มู่หนานจือ – บทที่ 211 รู้จัก

มู่หนานจือ

ไทฮองไทเฮาเห็นหวังจ้านที่ผอมจนเห็นกระดูกและหน้าตาเซื่องซึมแล้วก็ปวดใจมาก นางรั้งหวังจ้านเอาไว้โดยไม่รอให้หวังจ้านคุกเข่าลงไปคำนับนาง และเอ่ยทันทีด้วยขอบตาแดงเล็กน้อยว่า “เจ้านี่ แค่ตามอาลวี่ออกไปข้างนอก ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? คนที่อยู่ข้างกายไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดีใช่หรือไม่…”

“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ เปล่าพ่ะย่ะค่ะ” หวังจ้านรีบเอ่ย เขายังจำได้ว่าตอนห้าขวบที่เข้าวังมาคารวะไทฮองไทเฮา เขาหกล้มในลานกว้าง คนรับใช้ข้างกายต่างก็ถูกไทฮองไทเฮาโบยอย่างหนักห้าไม้ “ครั้งนี้กระหม่อมรีบเดินทาง จึงไม่ได้พาผู้ติดตามกับเด็กรับใช้ข้างกายไปแม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“ต่อไปห้ามทำแบบนี้แล้วนะ!” หลังจากไทฮองไทเฮาโกรธ ก็รีบสั่งให้ชงชาโสมเข้ามาให้หวังจ้าน และจูงหวังจ้านไปนั่งคุยกันบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง “เจ้าได้พบเป่าหนิงหรือไม่? นางถูกรังแกหรือเปล่า? หลี่เชียน…ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้ากลับมาคนเดียวหรือว่ากลับมาพร้อมอาลวี่? แล้วตอนนี้เป่าหนิงอยู่ที่ใด?”

ไทฮองไทเฮาเอ่ยอย่างต่อเนื่อง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

หวังจ้านเห็นแล้วก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาเล็กน้อยทันที

ทำไมเป่าหนิงต้องแต่งงานกับหลี่เชียน?

ฆ่าหลี่เชียนไม่ได้หรือ?

ที่บอกว่าชอบหลี่เชียนนั่น เขาไม่เชื่อเด็ดขาด

เป่าหนิงอยู่ในห้องทั้งวันและไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนด้วยซ้ำ ส่วนหลี่เชียนเพิ่งเข้าเมืองหลวงหลังจากเทศกาลฉงหยางปีที่แล้ว ตอนหลังเกิดเรื่องของเฉาไทเฮาขึ้นก็ถูกย้ายไปภูเขาวั่นโซ่ว ทั้งสองคนไม่ค่อยได้พบกันด้วยซ้ำ ต้องเป็นเพราะเฉาไทเฮารู้ว่าหลี่เชียนลักพาตัวเป่าหนิงไป จึงยืนกรานว่าเป่าหนิงสมัครใจตามหลี่เชียนไปซานซี และเป่าหนิงก็ใจอ่อนมาโดยตลอด จึงจำเป็นต้องยอมรับการแต่งงานนี้ เพื่อรักษาชีวิตของหลี่เชียนเอาไว้…ไทฮองไทเฮาต้องถูกเฉาเซวียนหลอกแล้วอย่างแน่นอน

เขาอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ไทฮองไทเฮา เหตุใดจึงออกราชโองการแบบนั้นให้เป่าหนิงพ่ะย่ะค่ะ? ส่งพวกเราไปรับนางกลับเมืองหลวงก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องให้นางแต่งงานกับหลี่เชียน?”

ไทฮองไทเฮาตกใจ และรู้ทันทีว่าเจียงเซี่ยนไม่ได้ให้หวังจ้านรู้ด้วยซ้ำว่ายังมีราชโองการอีกฉบับที่สั่งให้หลี่เชียนฆ่าตัวตาย

เพียงแต่นางยังไม่ได้เอ่ยปาก หวังจ้านก็เอ่ยแล้วว่า “เป่าหนิงกลัวว่าพอราชโองการฉบับนั้นออกไป จ้าวเซี่ยวจะเสียหน้า จึงแอบเรียกกระหม่อมไป และให้กระหม่อมเข้าเมืองหลวงเป็นเพื่อนจ้าวเซี่ยวก่อน รอพวกเราจากไปแล้วค่อยอ่านราชโองการ เวลานี้ท่านพี่อาลวี่อยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวงกับเป่าหนิง กระหม่อมกับจ้าวเซี่ยวกลับมาก่อน” เขานึกถึงความท้อแท้ ความเสียใจ ความโกรธแค้น และความผิดหวังตลอดทางมานี้ของจ้าวเซี่ยว เขาเหมือนสัมผัสมาด้วยตนเอง และเอ่ยอีกว่า “พระองค์ทรงเชื่อคำพูดของเฉาไทเฮาได้อย่างไร นาง…นางหวังให้ใต้หล้านี้เกิดความวุ่นวายจนบรรลุเป้าหมายของตนเอง…หากเป่าหนิงไม่รับราชโองการ ตระกูลหลี่ก็มีแต่ตายเท่านั้น…”

ไทฮองไทเฮาฟังแล้วก็มีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย

หลังจากหวังจ้านกลับไป นางเงียบไปนานมาก และถามเมิ่งฟางหลิงว่า “ข้าทำอะไรผิดไปหรือ?”

เมิ่งฟางหลิงไม่เข้าใจ

ไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “ข้ายังจำได้ว่าตอนเด็กเป่าหนิง ร่ายกายไม่แข็งแรง หมอหลวงเถียนก็มักจะให้นางงดอาหาร ทั้งที่นางหิวมาก สองตาจ้องแอปเปิ้ลที่วางและได้กลิ่นหอมอยู่ในห้อง แม้จะขยับขาไม่ได้ แต่กลับไม่เคยขอของกินจากพวกเราเลย” นางพูดไปก็อดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้ “ข้าเลี้ยงนางในวัง แต่กลับไม่ได้เลี้ยงนางให้ดี…นางชอบหลี่เชียน ข้าให้นางแต่งงานกับจ้าวเซี่ยว นางก็ยังเตรียมตัวแต่งงานไปโดยไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว…หลายปีมานี้ เด็กคนนี้อยู่ข้างกายข้าเคยได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบ้างหรือไม่กันแน่?”

“ไทฮองไทเฮาอย่าตรัสเช่นนั้นเพคะ!” เมิ่งฟางหลิงได้ยินแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวตามไปด้วย นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้ไทฮองไทเฮาเช็ดน้ำตา “ท่านหญิงเชื่อฟังและน่าเอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก ใครเห็นต่างก็ชอบ…หากท่านหญิงอยู่ที่นี่ และเห็นไทฮองไทเฮาเสียพระทัยเช่นนี้ จะต้องเสียใจแน่เพคะ!”

ไทฮองไทเฮาพยักหน้า แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหางตา พลางสะอึกสะอื้นและเอ่ยว่า “นางปิดบังแม้กระทั่งอาจ้าน แสดงว่าชอบคนที่ชื่อหลี่เชียนนั่นจริงๆ เสียดายวันนั้นที่หลี่เชียนเข้าวังมาคารวะข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจมองเขา ยังดีที่ไม่ได้ให้จ่างจูแต่งงานกับเขา ไม่อย่างนั้นเป่าหนิงจะเสียใจมากแค่ไหนกัน…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงไป๋ซู่ที่เข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนนาง และเอ่ยว่า “เจ้าไปเรียกจ่างจูมา ข้ามีบางเรื่องต้องถามนางอย่างละเอียด”

เมิ่งฟางหลิงขานรับและจากไป

ไทฮองไทเฮาก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง

เทียบกับความเศร้าเสียใจของวังฉือหนิง จุดแวะพักระหว่างทางที่เจียงเซี่ยนพักนั้นเรียกได้ว่าคึกคักและเสียงดังเอะอะ

เจียงลวี่สั่งให้ขุนนางที่ดูแลจุดแวะพักระหว่างทางเชิญคนครัวที่ดีที่สุดของที่นี่มา และจัดงานเลี้ยงต้อนรับฉีเซิ่งที่จุดแวะพักระหว่างทาง

ตอนที่เขาเป็นแม่ทัพโหยวจีที่ต้าถงนั้น แม้จะเพียงแค่ไปฝึกฝน ทว่ากลับไม่ได้วางมาด เขาดูสุภาพและมีมารยาทแต่ก็ตรงไปตรงมาและใจกว้าง ตั้งแต่ผู้ช่วยที่รับผิดชอบเอกสารราชการจนถึงคนทำอาหารของกองบัญชาการต้าถง ก็ไม่มีใครไม่ชอบเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ติดตามและคนสนิทเหล่านี้ที่ติดตามฉีเซิ่งมาด้วยกัน

ทุกคนเหมือนอยู่ที่กองบัญชาการ แต่ละคนต่างถือเหล้าชามยักษ์ อาหารยังไม่ขึ้นโต๊ะ ก็เริ่มเล่นทายนิ้วกันแล้ว

เจียงเซี่ยนได้ยินเสียงข้างนอกก็อดที่จะกังวลเล็กน้อยไม่ได้ จึงเอ่ยกับฮูหยินฉีว่า “เริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้ ได้หรือ?”

“คนหยาบคายอย่างพวกเขาก็เป็นแบบนี้แหละ” ฮูหยินฉียิ้มและเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “แต่มีท่านพี่อยู่ด้วย พวกเขาไม่กล้าบังคับให้ท่านกั๋วกงน้อยดื่มเหล้าหรอก และท่านกั๋วกงน้อยก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความเหมาะสมเช่นกัน ท่านหญิงวางใจเถอะ” แล้วก็เรียกให้นางกินของว่าง

เจียงเซี่ยนยังอดที่จะวิ่งไปดูไม่ได้ พอเห็นว่าเจียงลวี่ลงมือราบรื่นมาก ส่วนใหญ่บังคับให้คนอื่นดื่ม น้อยครั้งที่เขาจะถูกบังคับให้ดื่ม ถึงจะกลับมานั่งที่ห้องอีกครั้ง

หนึ่งในพี่น้องสกุลฉีก็เอ่ยว่า “ท่านกั๋วกงน้อยเก่งมาก! ข้าไม่เคยเจอคนที่ฉลาดมากกว่าเขาเลย!” ระหว่างที่พูดนั้นนัยน์ตาก็ทอประกายเจิดจ้า

เจียงเซี่ยนนึกถึงน้องสาวของเติ้งเฉิงลู่…

นางอดที่จะแอบด่าเจียงลวี่กับหลี่เชียนในใจไม่ได้

ไปไหนก็ต้องก่อเรื่องทุกที

ชาติก่อนหลี่เชียนปฏิเสธฉีเซิ่งอย่างไร? อ้อ ไม่ได้สร้างเนื้อสร้างตัวจะกล้าแต่งงานได้อย่างไร!

ชาตินี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเคยสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ ทำไมถึงกล้าหลอกให้นางตามเขามาซานซี

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็เม้มปากยิ้มอย่างอดไม่ได้

ถึงเวลานั้นดูสิว่าเขาจะเอาอะไรมาเลี้ยงนาง!

พี่น้องสกุลฉีอีกคนเห็นแล้วก็ยิ้มพลางถามนางว่า “ท่านหญิง ท่านกั๋วกงน้อยหมั้นหรือยัง? ไม่ทราบว่าท่านกั๋วกงจะหาคู่ครองแบบไหนให้เขาหรือ?”

คำพูดนั้นใจกล้ามาก ทว่านางเบิกดวงตาโตที่กลมมาก สายตาใสแจ๋วและใสสะอาด เหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็นคนหนึ่ง จึงไม่ทำให้คนรู้สึกเกลียดแม้แต่นิดเดียว กลับเป็นฮูหยินฉีที่อายและตวาดเสียงดังว่า “ฉีซวง” และเอ่ยว่า “ผู้หญิงอย่างเจ้าสนใจเรื่องพวกนี้ทำไม? ยังไม่นั่งให้เรียบร้อยอีก ดื่มชาของเจ้าไป!”

ที่แท้คนนี้คือฉีซวง เช่นนั้นอีกคนก็คือฉีตาน

เจียงเซี่ยนชอบความตรงไปตรงมาของสองพี่น้อง มีอะไรก็ถาม ไม่ใช่เห็นคนอื่นเป็นคนโง่หมด และแอบใช้แผนสกปรกก่อกวนลับหลัง

นางยิ้มพลางเอ่ยกับฮูหยินฉีว่า “คุณหนูทั้งสองเห็นข้าเป็นพี่น้องถึงเอ่ยเรื่องพวกนี้กับข้า ท่านไม่จำเป็นต้องโกรธ” แล้วก็เอ่ยกับฉีซวงด้วยสีหน้าอ่อนโยนและน่าเข้าใกล้ว่า “ท่านพี่ของข้ายังไม่หมั้น ส่วนจะหมั้นกับคู่ครองแบบไหนนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หากพวกเจ้าสนใจ ไว้ตอนที่ท่านพี่หมั้น ข้าจะบอกพวกเจ้า และพาพวกเจ้าไปเจอพี่สะใภ้ใหม่ของข้าอย่างแน่นอน”

สองพี่น้องต่างหดหู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำหน้ากลัดกลุ้ม และคนหนึ่งก็เอ่ยว่า “คนดีอย่างท่านกั๋วกงน้อย ควรจะหาผู้หญิงที่สวยเหมือนจินย่วนถึงจะถูก” แต่อีกคนกลับเอ่ยอย่างไม่เชื่อว่า “ท่านกั๋วกงน้อยก็ไม่ใช่คนประเภทที่เห็นผู้หญิงสวยแล้วเดินไม่ไหวเสียหน่อย หากจะแต่งงาน…ก็ต้องแต่งงานกับคนที่มีความสามารถเหมือนนายหญิงเซ่าถึงจะถูก”

ฮูหยินฉีกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก จึงตวาดเสียงดังว่า “ฉีตาน ฉีซวง หุบปาก!”

————————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท