ถึงอย่างไรพวกเจียงลวี่ก็ยังอายุน้อย เทียบกับเจียงเจิ้นหยวน ไม่ว่าจะเป็นเส้นสายหรือวิธีการทำงานต่างก็อยู่คนละระดับกันทั้งนั้น มีเจียงเจิ้นหยวนออกหน้า อะไรๆ ก็จัดการได้ง่ายขึ้น
ทุกคนร่าเริงขึ้น ต่างคนต่างก็เริ่มเล่าเรื่องราวของตนเอง
เจียงเจิ้นหยวนคอยฟังอย่างตั้งใจ และถามเล็กน้อยตลอด ทุกคนก็เริ่มหวนคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นตามคำพูดของเขา กว่าเจียงเจิ้นหยวนจะถามจบก็กลางยามห้าย[1]แล้ว
ทุกคนต่างไม่ได้รับประทานอาหารเย็น ตอนคุยยังไม่รู้สึก เวลานี้คุยจบไปช่วงหนึ่งก็รู้สึกว่าหิวมาก
เจียงเจิ้นหยวนรู้สึกเสียใจมาก จึงเอ่ยว่า “เป็นเพราะช่วยเจียหนานของพวกเราแท้ๆ ถึงทำให้ทุกคนหิว”
เขารีบสั่งให้ห้องครัวที่รออยู่นานมากแล้วนำอาหารมา
ทว่าตัวเขาเองกลับกินอะไรไม่ลงทั้งนั้น และอยากกลับไปคิดเรื่องของเจียงเซี่ยนอย่างละเอียดอีกที แล้วก็คิดว่าเขาอยู่ที่นี่พวกเด็กๆ จะรู้สึกอึดอัด จึงทิ้งเจียงลวี่ไว้ให้อยู่เป็นเพื่อน และเขาก็กลับห้องนอนคนเดียว
ฝางจื่อชิงก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของห้องหนังสืออยู่ตลอดเช่นกัน พอเห็นเจียงเจิ้นหยวนกลับมา ก็รีบเข้าไปช่วยสามีเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็วางถ้วยกับตะเกียบดูแลให้เขารับประทานอาหารด้วยตนเอง
เจียงเจิ้นหยวนมองฝางจื่อชิงที่ยุ่งหัวหมุนอยู่รอบตนเองแล้วก็อดที่จะถอนหายใจยาวๆ ไม่ได้ และเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เจ้าเข้าวังเมื่อไร?”
หลังจากฝางจื่อชิงกำชับหญิงรับใช้ประจำตัวว่าให้นำชาอะไรมาให้เจียงเจิ้นหยวน นางก็นั่งลงติดกับเจียงเจิ้นหยวน และเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ยามเหม่าก็ไปแล้ว”
จวนเจิ้นกั๋วกงอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังต้องห้าม หากไปเร็วไทฮองไทเฮาก็ยังไม่ตื่น
เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ฉวยโอกาสนี้ตกลงเรื่องสินเดิมของเป่าหนิงกับไทฮองไทเฮาเถอะ! ไทฮองไทเฮาจะได้ไม่ว่างจนได้ยินข่าวอะไรเข้าด้วย”
หากสุดท้ายเจียงเซี่ยนแต่งงานกับจ้าวอี้ สินสอดของกรมพิธีการไม่มีทางน้อยอย่างแน่นอน เขาไม่อยากทำให้เจียงเซี่ยนน้อยใจ จึงต้องเตรียมสินเดิมที่เหมาะสมกันให้นาง หากแต่งงานกับจ้าวเซี่ยว ก็ยิ่งต้องเตรียมสินเดิมจำนวนมากให้เจียงเซี่ยน ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังก็ยกเว้นการปฏิบัติตามประเพณีไม่ได้ทั้งนั้น เช่นนั้นก็ทำให้ดูดีสักหน่อยเสียเลย
“ของของจวนองค์หญิงเก็บไว้ให้นาง” เขาพึมพำ “ส่วนจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นนอกจากของที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้แล้ว แบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเก็บไว้ให้เจียงลวี่ อีกครึ่งหนึ่งให้เป่าหนิงเอาไป” แล้วก็กลัวฝางจื่อชิงจะรู้สึกไม่สบายใจ จึงอธิบายว่า “ถึงแม้เงินทองจะเป็นของนอกกาย แต่ไม่มีของนอกกายเหล่านี้ก็ใช้ชีวิตลำบากเช่นกัน เพียงแต่ของเหล่านี้มอบให้เป่าหนิงแล้วก็เป็นสิ่งที่ป้องกันตัวและรักษาชีวิตของเป่าหนิง มอบให้เจียงลวี่ก็เพียงแค่ได้กินอาหารดีๆ อีกไม่กี่มื้อและสวมเสื้อผ้าอีกไม่กี่ชุดเท่านั้น บุรุษที่ดีมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ข้าเชื่อว่าอาลวี่ที่พวกเราตั้งใจอบรมสั่งสอนมาไม่ใช่คนที่ดำรงชีวิตด้วยทรัพย์สินของผู้อาวุโส”
ฝางจื่อชิงพยักหน้าติดกันหลายครั้ง และเอ่ยเสียงนุ่มว่า “เมื่อก่อนท่านก็เคยบอกข้าว่า เก็บเงินทองไว้ในบ้านมากเกินไป พวกลูกหลานก็อดไม่ได้ที่จะใช้จ่ายอย่างไม่มีขีดจำกัด จนกลายเป็นเลี้ยงเด็กดีๆ คนหนึ่งให้เสียคนได้ง่าย คนที่เดิมทีสามารถสร้างความดีความชอบต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวงและทำงานใหญ่สำเร็จได้ สุดท้ายรู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น เรื่องของอาลวี่ ข้าเชื่อฟังท่าน ท่านว่าทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นแล้วกัน ข้าก็เคยเป็นลูกสาวเหมือนกัน ข้ารู้ความลำบากของผู้หญิง ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะรู้สึกไม่สบายใจ ไว้พวกเรามีลูกสะใภ้แล้ว ก็มีเครื่องเรือนที่เป็นชุดและเครื่องเคลือบกับเครื่องดีบุกที่สวยงามมากมายเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เจียงเจิ้นหยวนอดที่จะจับมือของฝางจื่อชิงอย่างซาบซึ้งไม่ได้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “มีภรรยาที่มีคุณธรรมไม่มีหายนะ ข้าดีใจจริงๆ ที่ตอนนั้นท่านพ่อตาให้เจ้าแต่งงานกับข้า”
ฝางจื่อชิงรู้สึกมีความสุข ทว่าบนหน้ากลับแดงจนเหมือนเลือดจะหยดออกมาได้
สองสามีภรรยาปรึกษาและตัดสินใจเรื่องสินเดิมของเจียงเซี่ยน พอฝางจื่อชิงเข้าไปในวัง ก็กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
ไทฮองไท่เฟยอยู่เป็นเพื่อน นางกับไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตรงหน้าสินเดิมของเจียงเซี่ยนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดสาดส่องไปทั่ว
ไทฮองไทเฮาดึงแว่นสายตายาวที่หนีบอยู่บนสันจมูกลง และตั้งใจมองฝางจื่อชิง
ถึงแม้ใบหน้าที่เต็มอิ่มของฝางจื่อชิงจะปิดบังรอยย่นตรงหางตาไม่ได้ ทว่าสีหน้ากลับอ่อนโยน งดงาม และเยือกเย็น
“บนหน้าของหม่อมฉันมีอะไรผิดปกติหรือเพคะ?” ฝางจื่อชิงที่รู้สึกถึงสายตาของไทฮองไทเฮาเงยหน้าอย่างไม่เข้าใจ และลูบแก้มกับผมของตนเอง
“เปล่า เปล่า” ไทฮองไทเฮาส่งแว่นสายตายาวให้เมิ่งฟางหลิงที่กำลังคัดลอกรายการสินเดิมอยู่ข้างกาย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นทรัพย์สินครึ่งหนึ่งในจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเจ้าใช่หรือไม่? นี่ต้องเป็นความคิดของเจิ้นกั๋วกงอย่างแน่นอน แต่หากเจ้าไม่เห็นด้วย เขาก็ไม่อาจตัดสินใจเช่นนี้ได้เช่นกัน” นางเอ่ยพลางจับมือของฝางจื่อชิง และตบหลังมือของฝางจื่อชิง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าใจดีมาก! ใจดีมาก!”
ฝางจื่อชิงก้มหน้าอย่างลำบากใจ
ทว่าไทฮองไทเฮากลับเอ่ยว่า “พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตามใจนางแบบนี้เช่นกัน บางครั้ง…เงินทองต่างหากที่เป็น ต้นเหตุของหายนะและก่อให้เกิดเรื่องขึ้น เดี๋ยวฟางหลิงคัดลอกรายการเสร็จแล้ว ข้าเลือกสองสามอย่างเป็นสินเดิมให้เป่าหนิงก็พอแล้ว อย่างอื่นพวกเจ้าเก็บไว้ให้อาลวี่ดีกว่า…”
ฝางจื่อชิงร้อนใจขึ้นมา ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง ไทฮองไทเฮาก็โบกมือให้นาง ส่งสัญญาณให้นางว่าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว และเอ่ยว่า “หากพวกเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ไว้เหลนชายของข้าเกิดแล้ว พวกเจ้าค่อยทำให้เป่าหนิง”
ถึงเวลานั้นนางต้องไม่อยู่แล้วอย่างแน่นอน เป่าหนิงก็ยิ่งจำเป็นต้องพึ่งพาจวนเจิ้นกั๋วกง ไปมาหาสู่กันแบบนี้ ไม่ว่าต่อไปเป่าหนิงจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครกล้าเมินนางทั้งนั้น
ฝางจื่อชิงเข้าใจเจตนาของไทฮองไทเฮา นางเพิ่มและลดสินเดิมของเจียงเซี่ยนตามความต้องการของไทฮองไทเฮา จนวันรุ่งขึ้นที่ออกจากวังตานางยังลายอยู่เลย
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มและเอ่ยกับแม่นมคนสนิทที่อยู่ข้างกายว่า “ข้าว่าข้าก็ต้องสวมแว่นตาแบบไทฮองไทเฮาแล้วเหมือนกัน!”
แม่นมคนนี้ตระกูลสามีแซ่หลี เดิมเป็นสาวใช้ที่เป็นสินเดิมของฝางจื่อชิง ตอนหลังแต่งงานกับคนรับใช้ที่สืบทอดตำแหน่งพ่อบ้านของตระกูลเจียงมาหลายรุ่น ทุกคนจึงเปลี่ยนคำเรียกแล้ว ตอนสาวๆ เรียกว่าซ้อใหญ่หลี เวลานี้เรียกว่าแม่นมหลีแล้ว
นางได้ยินก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงแม้แว่นตาจะเป็นของหายาก และข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ข้าได้ยินคนในวังบอกว่า ของชิ้นนี้เป็นของที่แคว้นทางตะวันตกส่งบรรณาการมา เช่นนั้นก็ต้องผ่านกองการค้าต่างประเทศทางทะเล จวนจิ้งไห่โหวอยู่ฝูเจี้ยน แว่นตาคู่หนึ่ง…ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของซื่อจื่อไม่ใช่หรือ!”
ราชสำนักมีกองการค้าต่างประเทศทางทะเลอยู่สามแห่ง ในนั้นก็มีแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่เมืองฝูมณฑลฝูเจี้ยน
เป็นพื้นที่ที่ขึ้นตรงต่อจวนจิ้งไห่โหวพอดี
หากเรื่องราวง่ายแบบนี้ได้ก็ดี
เรื่องที่เจียงเซี่ยนหายตัวไป ฝางจื่อชิงไม่บอกแม้กระทั่งแม่นมหลี
นางอ้ำๆ อึ้งๆ และข้ามเรื่องนี้ไป ทว่าพอกลับไปกลับพบว่าเจียงเจิ้นหยวนอยู่จวน ไม่ได้ไปกองบัญชาการห้าทัพ
นี่เป็นภาพที่พบเห็นได้น้อยมากของเจียงเจิ้นหยวน
ฝางจื่อชิงนึกถึงเจียงเซี่ยนแล้วก็อดที่จะตกใจมากจนหน้าถอดสีไม่ได้ จึงไปที่ห้องหนังสือที่เรือนด้านในของเจียงเจิ้นหยวนทันทีโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
เจียงเจิ้นหยวนกำลังหมุนตัวไปมาอยู่ในห้องเหมือนคนที่ตกอยู่ในทางตัน พอเห็นฝางจื่อชิงมาก็ไล่คนรับใช้ข้างกายออกไปหมด และเอ่ยกับฝางจื่อชิงเสียงเบาอย่างยับยั้งความกังวลไว้ไม่ได้ว่า “สองสามวันนี้ฝ่าบาทยุ่งอยู่กับการปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางจากสำนักราชเลขาธิการที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการแผ่นดินเรื่องภาษีของเจียงซูกับเจ้อเจียง และไม่เคยส่งคนไปที่หมู่บ้านด้วยซ้ำ…”
ฝางจื่อชิงหน้าซีดเผือด และโพล่งออกไปว่า “เช่นนั้นเป่าหนิงไปอยู่ที่ไหน?”
“ไม่รู้” แม้จะเป็นเจียงเจิ้นหยวน สายตาก็ฉายแววงุนงงเล็กน้อยเช่นกัน สี่วันสี่คืนแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเจียงเซี่ยน “ข้าให้คนไปสืบแล้วว่าหลายวันนี้มีใครเคยออกจากเมืองบ้าง…เพียงแต่คนที่เกี่ยวข้องมีมากเกินไป ไม่รู้ว่าจะมีคนที่ทำผิดหนีรอดไปได้หรือไม่…และข้าก็ให้เจียงลวี่ถามจ่างจูแล้วเช่นกัน ดูว่าจะถามอะไรได้บ้างหรือไม่? ส่วนพวกจ้าวเซี่ยวนั้น ข้าก็ให้เขาไปมาแล้วเหมือนกัน…”
หากสามารถถามอะไรได้ก็ถามได้ไปตั้งนานแล้ว ยังจำเป็นต้องรอถึงตอนนี้หรือ?
ฝางจื่อชิงกังวลมาก
เป่าหนิงจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่?
———————————-
[1] ยามห้าย = ช่วงเวลา 21.00-22.59 น. ดังนั้นกลางยามห้าย = 22.00 น.