ทุกคนต่างอยากหัวเราะ มีแต่เจียงเซี่ยนที่หัวเราะไม่ออก
นางก็คงเคยอับอายเหมือนกับเติ้งเฉิงลู่กระมัง?
เจียงเซี่ยนตามเข้าไปในห้องอุ่นตะวันออกอย่างเงียบๆ
มีลูกหลานมาเยี่ยมไทฮองไทเฮามากขนาดนี้ ไทฮองไทเฮาดีใจมาก นางคุยกับพวกเขาอย่างคึกคัก และเอาขนมกับผลไม้ที่นางชอบที่สุดออกมาต้อนรับพวกเขา
พวกจ้าวอี้ก็นั่งล้อมไทฮองไทเฮา
ไทฮองไทเฮาไม่ได้เจออ๋องเหลียวมาสิบปีแล้ว ตอนที่อ๋องเหลียวออกจากเมืองหลวง ยังเป็นตอนที่อายุน้อยกว่าจ้าวอี้เสียอีก เวลานี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และยังเป็นพ่อคนแล้วด้วย
นางมองไปทางอ๋องเหลียว และถามเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “หวางเฟยของเจ้าป่วยตายไปเมื่อสองปีก่อนใช่หรือไม่? ลูกสองคนอายุเท่าไรแล้ว? ตอนนี้ใครอบรมสั่งสอนล่ะ?”
ตอนที่อ๋องเหลียวออกจากเมืองหลวงยังไม่แต่งงาน เหลียวหวางเฟยนั้นหลังจากอ๋องเหลียวไปที่เหลียวตงแล้ว เขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ของสกุลเลี่ยวผู้บัญชาการเหลียวตง
ได้ยินไทฮองไทเฮาถามอย่างนุ่มนวล ในดวงตาของเขาเปล่งแสงที่สะท้อนอยู่บนผืนน้ำ และเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ขอบพระทัยเสด็จย่าที่ยังคงคิดถึงหลานอยู่เสมอพ่ะย่ะค่ะ หวางเฟยเสียไปเมื่อเดือนหก สองปีที่แล้ว ลูกสองคนเวลานี้คนหนึ่งหกขวบ อีกคนสามขวบ ลูกยังเล็กมาก หลังจากหวางเฟยเสียชีวิต กระหม่อมจึงยกน้องสาวที่เกิดจากอนุของตระกูลหวางเฟยเข้าจวนเป็นอนุภรรยา ช่วยดูแลลูกทั้งสองคน และควบคุมอาหารการกินในจวนพ่ะย่ะค่ะ”
ไทฮองไทเฮาได้ยินก็ขมวดคิ้ว
อ๋องเหลียวรีบเอ่ยว่า “กระหม่อมทราบเช่นกันว่าการยกน้องสาวที่เกิดจากอนุของตระกูลหวางเฟยเข้าจวนนั้นไม่เหมาะสม แต่ลูกยังเล็กมาก และหลายปีนี้กระหม่อมก็ไม่คิดที่จะแต่งงานใหม่ ดังนั้นจึงคิดวิธีนี้ แม้จะเสียเกียรติเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นน้าของลูก วางใจกว่ามอบให้คนอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเซี่ยนนั่งอยู่ตรงนั้นและยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มกลับไร้ชีวิตชีวา เหมือนสวมหน้ากากเอาไว้
ในความทรงจำของนาง หลังจากหวางเฟยของอ๋องเหลียวเสียชีวิต เขาก็ไม่แต่งงานใหม่อีกเลย และเขาก็มีเพียงลูกที่เกิดจากชายาเอกสองคนนี้
ทว่าชาตินี้กับชาติที่แล้วแตกต่างกันมาก
ชาติก่อนหลังจากเฉาไทเฮาสวรรคตได้ไม่นานอ๋องเหลียวก็กลับเหลียวตง แน่นอนว่าก็ไม่มีใครสนใจเรื่องแต่งงานของเขาเช่นกัน เวลานี้เขาถูกจ้าวอี้รั้งไว้ เรื่องการแต่งงานใหม่ของเขาจึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนแล้ว
เขาพูดแบบนี้ ต้องได้ยินข่าวลือในเมืองหลวงแล้วแน่ๆ จึงอาศัยโอกาสนี้ชี้แจงตนเอง!
เจียงเซี่ยนมองไปทางจ้าวอี้
จ้าวอี้สีหน้าไม่ค่อยดีนักอย่างที่คิดจริงๆ
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าน่าขำเล็กน้อย
จ้าวอี้เป็นคนที่ชอบทำตรงข้ามกับคนอื่น
หากอ๋องเหลียวไม่เอ่ยเรื่องนี้ เกรงว่าเขาคงจะไม่ได้คิดที่จะพระราชทานงานสมรสให้อ๋องเหลียวด้วยซ้ำ เวลานี้เขายังไม่ได้เอ่ยปากก็ถูกอ๋องเหลียวปฏิเสธทางอ้อมแล้ว ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?
เจียงเซี่ยนก้มหน้าดื่มชา แล้วก็ได้ยินไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าได้ยินว่าเจ้ายกน้องสาวที่เกิดจากอนุของตระกูลหวางเฟยเป็นอนุภรรยา ก็คิดว่าทำแบบนี้ทั้งสองตระกูลจะใกล้ชิดกันเกินไป แต่หากพิจารณาจากลูก พิจารณาจากความสงบสุขของเรือนหลังในภายภาคหน้า วิธีนี้ของเจ้ากลับเหมาะสม ไม่แต่งงานตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน ไว้ผ่านไปสักสองสามปี ลูกทั้งสองคนต่างโตขึ้นแล้วค่อยคุยกันก็ไม่สาย”
อ๋องเหลียวค้อมตัวอย่างซาบซึ้งและเอ่ยว่า “เสด็จย่าทรงพระปรีชาสามารถ!”
สีหน้าของจ้าวอี้ยิ่งดูแย่มากขึ้นแล้ว
เจียงเซี่ยนยิ้มมุมปาก สีหน้าสบายใจ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีสายตาที่ร้อนแรงจับจ้องตนเองอย่างไม่วางตา
นางมองไปตามความรู้สึก ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวเซี่ยว
จ้าวเซี่ยวมองอยู่ แล้วก็ขยิบตาให้นาง
เจียงเซี่ยนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
จ้าวเซี่ยวมุมปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบหันมามองทางนาง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าไทฮองไทเฮากลับเปลี่ยนเรื่องมาที่เขา “จ้าวเซี่ยว พ่อเจ้าสบายดีหรือ? หลายวันก่อนข้าได้ยินว่าแม่เจ้าไม่สบาย? อาการป่วยของนางเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นโรคอะไร?”
เขารีบหยุดความคิด และขยับตัว กึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ทูลไทฮองไทเฮา หลายปีนี้ท่านพ่อนำทหารออกรบตลอด ร่างกายยังแข็งแรงดี ส่วนท่านแม่นั้นเป็นโรคเก่าเรื้อรังที่หลงเหลือมาจากตอนที่คลอดกระหม่อม พอถึงช่วงเวลาที่เปลี่ยนฤดูก็จะเจ็บปวดจนยากที่จะอดทนได้ แต่ผ่านช่วงนั้นไปก็หายดีแล้ว ท่านพ่อเที่ยวสอบถามหาหมอชื่อดังและยาให้ท่านแม่อยู่ตลอด ท่านพ่อให้กระหม่อมไม่ต้องกังวล เขาจะดูแลท่านแม่ของกระหม่อมอย่างดี สองวันนี้กระหม่อมยังเขียนจดหมายกลับไปไถ่ถามด้วย ท่านพ่อตอบจดหมายมาว่าปลอดภัยดีทุกอย่าง ให้กระหม่อมไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ!”
ไทฮองไทเฮาพยักหน้า ทว่าจ้าวอี้กลับเอ่ยอย่างกะทันหันมากว่า “จ้าวเซี่ยว ข้าจำได้ว่าเจ้ามีกันสามคนพี่น้อง เจ้าเป็นลูกชายคนโต…”
จ้าวเซี่ยวพยักหน้า
จ้าวอี้ก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าว่าเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงก็ได้! เมืองหลวงทิวทัศน์สวยงาม ผู้คนจริงใจและใจกว้าง มีของทุกอย่างที่ต้องการ น่าสนใจมาก ที่ฝูเจี้ยนมีโจรสลัดเข้าออกตลอด แถมยังต้องยกทัพทำสงคราม ไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็ตาย อันตรายเกินไปแล้ว! ข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ดีกว่ากระมัง?”
หน่วยองครักษ์มีห้าหน่วยใหญ่ แต่ละหน่วยมีห้าพันคน ผู้นำคือผู้บัญชาการระดับสาม หัวหน้าคือระดับสอง
ทุกคนต่างตกใจ
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะลือกันตลอดว่าฮ่องเต้อยากให้ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวอยู่เมืองหลวง ทว่าก็เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้พูดออกมาอย่างชัดเจนขนาดนี้ แถมยังในสถานการณ์แบบนี้ด้วย…
บรรยากาศของห้องอุ่นตะวันออกชะงักงัน
เจียงเซี่ยนเงยหน้ามองจ้าวเซี่ยว
จ้าวเซี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แล้วก็เผยสีหน้าดีใจออกมา เขาลุกขึ้นยืนและขอบคุณจ้าวอี้ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระราชทานตำแหน่งให้พ่ะย่ะค่ะ หากท่านพ่อทราบจะต้องจัดงานเลี้ยงติดกันหลายวันอย่างแน่นอน”
จ้าวอี้ยิ้มออกมาอย่างพอใจ และเอ่ยว่า “เจ้าแค่เขียนจดหมายให้พ่อเจ้าก็พอ ให้เขารู้ว่า ข้าจะไม่มีทางปฏิบัติกับพี่น้องตระกูลเดียวกันอย่างไม่ยุติธรรม”
จ้าวเซี่ยวตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ” ติดกันหลายครั้ง บนหน้าเผยความดีใจออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวอย่างปิดไม่มิด
เจียงเซี่ยนเบ้ปาก
ตามลำดับศักดิ์ จ้าวอี้ยังต่ำกว่าจ้าวเซี่ยวสองรุ่น…ยังบอกว่าพี่น้องตระกูลเดียวกันอะไรกัน…
ต่อมาจ้าวอี้อารมณ์ดีขึ้นมาก จึงเชิญคนที่นั่งอยู่ไปเล่นบนลานน้ำแข็งที่อุทยานหลวงตะวันตกวันมะรืน และเอ่ยว่า “ลองดูว่าพวกเราใครจะเดินบนน้ำแข็งได้เร็วที่สุด?!”
จ้าวเซี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมต้องแย่ที่สุดอยู่แล้ว…กระหม่อมไม่ค่อยได้เจอหิมะที่ฝูเจี้ยนนัก!”
“ตามที่เจ้าว่า งั้นพี่ใหญ่ของข้าก็เดินเก่งที่สุดแล้ว” ไม่รู้ว่าจ้าวอี้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เขายิ้มและเอ่ยว่า “เหลียวตงหนึ่งปีสี่ฤดูมีสองฤดูที่หิมะตกหนัก…”
อ๋องเหลียวยิ้มเช่นเดิม เขากำลังจะเอ่ยปาก เติ้งเฉิงลู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนเงามาตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “กระหม่อมคิดว่าตนเองเดินพอใช้ได้ ทำไมพวกท่านไม่คิดว่าข้าจะชนะบ้างเล่า?”
ทุกคนต่างนิ่งไป
หวังจ้านหัวเราะขึ้นมาเหมือนสนับสนุน
ทุกคนต่างก็หัวเราะตามไปด้วย
แต่สายตาของจ้าวอี้ยังคงแฉลบผ่านตัวเติ้งเฉิงลู่ไปเหมือนมีด ทำให้เติ้งเฉิงลู่ตกใจจนหดคอ
เรื่องแบบนี้ทำให้เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก
ดูท่าทางของเติ้งเฉิงลู่ ไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบออกหน้านี่นา?!
นางไม่ได้มองเติ้งเฉิงลู่อีกแม้แต่ครั้งเดียว จ้าวอี้ลากเจียงลวี่ออกมาแล้ว และเอ่ยว่า “อาลวี่ ถึงเวลานั้นเจ้าต้องมาให้ได้นะ ข้าจะแจ้งกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครให้เจ้าเอง!”
เจียงลวี่ยิ้มและขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วเอ่ยว่า “ดูท่าทางกระหม่อมต้องเตรียมรองเท้าเดินบนลานน้ำแข็งล่วงหน้าแล้ว”
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปที่การเล่นบนน้ำแข็งแล้ว
แม้แต่ไทฮองไทเฮาก็ระลึกถึงเรื่องที่เดินบนน้ำแข็งที่อุทยานหลวงตะวันตกกับไทฮองไท่เฟยสมัยนางยังสาวเช่นกัน
ทุกคนผลัดกันพูดคุย ชั่วพริบตาก็ถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงแล้ว
ไทฮองไทเฮาให้พวกเขาอยู่รับประทานอาหารเที่ยง
จ้าวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เขายิ้มและตกลง
เจียงเซี่ยนไปช่วยร่างรายการอาหาร
อาหารเย็นสองสามอย่าง อาหารร้อนสองสามอย่าง แกงสองสามอย่าง หม้อไฟสองสามอย่าง…ไม่นานนางก็สั่งให้ฉิงเค่อเขียนรายการชุดหนึ่งและไปที่ห้องอุ่นตะวันออก
ทว่ากลับเจอจ้าวเซี่ยวที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ใต้ชายคาหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไร
“ท่านหญิง ท่านก็ไร้น้ำใจเกินไปแล้ว!” เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และมองเจียงเซี่ยน “ฝ่าบาทขุดหลุมใหญ่ขนาดนั้นให้ข้ากระโดด ท่านก็ไม่เตือนข้าสักหน่อยเช่นกัน!”
——————-