มู่หนานจือ – บทที่ 162 ระหว่างทาง

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนที่ฝางจื่อชิงคิดถึงอยู่นั้นเวลานี้กำลังนั่งกัดหมั่นโถวกับผักดองอยู่ในป่าตรงชานเมืองที่กว้างโล่งและเปล่าเปลี่ยว

หลิวตงเยว่ปวดใจจนน้ำตาแทบจะร่วงลงมาแล้ว เขาหลับตาให้กำลังใจตนเองอยู่นานมาก ถึงจะใจกล้าเบียดเข้าไปข้างกองไฟที่พวกอวิ๋นหลินพักผ่อน เขาผลักอวิ๋นหลินอย่างระมัดระวัง และเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ท่านอวิ๋น ขอน้ำร้อนหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะชงชาร้อนให้ท่านหญิงของพวกเราดื่มสักถ้วย”

“ไม่ได้!” อวิ๋นหลินปฏิเสธโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ

หลิวตงเยว่รู้สึกไม่สบายใจ ก็ได้ยินอวิ๋นหลินเอ่ยว่า “นายท่านของพวกเรากำชับไว้แล้วว่า ท่านหญิงอยู่ในวังถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก และดื่มแต่น้ำจากภูเขาอวี้เฉวียนเท่านั้น นายท่านกลัวว่าท่านหญิงจะไม่ชินกับอาหารและเครื่องดื่ม จึงตั้งใจบรรจุน้ำจากภูเขาอวี้เฉวียนมาหลายถุงหนังโดยเฉพาะ หากท่านหญิงอยากดื่มชา เจ้าก็เทน้ำจากภูเขาอวี้เฉวียนนั้นแล้วต้มให้ท่านหญิงข้างกองไฟนี้ น้ำที่พวกเราดื่มให้ท่านหญิงดื่มไม่ได้หรอก”

หัวใจที่เหมือนเงียบสงัดของเขามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

หลิวตงเยว่ขอบคุณอวิ๋นหลินหลายครั้ง และใช้กาดีบุกในรถม้าต้มน้ำให้เจียงเซี่ยนหนึ่งกาเล็ก แล้วถือเข้าไปในรถม้า เขาชงชาเหรินฮว่าอิ๋นหาวให้เจียงเซี่ยนกาหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง กินของว่างดีกว่าขอรับ! หมั่นโถวนี้กินคู่กับผักดองแล้วรสชาติดี แต่กินมากไปก็ไม่ได้เช่นกัน จะกระหายน้ำง่าย และบวมง่ายด้วย”

ในความทรงจำของเขา มีครั้งหนึ่งเจียงเซี่ยนเหมือนจะกินผักดองมากไปจนทำให้บวม

“ท่านดื่มชาให้ชุ่มคอสักหน่อยดีกว่าขอรับ?” หลิวตงเยว่เอ่ยพลางยื่นชาไปใกล้มือของเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนโยนหมั่นโถวในมือลงในชามเครื่องลายครามลายพืชน้ำอย่างไม่พอใจ แล้วรับชาที่หลิวตงเยว่ส่งมาไปดื่มสองสามอึก จึงรู้สึกว่าในช่องคอสดชื่นขึ้นมาก

หลิวตงเยว่เห็นแล้วก็อดที่จะเตือนนางไม่ได้ “ท่านหญิง ในเมื่อหลี่เชียนสามารถเอาของว่างมาให้ท่านได้ และยังสามารถนำน้ำแกงไก่ที่มีควันกรุ่นๆ มาได้ด้วย ท่านอยากกินอะไรก็บอกหลี่เชียนก็ได้ ท่านทำแบบนี้ หากไทฮองไทเฮาทรงทราบ ยังไม่รู้ว่าจะเสียพระทัยแค่ไหนนะขอรับ!”

“ไทฮองไทเฮาไม่มีทางรู้หรอก” เจียงเซี่ยนพึมพำ และยื่นถ้วยชาให้หลิวตงเยว่ แล้วยื่นมือออกไป และเอ่ยว่า “เจ้าพยุงข้าหน่อย…วันนี้ข้าไม่ได้ขยับตัวเลย ลุกไม่ขึ้นแล้ว”

หลิวตงเยว่รีบวางถ้วยชาลงและพยุงเจียงเซี่ยนขึ้นมา และเอ่ยอย่างเอาใจใส่ว่า “ท่านจะไปไหนหรือขอรับ? ข้างนอกฟ้าจะมืดแล้ว ข้าได้ยินอวิ๋นหลินบอกว่า ทุกคนพักสักครู่แล้วก็จะออกเดินทางและรีบเดินทางต่อแล้ว” พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไป แล้วกดเสียงให้เบาลง พลางเอ่ยว่า “ท่านหญิง หลี่เชียนไม่อยู่ขอรับ! เมื่อครู่ตอนที่ข้าไป เขาก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไร?”

ตั้งแต่วันที่หลิวตงเยว่เห็นเจียงเซี่ยนขว้างหมอนอิงใบใหญ่ใส่หลี่เชียนเองกับตา ทว่าหลี่เชียนกลับไม่โกรธนั้น เขาก็ไม่ค่อยกลัวหลี่เชียนแล้ว แถมยังกล้าเอ่ยความผิดพลาดของหลี่เชียนลับหลังหลี่เชียนด้วย

หลิวตงเยว่คิดว่า ท่าทีของหลี่เชียนในตอนนี้ต่างหากที่เป็นหน้าที่ที่ขุนนางควรปฏิบัติตาม

เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยสิ่งใด

หลี่เชียนไม่มีทางหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ

หากไม่ไปเตรียมการเดินทางต่อไปก็ต้องเกิดเรื่องบางอย่างที่ไม่คาดฝันขึ้น

ลองคิดดูแล้ว พวกเขาก็รีบเดินทางติดต่อกันมาสองวันแล้ว

นางก็ไม่ได้ลงจากรถม้ามาสองวันแล้วเช่นกัน แม้กระทั่งอยากจะเข้าห้องส้วมก็ต้องจัดการในรถม้าเช่นกัน

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หากพวกเจียงลวี่ตามมาแล้วก็ดี

ตั้งแต่นางออกจากหมู่บ้านจนถึงตอนนี้เกือบห้าวันแล้ว ไร่พืชทางการเกษตรข้างทางยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ และแทนที่ด้วยเนินดินสีเหลืองกับป่าเขาหลายแห่ง

หากนางเดาไม่ผิด แม้พวกเขาจะยังไม่เข้าสู่อาณาเขตของซานซี ทว่าก็อยู่ใกล้ซานซีมากแล้วเช่นกัน

เจียงเซี่ยนมือเท้าแข็งทื่อ กว่าจะลงจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือของหลิวตงเยว่ได้ก็ไม่ง่ายเลย

อวิ๋นหลินกับเหล่าผู้คุ้มกันของหลี่เชียนล้อมวงกันกินเสบียงอยู่ข้างกองไฟ กาดีบุกใบใหญ่ที่ถูกรมจนดำสนิทตั้งอยู่บนกองไฟ

ไม่เห็นหลี่เชียน แล้วก็เด็กอายุสิบห้าสิบหกที่อยู่ข้างกายหลี่เชียนคนนั้น

พอได้ยินเสียง คนที่อยู่ข้างกองไฟก็หันกลับมามอง เมื่อเห็นหลิวตงเยว่ประคองเจียงเซี่ยนยืนอยู่ข้างรถม้า พวกเขาก็พากันหันกลับไปอีก เหมือนเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น

พวกเขากำลังรักษาธรรมเนียม ‘ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันเกินงาม’ อย่างนั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนพึมพำอยู่ในใจ

อวิ๋นหลินวิ่งมาหา

เขาคารวะเจียงเซี่ยนอย่างนอบน้อม และเอ่ยว่า “ท่านหญิงมีธุระอะไรหรือขอรับ?”

“ไม่มีอะไร!” เจียงเซี่ยนมองไปรอบด้าน และสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าแค่ลงจากรถมาเดินเล่นหน่อย”

นี่เป็นป่าเขาที่ธรรมดามาก อาจจะเพราะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว อากาศจึงเริ่มหนาวเย็นแล้ว ระหว่างเขามีหมอกล่องลอยอยู่อย่างเบาบาง ส่วนอากาศก็เปลี่ยนจากแห้งและร้อนในตอนเที่ยงกลายเป็นเย็นสบายและชุ่มชื้นเช่นกัน จึงทำให้รู้สึกสบาย

อวิ๋นหลินได้ยินแล้วก็กลับไปข้างกองไฟ

เหมือนไม่กังวลว่าเจียงเซี่ยนจะหนีหรือร้องขอความช่วยเหลือแม้แต่นิดเดียว

เจียงเซี่ยนก็ถามหลิวตงเยว่เสียงเบา “สร้อยข้อมือลูกประคำของข้ายังอยู่กับเจ้าหรือไม่? คิดหาทางทิ้งเครื่องหมายเอาไว้!”

หลิวตงเยว่ตอบว่า “ขอรับ” อย่างเยือกเย็น

ทั้งสองคนวนรอบสถานที่ที่พักผ่อนสองสามรอบ พอเห็นว่าฟ้ามืดลงมากแล้ว และมียุงที่ไม่รู้ชื่อบินไปมาตรงหน้าพวกเขา ทั้งสองคนจึงรีบขึ้นรถม้า

หลิวตงเยว่ไปต้มน้ำร้อนเข้ามาอีกกา และพอเข้ามาก็บอกนาง “อวิ๋นหลินบอกว่าพวกเราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ขอรับ”

เจียงเซี่ยนพิงหมอนอิงอย่างเกียจคร้านและตอบว่า “อืม”

เสียงจามของม้าดังมาจากข้างนอกสองสามครั้ง

เจียงเซี่ยนรู้ว่า พวกเขากำลังจะเดินทางต่อแล้ว

นางถามหลิวตงเยว่ “หลี่เชียนยังไม่กลับมาหรือ?”

“ยังขอรับ!” หลิวตงเยว่เอ่ยเสียงเบามาก “อวิ๋นหลินกำลังเตรียมการเดินทางต่อไป”

เขาไปทำอะไรกันแน่?

คงจะไม่ได้ถูกเจียงลวี่จับใช่หรือไม่?

บางทีอาจจะเจออันตรายอะไร?

ชาติก่อนไม่มีเรื่องชิงตัวนี่!

เวลานี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่รู้และไม่อาจคาดการณ์ได้

และหลี่เชียนไม่อยู่ รอบกายนางล้วนเป็นคนแปลกหน้า เจียงเซี่ยนทั้งกังวลและลนลาน

มีเสียงฝีเท้าม้าดังมาอย่างกระชั้นชิด ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เจียงเซี่ยนรีบเลิกม่านขึ้นดู

หลี่เชียนกับผู้ติดตามของเขาขี่ม้ากลับมาแล้ว

เจียงเซี่ยนโล่งอก และปล่อยม่านลง

เสียงคุยกันเบาๆ ของหลี่เชียนกับอวิ๋นหลินดังมาจากนอกรถม้า

ไม่นาน หลี่เชียนก็เลิกม่านรถขึ้นและโผล่หน้าเข้ามา แล้วเอ่ยว่า “เป่าหนิง สองวันนี้เจ้าไม่ได้กินอะไรดีๆ เลย ข้าไปเอามันเทศมาจากหมู่บ้านข้างหน้านิดหน่อย และให้คนเคี่ยวโจ๊กมาเล็กน้อย” เขาเอ่ยพลางยื่นไหดินเผาใบเล็กในมือให้หลิวตงเยว่ และเอ่ยว่า “เจ้าดูแลให้ท่านหญิงกินโจ๊กสักหน่อย”

เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก

เขาไปนานขนาดนี้เพื่อไปเอาของกินมาให้นางอย่างนั้นหรือ?

ในใจนางเหมือนคลื่นโหมกระหน่ำซัดสาด ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณแม่ทัพหลี่มาก!”

นางส่งสัญญาณให้หลิวตงเยว่รับของไว้ ทั้งดูไม่ออกว่าดีใจหรือไม่ และดูไม่ออกว่าโกรธหรือไม่ เสียงของนางอ่อนโยน สุภาพและมีมารยาท นางนั่งอยู่ในรถม้าแคบๆ อย่างสงบ แต่กลับดูงดงาม เยือกเย็น เคร่งขรึม และจริงจังราวกับนั่งอยู่ในตำหนักจินหลวน เหมือนสิ่งที่นางรับไม่ใช่โจ๊กไหหนึ่งที่คนบ้านนอกเคี่ยวมา ทว่ากำลังรับของบรรณาการที่ต่างแคว้นนำมาเข้าเฝ้า

หลี่เชียนถอนหายใจเบาๆ ปล่อยม่านรถลง และสั่งให้รถม้าออกเดินทาง

หลิวตงเยว่ถือไหดินเผาอยู่ในมือ เขาเชิดคางขึ้น และชื่นชมเจียงเซี่ยนอย่างรู้สึกเป็นเกียรติและโชคดี “ท่านหญิง ทำถูกแล้วขอรับ! ท่านเป็นผู้ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ หลี่เชียนนั่นเป็นใครกัน? ท่านควรจะไม่สนใจไยดีเขาแบบนี้ ให้เขารู้ว่าท่านหญิงและราชนิกุลที่แท้จริงเป็นอย่างไร อย่าคิดว่าท่านอ่อนโยนและเป็นมิตรกับเขาแล้วก็คุยและหัวเราะต่อหน้าท่านได้ตามใจชอบ!”

เจียงเซี่ยนเพียงแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร

ทว่าหลี่เชียนที่ถูกหลิวตงเยว่ตำหนิอยู่ในใจนั้น เวลานี้กลับขี่ม้าและขมวดคิ้วแน่น พลางมองรถม้าของเจียงเซี่ยน ในดวงตาฉายแววเจ็บปวด

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท