มู่หนานจือ – บทที่ 133 ค้นพบ

มู่หนานจือ

ดีที่ทุกคนต่างมีแผนการของตนเอง ก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทางแล้วกัน

เจียงเซี่ยนมองนางในที่ยุ่งอยู่กับการเก็บของในตำหนัก แม้แต่กระโถนบ้วนน้ำลายที่ปกติไทฮองไทเฮาใช้ประจำก็ต้องเอาไปด้วย นางจึงรู้สึกว่าการเดินทางสักรอบช่างลำบากมากจริงๆ

ดีที่ไทฮองไทเฮาอารมณ์ดี นางนั่งสั่งเมิ่งฟางหลิงอยู่บนเตียงอุ่น “เจ้าอย่าลืมกล่องของข้า!”

เมิ่งฟางหลิงขานรับด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “เพคะ”

ไทฮองไทเฮาหันหน้ามาหาไทฮองไท่เฟยที่นั่งอยู่ข้างกายนางและเอ่ยว่า “อันที่จริง…นักร้องสองคนที่จ้าวเซี่ยวส่งมาก็ร้องได้ไม่เลวจริงๆ ข้าไม่ได้ฟังการขับร้องประกอบดนตรีแท้ๆ แบบนี้มาหลายปีแล้ว ก็ขอบคุณที่เด็กคนนี้มีน้ำใจแล้ว”

ไทฮองไท่เฟยยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่งั้น…ครั้งนี้ไปภูเขาวั่นโซ่วก็พานักร้องสองคนนั้นไปด้วยดีไหมเพคะ?”

ไทฮองไทเฮาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ก็ได้! ถึงอย่างไรก็ว่างอยู่ดี จะได้มีคนฆ่าเวลาด้วย”

ไทฮองไท่เฟยยิ้มและสั่งการลงไป

ไทฮองไทเฮาก็ถามถึงเจียงเซี่ยน “เจ้าเก็บของเรียบร้อยหรือยัง? จ่างจูบอกหรือไม่ว่านางจะเข้าวังเมื่อไร?”

เจียงเซี่ยนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไปแค่สองวัน พวกของตกแต่งก็ช่างเถอะ เอาของที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปก็พอแล้ว จ่างจูบอกว่าจะเข้าวังตอนบ่ายยามโหย่วเพคะ หม่อมฉันว่ายังอีกหนึ่งชั่วยาม! หากจ่างจูเข้าวังมาก่อน นางในที่เฝ้าประตูเสินอู่จะมาบอกพวกเราเพคะ”

ไทฮองไทเฮาพยักหน้า ทุกคนคุยกันว่าภูเขาวั่นโซ่วมีตรงไหนน่าเที่ยวอีกไม่กี่คำ นางในก็เข้ามาแจ้งว่าไป๋ซู่มาแล้ว

แยกกันเพียงแค่ยี่สิบกว่าวัน แต่เจียงเซี่ยนกลับรู้สึกเหมือนแยกกับไป๋ซู่มาหลายปีแล้ว

นางรอไป๋ซู่อยู่หน้าประตูวังฉือหนิง

ไป๋ซู่สวมเสื้อคลุมยาวลายเปี้ยนตี้จินสีกุหลาบม่วง ผมสีดำสนิทเปลี่ยนเป็นมวยทรงก้นหอยคู่แล้ว และติดดอกไม้ดอกใหญ่ย้อมสีเขียวขจี หน้าแดงเปล่งปลั่ง ท่าทางร่าเริง ดูสง่าผ่าเผย งดงาม และสุภาพ

เจียงเซี่ยนเข้าไปกอดแขนไป๋ซู่

ไป๋ซู่ยิ้มพลางมองสำรวจนางหัวจรดเท้า และเอ่ยว่า “ทำไมข้าถึงเห็นว่าเจ้าเหมือนจะสูงขึ้นอีกแล้ว?”

เจียงเซี่ยนถอนหายใจ และเอ่ยว่า “เพราะมักจะหิวมากกลางดึก”

ชาติก่อนนางก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

ทว่าเวลานั้นนางกลับจวนเจิ้นกั๋วกงและเข้าไปอยู่ในจวนองค์หญิงแล้ว นางอยู่จวนองค์หญิงเป็นเจ้านาย อยากทำอะไรก็ทำ ดังนั้นพ่อครัวในจวนมักจะลุกขึ้นมาทำของกินให้นางกลางดึก แต่ห้องเครื่องพอถึงตอนเย็นก็ใส่กุญแจ ไม่มีทางทำอาหารมื้อดึกให้นางได้ นางจึงจะตื่นขึ้นมาด้วยความหิวทุกคืน และกินของว่างสองชิ้น ฉิงเค่อเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร สองสามวันนี้จึงทำบะหมี่ให้นางอยู่ในห้องชา

อาจจะเพราะอาหารจำเจเกินไป แม้เจียงเซี่ยนจะกินอิ่มก็มักจะรู้สึกยังอยากกินอีกอยู่ดี

นางคิดถึงช่วงเวลาที่กลับไปอยู่จวนเจิ้นกั๋วกงชั่วคราว

ไป๋ซู่อึ้งไป และเอ่ยว่า “เจ้าเด็กโง่ ทำไมไม่บอกข้าก่อน ข้าจะได้ให้คนส่งเส้นหมี่กับบะหมี่น้ำเข้ามา”

“รบกวนเกินไปแล้ว” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “ไว้อีกไม่กี่วันอากาศอุ่นแล้วค่อยว่ากัน”

“เรื่องนี้จะทำตามอารมณ์ของเจ้าไม่ได้” ไป๋ซู่มองนางอย่างจริงจังครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “ข้าจะทูลไทฮองไทเฮาเดี๋ยวนี้ และคิดหาทางย้ายแม่นมที่ทำอาหารเป็นมาให้เจ้าสักคน ตอนที่เจ้ากำลังโต จะหิวอยู่ได้อย่างไร”

หลังจากนั้นก็ลากเจียงเซี่ยนไปห้องอุ่นตะวันออก โดยไม่สนว่านางจะพูดอย่างไร

ไทฮองไทเฮารู้แล้วก็แค่ส่ายหน้า จนกระทั่งขึ้นเรือและนั่งในห้องโดยสารบนเรือเรียบร้อยแล้ว ก็อดที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้กับไทฮองไท่เฟยเบาๆ ไม่ได้ “ถึงอย่างไรในวัง ฝ่าบาทก็ใหญ่ที่สุด ข้าดีกับเป่าหนิงแค่ไหน นางก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่บ้านคนอื่นอยู่ดี หิวก็ไม่กล้าขอของกิน ข้าว่า…ไว้อากาศอุ่นแล้ว ก็ให้นางกลับไปอยู่จวนองค์หญิงแล้วกัน นางอยู่ที่นั่นไม่มีการควบคุม อยากทำอะไรก็ทำได้อย่างอิสระ”

ไทฮองไท่เฟยยิ้มและเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮาตัดใจจากเป่าหนิงได้หรือเพคะ? จ่างจูออกจากวังแล้ว หม่อมฉันนอนไม่หลับทุกคืน ยิ่งกว่านั้นเป่าหนิงยังเป็นคนที่ไทฮองไทเฮาทรงเลี้ยงมาด้วยพระองค์เองด้วย!”

“ตัดใจไม่ได้ก็ต้องปล่อยนางออกจากวังไปอยู่ดี” ไทฮองไทเฮาถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ข้าอายุมากแล้ว ยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี! อย่างไรก็ให้นางเสียเวลากับไม้ใกล้ฝั่งอย่างข้าไม่ได้กระมัง?”

ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ เรือก็จอดอย่างกระทันหัน

ไทฮองไทเฮาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

ไทฮองไท่เฟยรีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันจะลองไปถามนางในที่เข้าเวร…”

นางยังพูดไม่จบ ม่านประตูก็เลิกขึ้น หลิวเสี่ยวหม่านเดินเข้ามาโดยเหงื่อตกเต็มศีรษะ และเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮา จู่ๆ ฝ่าบาทก็ตรัสว่าจะเสด็จมา…”

ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

พวกนางนั่งเรือลำใหญ่มาทั้งหมดสามลำ

ลำของจ้าวอี้อยู่หน้าสุด ลำของพวกไทฮองไทเฮาอยู่ตรงกลาง ส่วนข้างหลังนั้นบรรจุสัมภาระและมีนางในกับขันทีที่ติดตามไปรับใช้นั่งอยู่

ไม่รู้ว่าจ้าวอี้เป็นอะไรไปอีก?

ไทฮองไทเฮาทำได้เพียงรอเขามา

หลิวเสี่ยวหม่านให้หลิวตงเยว่อยู่รับใช้ในห้องโดยสารบนเรือ ส่วนตนเองรออยู่ข้างนอก

ไม่นาน เรือสองลำขนานกัน พอพาดไม้กระดานตรงกลาง เหล่าองครักษ์ก็ประคองจ้าวอี้ขึ้นไปบนเรือของไทฮองไทเฮา

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่รออยู่ข้างกายไทฮองไทเฮา และเข้าไปคารวะเขา

หน้าเขาดำมืดเหมือนทาเขม่าดำที่ติดก้นหม้อ เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และลากเจียงเซี่ยนไปทางห้องโดยสารบนเรือของไทฮองไทเฮาทันที

เจียงเซี่ยนตั้งตัวไม่ทัน จึงโซเซตามจ้าวอี้เข้าไปในห้องโดยสารบนเรือ

จ้าวอี้พอเอ่ยปากก็พูดว่า “เสด็จย่า ได้ยินว่าเสด็จย่ากำลังเลือกสามีให้เจียหนาน? ทำไมกระหม่อมถึงไม่รู้เรื่อง? ยังมีใครรู้เรื่องนี้อีก? กรมพิธีการไม่ได้ออกราชโองการใช่หรือไม่?”

เขาพูดจาหยาบคาย ท่าทางดุดันและบีบคั้นจนทำให้คนลำบากใจ

ไทฮองไทเฮาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาที่มองจ้าวอี้ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่นิดเดียว “ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องของสนมวังหลัง ฝ่าบาทควรจะใส่ใจกับแคว้นถึงจะถูก…”

จ้าวอี้โกรธจนมือสั่นตลอด และเอ่ยว่า “เจียหนานเป็นน้องสาวของข้า…”

หลังจากเขาว่าราชการด้วยตนเอง เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกตนเองว่า ‘ข้า’ ต่อหน้าไทฮองไทเฮา

เจียงเซี่ยนใจเต้นตึกตัก

นางกลัวว่าจ้าวอี้จะเป็นบ้าขึ้นมาและจะแต่งงานกับนางให้ได้

ทว่าในเมื่อเขาใส่ใจตนเองขนาดนี้ ชาติก่อนทำไมถึงไม่ไว้หน้าตนเองแบบนั้นเล่า?

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าจ้าวอี้ช่างไร้เหตุผลและสมองมีปัญหาอย่างสิ้นเชิง

แต่ไทฮองไทเฮากลับตะโกนเสียงดัง ขัดจังหวะคำพูดของจ้าวอี้ “ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่าเจียหนานเป็นพระขนิษฐาของฝ่าบาท! ไว้จัดการเรื่องแต่งงานของเจียหนานเรียบร้อยแล้ว ก็ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานงานสมรสให้เจียหนานด้วย!”

สีหน้าของจ้าวอี้ยิ่งดูแย่ลง และเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

ทว่าไทฮองไทเฮากลับไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้แม้แต่นิดเดียว และยังเอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาท พวกเรายังอยู่ห่างจากภูเขาวั่นโซ่วอีกกี่ชั่วยามหรือ? หลังจากจ้าวสี่เกิดหม่อมฉันยังไม่เคยเจอเขาเลย ครั้งนี้ไปแล้ว หม่อมฉันต้องตั้งใจดูเจ้าเด็กคนนี้หน่อย พูดถึง…นี่ก็เป็นเหลนคนแรกของหม่อมฉันเลย!”

จ้าวอี้ได้ยินก็รู้สึกหดหู่และเซื่องซึมทันที

เจียงเซี่ยนฉวยโอกาสสลัดมือของจ้าวอี้ และยืนอยู่กับไป๋ซู่ที่รีบตามหลังเข้ามายืนอยู่ข้างหน้าต่างของเรือ

เสียงที่แฝงความเกรงขามเล็กน้อยของไทฮองไทเฮาดังขึ้นในห้องโดยสารบนเรือ “ฝ่าบาท ควรจะกลับไปที่ห้องโดยสารบนเรือของฝ่าบาทแล้ว ไทเฮายังรอพวกเราอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่ว!”

สองมือของจ้าวอี้จับเป็นหมัดแน่น เขายืนอยู่กลางห้องโดยสารบนเรือด้วยสีหน้าสิ้นหวัง และค่อยๆ หันตัวออกจากห้องโดยสารบนเรือไปท่ามกลางสายตาของทุกคน

คนในห้องโดยสารบนเรือโล่งอกพร้อมกันเหมือนคนที่รอดมาจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ นางในที่ขี้ขลาดบางคนตบหน้าอกไม่หยุด

ทว่าสีหน้าของไทฮองไทเฮากลับเคร่งขรึมมากขึ้น นางสั่งหลิวเสี่ยวหม่าน “เจ้าลองไปสืบว่า…ใครเป็นคนทูลฝ่าบาทเรื่องนี้!”

วันนั้นนางถามหยั่งเชิงจ้าวเซี่ยว เติ้งเฉิงลู่ และจินเซียวว่า หากจ้าวอี้คัดค้านพวกเขาจะทำอย่างไร ปรากฏว่าแม้ทั้งสามคนจะทำหน้าประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ตอบทันที

หรือว่าปัญหาเกิดจากสามคนนี้งั้นหรือ?

——————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท