มู่หนานจือ – บทที่ 156 ร้ายแรง

มู่หนานจือ

หลี่เชียนโผล่หน้าออกมา และยิ้มพลางเอ่ยว่า “ได้” แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงปรึกษาว่า “กินตอนมื้อเที่ยงได้หรือไม่?”

“ตอนนี้!” เจียงเซี่ยนเลิกคิ้ว หน้าตาฉายแววท้าทายอย่างไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว “ข้าไม่ชอบกินของว่าง กลืนแล้วเจ็บคอ”

“ได้!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกเดี๋ยวจะมีน้ำแกงไก่ให้ดื่ม!”

เขายิ้มอย่างสุขุมเยือกเย็น เหมือนกำลังบอกนางว่า ไม่ว่านางจะก่อกวนอย่างไร เขาก็มีวิธีรับมือทั้งนั้น ดังนั้นนางก่อกวนได้เต็มที่

เจียงเซี่ยนกลุ้มใจ และสะบัดม่านรถอีกครั้ง

หลิวตงเยว่เห็นแล้วหวาดกลัวมาก จึงรีบเตือนเสียงเบาอยู่ข้างๆ ว่า “ท่านหญิง ท่านหญิง พวกเราก็กินของว่างแล้วกัน ของว่างก็อร่อยเหมือนกันขอรับ”

เจียงเซี่ยนกำลังโมโห พอได้ยินก็หันกลับไปจ้องหลิวตงเยว่ และเอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? หลี่เชียนก็บอกว่ามีน้ำแกงไก่ให้ดื่มแล้ว เจ้ากลับจะให้ข้ากินของว่าง เมื่อคืนพวกเรากินของว่าง เช้าวันนี้ก็กินของว่าง เจ้าจะให้ข้าวันหนึ่งสามมื้อกินแต่ของว่างอย่างนั้นหรือ?”

หลิวตงเยว่ร้อนใจขึ้นมา และเอ่ยอย่างกังวลว่า “ท่านหญิง ตอนนี้พวกเรายังตกอยู่ในกำมือของหลี่เชียนนะขอรับ!”

ความนัยที่แฝงในนั้นคือ นางอย่าก่อเรื่องจะดีกว่า

เจียงเซี่ยนยิ้มเยาะ และเอ่ยว่า “ข้ายังกลัวเขาอย่างนั้นหรือ?!”

หลิวตงเยว่อึ้งกับน้ำเสียงที่มีพลังของนาง นิ่งไปนานมาก พอได้สติกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจจนเหงื่อออก

ท่านหญิงทำแบบนี้ไม่ได้นะ!

หลี่เชียนนั้นแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง คนแบบนี้ค่อนข้างดื้อรั้น ทำหน้าบูดบึ้งใส่เขาสักครั้งสองครั้ง เขายังอดทนได้ พอเวลานานไป หากเขาอารมณ์ขึ้นและทนไม่ไหวจะทำอย่างไร?

ท่านหญิงเป็นผู้ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ แค่ถูกเขาปรายตามองครั้งเดียวก็เป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงแล้ว

เมื่อฮ่องเต้เสื่อมเสียเกียรติ ขุนนางก็ควรตายเพื่อถวายความจงรักภักดี

เขายังอยากมีชีวิตรอดกลับไปนะ!

“ท่านหญิง อยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่นก็จำเป็นต้องทำตามคำสั่ง” หลิวตงเยว่เตือนเจียงเซี่ยน “ท่านดูสิ หานซิ่นในตอนนั้นยังเคยอับอายที่ต้องคลานลอดใต้หว่างขา สุดท้ายเขาก็ยังเป็นคนหนึ่งที่ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ในประวัติศาสตร์ไม่ใช่…”

เจียงเซี่ยนไม่รู้ว่าเดิมทีหลิวตงเยว่ขี้บ่นขนาดนี้ นางเอ่ยแทรกหลิวตงเยว่ว่า “หานซิ่นนั่นสุดท้ายก็ยังตายที่ห้องนาฬิกาของวังฉางเล่อนะ!”

หลิวตงเยว่พูดไม่ออก เขายังคิดอยู่ว่าจะหาคนที่เหมาะสมสักคนมาเปรียบเทียบ เจียงเซี่ยนก็ลดเสียงลงและเอ่ยแล้วว่า “เจ้าอย่าสนใจเรื่องพวกนี้เลย เจ้าสนใจแค่ทำงานที่ข้ามอบหมายให้สำเร็จก็พอแล้ว!”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ หลิวตงเยว่ก็พยายามทำจิตใจให้สดชื่นขึ้น

พวกเขาเดินทางอย่างรวดเร็วมาตลอดทางนี้ จึงยังไม่มีโอกาสแขวนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้บนต้นไม้ข้างทางเลย

แต่ว่า…ผูกผ้าเช็ดหน้าไว้บนต้นไม้แล้วจะมีประโยชน์จริงๆ หรือ?

หลิวตงเยว่ขอความเห็นเจียงเซี่ยน โดยเอ่ยว่า “ท่านว่า…แขวนลูกประคำสิบแปดเม็ดที่ทำจากไม้จันทน์แดงใบเล็กที่สวมอยู่บนมือของท่านไว้บนต้นไม้ดีหรือไม่ นั่นเป็นของพระราชทาน มองเห็นได้ค่อนข้างง่าย ซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงอาจจะไม่รู้จักผ้าเช็ดหน้าของท่าน”

ก็จริง

เจียงเซี่ยนรู้สึกวุ่นวายใจมาก

ทำไมคนอื่นหนีออกไปถึงทิ้งสัญลักษณ์ไว้ได้ง่ายดาย ทว่าพอถึงตาของนางกลับยากขนาดนี้

นางถอดลูกประคำบนมือออกและส่งให้หลิวตงเยว่ โดยไม่ได้ขอผ้าเช็ดหน้ากลับคืนมา และเอ่ยว่า “จะผูกผ้าเช็ดหน้าหรือแขวนลูกประคำ เจ้าจัดการไปตามสมควรแล้วกัน!”

หลิวตงเยว่ขานรับ และใส่ลูกประคำเข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง

รถม้าค่อยๆ ช้าลง

หลี่เชียนเลิกม่านขึ้นและขึ้นมาบนรถม้า ในมือยังถือตะกร้ากล่องอาหารอยู่ด้วย พลางเอ่ยว่า “ดื่มน้ำแกงไก่สักหน่อยจะได้ชุ่มคอ” เขาเอ่ยพลางเปิดตะกร้ากล่องอาหาร นอกจากน้ำแกงไก่ถ้วยหนึ่งแล้ว ยังมีห่านแช่เหล้าหนึ่งจานเล็ก ผักหนึ่งจานเล็ก ข้าวสวยหนึ่งถ้วยเล็ก และข้าวต้มหนึ่งถ้วยเล็ก “อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นแล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เจริญอาหาร จึงให้พวกเขาเตรียมข้าวต้มมาเพิ่ม หากเจ้าไม่อยากกินข้าวสวย ก็กินข้าวต้มแล้วกัน”

เขาพูดไปก็ช่วยวางถ้วยกับตะเกียบให้เจียงเซี่ยน

แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนไม่ได้อยากดื่มน้ำแกงไก่จริงๆ นางแค่คิดจะแกล้งหลี่เชียนเท่านั้น

เขารับมือกับนางได้อย่างง่ายดายแบบนี้ นางยังมีอารมณ์ก่อกวนเขาต่อที่ไหนกัน

ถึงนางจะไม่หิว แต่ก็ยังหยิบตะเกียบขึ้นมาและลงมือกิน

หลิวตงเยว่มองน้ำแกงไก่ที่ยังมีไอร้อนอยู่ถ้วยนั้น และอดที่จะมองหลี่เชียนอย่างนับถือและยำเกรงไม่ได้

รถม้าไม่ได้จอดเลย ทว่าหลี่เชียนกลับสามารถทำอาหารมื้อหนึ่งแบบนี้ขึ้นมาได้

เขาเป็นข้ารับใช้ และมักจะเจอเรื่องที่เจ้านายเอ่ยคำเดียวเหล่าคนรับใช้ต้องวิ่งวุ่น ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่า หลี่เชียนส่งคนไปซื้อกลับมาจากเขตย่านตลาดการค้าข้างหน้าอย่างด่วน

หลี่เชียนไม่กลัวทิ้งร่อยรอยเอาไว้อย่างนั้นหรือ?

หรือเขายังมีทางหนีทีไล่อะไรอีก?

ไม่อย่างนั้น…ก็มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเขา!

หลิวตงเยว่นึกถึงเฉาไทเฮา

เขาลนลานขึ้นมาทันที

หากเฉาไทเฮายืนอยู่เบื้องหลังหลี่เชียนจริง และคิดวางแผนลอบทำร้ายคนที่ไม่ได้คิดเตรียมป้องกัน เจียงลวี่จะตามพวกเขาทันหรือไม่?

หากเจียงลวี่ตามพวกเขาไม่ทัน หลี่เชียนจะจัดการพวกเขาอย่างไร?

เฉาไทเฮาเป็นคนทำการใหญ่ นางไม่มีทางที่จะให้หลี่เชียนลักพาตัวท่านหญิงอย่างไร้สาเหตุ เช่นนั้นเฉาไทเฮาคิดจะทำอะไรกันแน่?

หลิวตงเยว่ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว

เขาคิดว่าหากเรื่องนี้ได้รับอิทธิพลจากเฉาไทเฮา ก็ต้องเกี่ยวพันถึงการแก่งแย่งชิงดีกันในราชสำนักอย่างแน่นอน เกรงว่าเรื่องราวคงจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต่อให้เจียงลวี่สกัดพวกเขาไว้ได้ พวกเขาก็อาจจะไม่ได้รอดพ้นจากอันตรายอย่างง่ายดาย

เรื่องนี้ต้องเตือนท่านหญิงสักหน่อย

หลิวตงเยว่มองหลี่เชียนอย่างเกรงกลัวเล็กน้อย และขดตัวเข้าไปในมุมรถม้า

เขาไม่ขยับตัวก็ไม่เป็นไร พอเขาขยับตัว หลี่เชียนก็สนใจเขาขึ้นมา และเอ่ยว่า “ขันทีหลิวจะไปนอนต่อหรือไม่?”

ปกติเวลาคนเหนื่อยมากๆ จะไม่อยากนอน

หลิวตงเยว่มองเจียงเซี่ยนที่จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วนึกถึงการคาดเดาของตนเองเมื่อครู่ และเอ่ยอย่างฝืนทำเป็นเยือกเย็นว่า “ข้ายังต้องคอยรับใช้เวลาท่านหญิงรับประทานอาหาร”

หลี่เชียนก็ไม่บังคับเช่นกัน

เขาออกจากรถม้า

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับเรียกเขาไว้ด้วยสายตาเป็นประกาย และเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่กินอาหารเที่ยงหรือ?”

“พวกเราต้องรีบเดินทาง” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และตอบนางอย่างอดทนมาก “พกเสบียงมา ก็จัดการบนหลังม้า”

เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยสิ่งใด และพยักหน้า

หลี่เชียนช่วยปล่อยม่านรถลงให้พวกเขา

ในรถม้ามีแต่เจียงเซี่ยนกับหลิวตงเยว่อีกครั้ง

ปลายจมูกล้วนแต่เป็นกลิ่นหอมของอาหาร

มีเรื่องในใจ เจียงเซี่ยนฝืนกินข้าวต้มไปไม่กี่คำก็ไม่อยากกินต่อแล้ว

นางมอบอาหารที่เหลือให้หลิวตงเยว่

หลิวตงเยว่คิดว่าหลี่เชียนยังต้องกินเสบียง ทว่าตัวเขากลับกินอาหารชั้นดีอยู่ หากหลี่เชียนรู้เข้าจะทรมานเขาหรือไม่?

ทั้งสองคนต่างรับประทานอาหารอย่างครุ่นคิดเรื่องในใจ

หลิวตงเยว่เก็บของเรียบร้อย และโผล่หน้าออกไป

รถม้าแล่นอยู่บนทางลูกรังสายหนึ่ง แต่เส้นทางราบเรียบ และรถม้าสามารถวิ่งคู่กันได้สองคัน

พวกเขาอยู่บนทางหลวงอย่างนั้นหรือ?

หลิวตงเยว่ใจเต้นแรงมาก

หลี่เชียนขี่ม้าตัวใหญ่สีเหมือนพุทราแดงด้วยท่าทางแข็งแรงและปราดเปรียวอยู่ข้างพวกเขา

ข้างเขาเป็นคนที่ชื่ออวิ๋นหลิน

พอเห็นหลิวตงเยว่โผล่หน้าออกมา หลี่เชียนก็เอ่ยว่า “มีอะไรหรือ?”

หลิวตงเยว่ถือตะกร้ากล่องอาหารออกมา และเอ่ยว่า “รบกวนท่านส่งคนมารับไปด้วย”

หลี่เชียนพยักหน้า

อวิ๋นหลินรับตะกร้ากล่องอาหารไป

หลิวตงเยว่ก็หดตัวกลับเข้าไป

อวิ๋นหลินส่งตะกร้ากล่องอาหารให้คนที่อยู่ข้างหลัง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านจะปล่อยให้นางก่อกวนแบบนี้หรือ”

หลี่เชียนปรายตามองอวิ๋นหลินครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “นางไม่ได้จะก่อกวนหรอก นางแค่กำลังหยั่งเชิงข้า”

อวิ๋นหลินเงียบไป

ทว่าหลิวตงเยว่กลับถลาเข้าไปข้างกายเจียงเซี่ยน และเรียกด้วยเสียงดังกระชั้นว่า “ท่านหญิง” แล้วเอ่ยว่า “พวกเราเหมือนจะอยู่บนทางหลวงขอรับ”

เขาจะร้องไห้ออกมาแล้ว

หากพวกเขาอยู่บนทางหลวงจริง หลี่เชียนอาจจะกำลังทำงานให้เฉาไทเฮาก็ได้

เช่นนี้ก็ยุ่งยากแล้ว!

เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็ตกใจ และเอ่ยอย่างลังเลว่า “เจ้าเห็นชัดแล้วหรือ!”

หลิวตงเยว่ไม่กล้ายืนยัน

เขาก็ไม่เคยออกจากเมืองหลวงเหมือนกันนี่นา!

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท