มู่หนานจือ – บทที่ 152 ใครกัน

มู่หนานจือ

เติ้งเฉิงลู่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ เบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนมองตรงๆ ไม่ได้

ทว่าจ้าวเซี่ยวกลับเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว และเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “อาลวี่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า!”

พอพบว่าเจียงเซี่ยนหายตัวไป เจียงลวี่กับเติ้งเฉิงลู่ก็รับผิดชอบซักถามพ่อบ้านกับหญิงรับใช้ในหมู่บ้าน เฉาเซวียนกับไป๋ซู่รับผิดชอบซักถามคนรับใช้ข้างกายเจียงเซี่ยน ส่วนจ้าวเซี่ยว จินเซียว และหวังจ้านแยกกันค้นหาเบาะแสในหมู่บ้าน

พอเห็นจ้าวเซี่ยวเอ่ยแบบนี้ เจียงลวี่ก็ลุกขึ้นยืนทันที และไปที่โถงบุปผาที่อยู่ข้างๆ กับจ้าวเซี่ยว

“คนของข้าพบรอยล้อรถตื้นๆ ตรงประตูเล็กตรงมุมกำแพงด้านหลัง” จ้าวเซี่ยวกดเสียงให้เบาลง “หากไม่สังเกตให้ดี ก็ไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่ลูกน้องของข้าคนนี้เดิมทีเป็นทหารสอดแนม เขาบอกว่า…น่าจะเป็นรถม้าที่น้ำหนักค่อนข้างเบาสองล้อ บรรทุกได้มากสุดสามร้อยจิน[1]”

เจียงลวี่ก็มาจากตระกูลทหารเช่นกัน และเป็นทหารที่เก่งมาก

เขาจึงเข้าใจทันที

รถม้าแบบนี้ใช้งานสะดวก ทว่าก็ไปได้ไม่ไกลเช่นกัน

“เจ้าหมายความว่า เป่าหนิงไม่อยู่ที่หมู่บ้านแล้ว?” เจียงลวี่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนหายตัวไป ตอนแรกเขาเป็นห่วงว่านางจะตกน้ำหรือหกล้ม

“ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้” จ้าวเซี่ยวเอ่ย “เจ้าลองคิดดู หลิวตงเยว่ก็หายตัวไปเหมือนกัน”

คนรับใช้ข้างกายเจียงเซี่ยนบอกว่า ก่อนหน้านี้เจียงเซี่ยนเล่นอยู่ในศาลา และกำลังจะกลับไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนกลับให้หลิวตงเยว่พาพวกเขากลับไปก่อน หลิวตงเยว่ไม่วางใจ จึงไปหาคนเดียว และหลังจากนั้นก็ไม่เห็นหลิวตงเยว่กับเจียงเซี่ยนอีกเลย

พวกเขายังคิดว่าเจียงเซี่ยนกับหลิวตงเยว่ไปทำอะไรแล้ว

หากไม่ใช่ว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้วไป๋ซู่มาก่อน เจียงลวี่ก็ยังไม่รู้

ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

เจียลวี่เอ่ยทันทีว่า “ไป พวกเราลองไปดูกัน!”

จ้าวเซี่ยวพยักหน้า

ทั้งสองคนออกจากโถงบุปผา

เติ้งเฉิงลู่คิดแล้วก็ตามไป “ข้าไปกับพวกเจ้าด้วย!”

“เจ้าไปแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี” เจียงลวี่ไม่ชอบที่เติ้งเฉิงลู่อ่อนแอ และเอ่ยว่า “เจ้ารออยู่ในห้องดีกว่า หากอาจ้านกับจินเซียวพบอะไรและกลับมา เจ้าก็รู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน!”

เติ้งเฉิงลู่รู้ว่าทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นบัณฑิตที่ไร้ประโยชน์ เขาเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าเวลานี้ถูกเจียงลวี่ปฏิเสธทางอ้อมแบบนี้ เขาก็ยังเสียใจมากอยู่ดี

“อือ!” เขาหยุดฝีเท้า และมองเงาร่างของจ้าวเซี่ยวกับเจียงลวี่หายไปท่ามกลางป่าไม้

“เติ้งซื่อจื่อ เติ้งซื่อจื่อ!” เสียงตะโกนเรียกของเฉาเซวียนดังมาจากที่ไม่ไกลนัก

“ข้าอยู่นี่!” เติ้งเฉิงลู่รีบตอบเสียงดัง และวิ่งเหยาะๆ ไปที่โถงบุปผา

ในโถงบุปผาไม่ได้มีเพียงเฉาเซวียน แต่ยังมีไป๋ซู่ด้วย

ทั้งสองคนต่างสีหน้าไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉาเซวียน เขาถามเติ้งเฉิงลู่ “เจียงลวี่ไปไหนแล้ว?”

เติ้งเฉิงลู่รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ทั้งสองคนฟัง

ทั้งสองคนสบตากัน ใบหน้าของไป๋ซู่ฉายแววลังเลมาก แต่เฉาเซวียนกลับสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง และเอ่ยกับไป๋ซู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ข้าจะจัดการไปตามสถานการณ์ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ต้องรีบร้อน สิ่งที่จะเกิดก็เกิดขึ้นแล้ว เจ้าเรียกคนที่อยู่ข้างกายท่านหญิงมารวมกันให้หมดเดี๋ยวนี้ อย่าให้พวกเขาเดินไปไหนตามใจชอบ แล้วก็อธิบายกับพวกเขาว่ากลัวเจียงลวี่จะพาลโกรธ อย่าเพิ่งไปไหนทั้งนั้น”

ไป๋ซู่ได้ยินก็หน้าซีดลงอีกเล็กน้อย นางพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว” ทว่าสายตาที่มองเฉาเซวียนกลับฉายแวววิงวอนอยู่อย่างเบาบาง

เฉาเซวียนสีหน้าคลุมเครือ เขาเงียบไปชั่วครู่และเอ่ยว่า “เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าข้ากับเจ้าจะตัดสินใจได้”

“ข้ารู้แล้ว!” ไป๋ซู่พูดอยู่ก็ปรากฏประกายน้ำตาขึ้นในดวงตา

เติ้งเฉิงลู่อดที่จะมองเฉาเซวียนและมองไป๋ซู่อีกครั้งไม่ได้

เกิดอะไรขึ้นหรือ?

ทำไมคำพูดของสองคนนี้ฟังดูแปลกๆ?

เขาพึมพำในใจ ไป๋ซู่ย่อตัวคารวะเติ้งเฉิงลู่ครั้งหนึ่ง

เติ้งเฉิงลู่คารวะตอบอย่างลนลาน ไป๋ซู่ออกไปแล้ว

เขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่กลับถามเฉาเซวียนว่า “คุณหนูไป๋เป็นอะไรไปหรือ?”

“ไม่มีอะไร” เฉาเซวียนเอ่ย “พวกเราถามอะไรมาไม่ได้เลย จึงอยากมาฟังว่าเจียงลวี่จะว่าอย่างไร”

เติ้งเฉิงลู่เอ่ยว่า “อ้อ” และไม่ได้พูดอะไร เขานั่งเท้าคางอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นคนเดียว

เฉาเซวียนไม่ได้สนใจเขา

เขารู้จักเติ้งเฉิงลู่ตั้งแต่ตอนที่เฉาไทเฮายังกุมอำนาจ ทว่าเติ้งเฉิงลู่ขี้ขลาดมากมาโดยตลอด เฉาเซวียนจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา และไม่ได้สนิทสนมกับเขา พอเห็นเขาเหม่อลอยเหมือนเมื่อก่อน บวกกับเฉาเซวียนเองก็มีเรื่องในใจ จึงขี้เกียจที่จะคุยกับเขาอีก บอกไปว่า “ข้าจะลองไปดูว่าทางเจียงลวี่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” แล้วก็เดินออกไปข้างนอก

เติ้งเฉิงลู่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย

เห็นจินเซียวกับหวังจ้านเดินเข้าไปหาเฉาเซวียน

หากบอกว่าจินเซียวเพียงแค่สีหน้าเคร่งขรึม เช่นนั้นหวังจ้านก็เรียกได้ว่าหน้าตาเย็นชา จนถึงขั้นเจือความโหดเหี้ยมอยู่อย่างเบาบาง ทำให้เติ้งเฉิงลู่สงสัยไปชั่วขณะว่าคนๆ นี้ใช่หวังจ้านหรือไม่กันแน่

“อาลวี่ล่ะ?” หวังจ้านถามเฉาเซวียนเสียงดัง “ข้ามาหาเขามีเรื่องด่วน!”

“เขาออกไปกับจ้าวเซี่ยวแล้ว” เฉาเซวียนส่งสายตาให้หวังจ้าน ความนัยที่แฝงในนั้นคือหากเขามีเรื่องอะไรให้ทุกคนคุยกันเป็นการส่วนตัว

ทว่าใครจะรู้ว่าหวังจ้านกลับเข้ามาลากเฉาเซวียนไปทางตู้ปลาที่อยู่ข้างๆ และยังเอ่ยเสียงเบามากว่า “แม่ทัพจินไม่ใช่คนนอก…พวกเราพบว่าตรงประตูเล็กตรงมุมกำแพงด้านหลังมีรอยล้อรถตื้นๆ แม่ทัพจินบอกว่า น่าจะมีรถผ่าน แต่ทางเส้นนั้นตัดไปถึงหมู่บ้านเท่านั้น และทั้งสองฝั่งก็ล้วนเป็นต้นไม้โบราณที่บังแสงแดดกับหญ้ารกชัฏ คนธรรมดาจะไม่ไปตรงนั้น เกรงว่า…เกรงว่าเป่าหนิงจะไม่อยู่ที่หมู่บ้านแล้ว!”

เขาคิดว่าเฉาเซวียนจะตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าเฉาเซวียนไม่เพียงแต่ไม่เผยสีหน้าแปลกใจออกมา ทว่ายังเหมือนจะแอบโล่งอกด้วย

เฉาเซวียนมองจินเซียวครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “จ้าวเซี่ยวก็พบแล้วเหมือนกัน เจียงซื่อจื่อไปที่ประตูเล็กตรงมุมกำแพงกับพวกเขาแล้ว พวกเจ้าไม่เจอกันหรือ?”

“ไม่เจอ!” หวังจ้านอึ้งไปเล็กน้อย และเอ่ยว่า “พวกเราตามรอยล้อรถนั้นไปตลอด แต่พอถึงตีนเขา รอยล้อรถนั้นกลับหายไป พวกเราไม่กล้าตามไปไกล และคิดว่าควรกลับมาปรึกษาเรื่องนี้กับอาลวี่ดีกว่า…จึงเข้ามาทางประตูหลัก เพื่อประหยัดเวลา…”

เฉาเซวียนเอ่ยทันทีว่า “เช่นนั้นพวกเราไปดูกันเถอะ”

หวังจ้านกับจินเซียวพยักหน้า แล้วทั้งสามคนก็ไปที่ประตูเล็กตรงมุมกำแพงที่หลี่เชียนรับเจียงเซี่ยนไปด้วยกัน

พวกเขาไม่เห็นเจียงลวี่กับจ้าวเซี่ยว แต่กลับเจอคนที่เจียงลวี่ทิ้งไว้ที่นี่

ที่แท้เจียงลวี่กับจ้าวเซี่ยวก็ตามรอยล้อรถนั้นไปเหมือนกัน

หวังจ้านให้คนไปพาเจียงลวี่กับจ้าวเซี่ยวกลับมา

เติ้งเฉิงลู่ก็ไม่รู้ว่ามาหาได้อย่างไรเช่นกัน

ทุกคนจึงยืนคุยสิ่งที่แต่ละคนค้นพบตรงนั้น

เติ้งเฉิงลู่ฟังอยู่ข้างๆ

เรื่องราวไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว

เจียงเซี่ยนไม่อยู่ที่หมู่บ้านแล้ว

ในขณะเดียวกันคนที่หายตัวไปยังมีขันทีหลิวตงเยว่ด้วย

ใครกันที่สามารถลักพาตัวคนไปจากหมู่บ้านได้อย่างเงียบเชียบ?

อย่างน้อยคนที่ลักพาตัวเจียงเซี่ยนไปนี้ก็เป็นคนที่เจียงเซี่ยนรู้จัก ไม่อย่างนั้นพอเขาปรากฏตัวเจียงเซี่ยนก็จะร้องให้ช่วย

แล้วยังหลิวตงเยว่ ในเรื่องนี้เขาเล่นบทอะไรกันแน่

เจียงลวี่นวดหน้าผาก เขามองจ้าวเซี่ยวครั้งหนึ่ง และเอ่ยกับหวังจ้านว่า “อาจ้าน ข้ามีเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปทำ…เจ้าคิดหาทางเข้าวังเดี๋ยวนี้ ลองสืบดูว่าฝ่าบาทกำลังทำอะไรอยู่? ตอนบ่ายเรียกใครเข้าเฝ้าหรือไม่? แล้วก็เกาหลิ่ง…สั่งงานอะไรลงมาหรือไม่?”

คำพูดนี้เหมือนทำให้คนตกใจเป็นอย่างมาก

ทว่าไม่ว่าจะจ้าวเซี่ยวหรือจินเซียว กระทั่งหวังจ้าน ต่างก็ไม่รู้สึกแปลกใจ

เติ้งเฉิงลู่อดที่จะพลั้งปากออกมาไม่ได้ว่า “พวกเจ้า…พวกเจ้าต่างสงสัยฝ่าบาท…”

เจียงลวี่ลังเลอยู่นานมาก และเอ่ยว่า “นอกจากฝ่าบาท ก็ไม่มีใครสามารถลักพาตัวเป่าหนิงไปได้อย่างเงียบเชียบแบบนี้แล้ว!”

———————————

[1] 1 จิน = 500 กรัม ดังนั้น 300 จิน = 150 กก.

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท