลิวตงเยว่ดึงผ้าสีม่วงอ่อนออกมาพับหนึ่งและเอ่ยว่า “ข้ารู้แค่ว่าผ้าต่วนสิบลายมีลายคนโท กระถางดอกไม้ และภาพวาดพู่กันจีน แต่ยังไม่เคยเห็นผ้าต่วนสิบลายที่ทอจากว่านน้ำและใช้สีสิบสีเลย ช่างแปลกใหม่จริงๆ! นี่คงเป็นแบบใหม่ของเจียงหนานกระมัง? หรือไม่แน่อาจจะเป็นแบบของเมืองซูก็ได้นะขอรับ? ท่านหญิง ผ้าสีแบบนี้พอถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วตัดเสื้อคลุมยาวสวยที่สุดเลย…”
เจียงเซี่ยนพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หลี่เชียนเคยบอกว่าจะมอบผ้าแบบใหม่ที่เป็นที่นิยมที่เจียงหนานให้นางตัดเสื้อ…หลิวชิงหมิงนั่นคงจะไม่ได้…
หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะขึ้นมาและเร็วเหมือนรัวกลองอย่างไม่สามารถอธิบายได้
ทว่าหลิวตงเยว่ยังคงพูดอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้จักสำรวม “ชิ้นนี้ทอเป็นลายลูกอิงเถา[2] แถมยังมีใบไม้สีเขียวสองสามใบด้วย…ดูสีของลายนี้สิขอรับ ต้องไม่ใช่ของบรรณาการที่ทอจากเจียงหนานอย่างแน่นอน พวกเขาไม่กล้าส่งผ้าที่ทอลายแบบนี้เข้ามาในวังหรอก…นิ่มมาก ไหมลื่นดุจสายน้ำ คุณภาพดีกว่าของบรรณาการพวกนั้นเสียอีก…หลิวชิงหมิงไม่ได้โม้ คิดนำผ้าแบบพับนี้เข้ามาให้ท่านหญิงได้ด้วย เขาก็ช่างคิดเช่นกัน…”
ใช่แล้ว!
ไม่แน่นางอาจจะคิดมากไปก็ได้!
บางทีนี่อาจจะเป็นของที่หลิวชิงหมิงประจบนางเพราะอยากได้รับการคุ้มครองจากนางก็ได้…
หัวใจของเจียงเซี่ยนค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง พอเก็บของเรียบร้อยก็สั่งหลิวตงเยว่อีกเล็กน้อย แล้วนางก็ไปที่ตำหนักซีซานที่ไป๋ซู่อยู่
แม้ว่าผ่านเทศกาลโคมไฟ[3]ไปแล้วถึงจะออกจากวัง แต่ไป๋ซู่ก็เริ่มเก็บของแล้ว
ของตกแต่งและของใช้ตลอดทั้งปีล้วนเป็นของในวัง จึงเอาไปไม่ได้ สิ่งที่เอาไปได้ก็มีเพียงเสื้อผ้าและเครื่องประดับไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
ไม่รู้ทำไม เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย
นางลากไป๋ซู่มาที่ตำหนัก มอบถุงเงินให้ไป๋ซู่ถุงหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าจัดการตามใจชอบเถอะ?”
ไป๋ซู่เปิดถุงเงินอย่างไม่เข้าใจ ข้างในเป็นตั๋วเงินหลายใบ
“นี่…” นางหยิบออกมาดูคร่าวๆ น่าจะประมาณสองสามหมื่นตำลึง “เจ้าให้สิ่งนี้กับข้าทำไม…” นางใส่ตั๋วเงินเข้าไปในถุงเงินอีกครั้ง และยัดให้เจียงเซี่ยน
“เจ้าเก็บไว้!” เจียงเซี่ยนจับมือของไป๋ซู่ไว้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “ต่อไปยังมีคนและเรื่องที่ตระกูลเฉาต้องจัดการอีกมาก ข้าคิดดูแล้ว ให้อะไรเจ้าก็สู้ให้สิ่งนี้ไม่ได้…ภาพวาดโบราณและของเล่นต่างมีทางหาได้ มีแต่สิ่งนี้ที่ละลายไปแล้วก็เป็นของชิ้นใหม่อีก…”
ไป๋ซู่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเจียงเซี่ยนพูดจามีเหตุผล
นางไม่ปฏิเสธอีก และรับไว้อย่างใจกว้าง พลางเอ่ยว่า “เป่าหนิง ข้าจะไม่พูดอะไรกับเจ้ามาก บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของเจ้าข้าจดจำไว้แล้ว”
เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และไม่เอ่ยสิ่งใด
นางช่วยเพื่อนทีเดียวสองคน นางถึงจะเป็นคนที่ไม่ขาดทุนหรือเปล่า?
“ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้เลย!” เจียงเซี่ยนเอ่ย “สองหัวดีกว่าหัวเดียว”
ไป๋ซู่พยักหน้า
ทั้งสองคนจูงมือกันออกจากตำหนัก
ไทฮองไทเฮาส่งคนมาเรียกพวกนางไปห้องอุ่นตะวันออก บอกว่าองค์หญิงเฉียนอันมาแล้ว
ชาติก่อนเจียงเซี่ยนไม่รู้จักองค์หญิงเฉียนอันผู้นี้ด้วยซ้ำ
ได้ยินบรรดาศักดิ์ก็รู้แล้วว่าไม่เป็นที่โปรดปราน
แต่ชาตินี้ไทฮองไทเฮากลับเอ่ยถึงป้าของนางผู้นี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีแผนการอะไร
ไป๋ซู่กับเจียงเซี่ยนไปพบองค์หญิงเฉียนอัน
องค์หญิงเฉียนอันน่าจะอายุเพียงสามสิบห้าสามสิบหกปี แต่ท่าทางกลับเหมือนคนอายุสี่สิบเจ็ดสี่สิบแปดปี นางสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวที่มีซับในสีแดงเข้ม และสวมมงกุฎไก่ป่าหางยาว ผิวขาวผ่องทว่าหน้าตากลับซีดเซียว ท่าทางเชื่องช้าและระมัดระวังมาก พอเจอเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ มุมปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบอยู่ชั่วครู่ ถึงเอ่ยว่า “ไม่กีปีท่านหญิงก็โตขนาดนี้แล้ว อีกสองปีก็น่าจะเข้าพิธีปักปิ่นแล้วใช่หรือไม่? ท่านนี้คงเป็นท่านหญิงชิงฮุ่ยคุณหนูใหญ่แห่งจวนเป่ยติ้งโหวใช่หรือไม่? หน้าตาสะสวยจริงๆ!”
พูดจาไม่ค่อยคล่องนัก แสดงว่าเป็นคนไม่ค่อยเข้าสังคม
ไทฮองไทเฮาก็ไม่ได้ตำหนิเช่นกัน และให้นางนั่งลงคุยกัน
“คิดว่าเจ้าคงรู้แล้ว คนสกุลเฉาไม่สบายและพักผ่อนอย่างสงบอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ส่วนข้าก็อายุมากแล้วทนเสียงโหวกเหวกไม่ไหว งานเลี้ยงรวมตัวทุกคนในครอบครัว วันส่งท้ายปีเก่าปีนี้จึงให้เจ้านำพวกสตรีบรรดาศักดิ์เข้าเฝ้าถวายพระพร” ไทฮองไทเฮานอนตะแคงอยู่บนหมอนอิงใบใหญ่ที่ปักลายลูกพลับสี่ลูกสีเหลืองของเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง พลางมององค์หญิงเฉียนอันที่หลังตั้งตรง ท่าทางนอบน้อม และกึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หลังจากหย่งอันจากไป ข้าก็ไม่มีกะจิตกะใจอบรมสั่งสอนเจ้าเช่นกัน เวลานี้ไม่มีใครคุมงานของวังทั้งหก อย่างไรเจ้าก็เป็นธิดาของฮ่องเต้เซี่ยวจงเช่นกัน เรื่องบางเรื่องก็ต้องเรียนรู้ไว้หน่อย”
ความนัยที่แฝงอยู่ในนั้นคือ เหมือนจะเป็นเพราะเฉาไทเฮา นางถึงได้ถูกราชวงศ์ทอดทิ้งเช่นนี้ จนไม่มีแม้แต่ขบวนเสด็จอย่างองค์หญิงทั่วไป
——————–