หลี่เชียนเพิ่งได้เจอฉีเซิ่งกับเจียงลวี่ตอนอาหารเย็น
“เจ้าหนุ่มรูปร่างดีมากนี่นา!” ฉีเซิ่งมองหลี่เชียนที่ไหล่กว้างขายาวและหน้าตาดูมีชีวิตชีวา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม และถามเจียงลวี่ว่า “นี่บุตรของใครหรือ?”
เจียงลวี่เบ้ปาก และเอ่ยเสียงเบาว่า “บุตรชายคนโตของใต้เท้าหลี่แม่ทัพซานซี!” เขาชะงักไป และเอ่ยอีกว่า “คู่หมั้นของเจียหนานขอรับ!”
แม้เสียงจะเบา แม้น้ำเสียงจะดูถูกและเฉยเมย แต่อย่างไรก็ยอมรับว่าเขาเป็นลูกเขยของตระกูลเจียง
หลี่เชียนยิ้มอย่างสดใส
ทว่าฉีเซิ่งกลับตกตะลึงจนหน้าถอดสี และเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่า…” ท่านหญิงเจียหนานกำลังจะหมั้นกับซื่อจื่อจิ้งไห่โหวหรือ?
เขาฝืนรั้งคำพูดครึ่งหลังกลับไป แล้วคิดถึงที่เจียงเซี่ยนมาปรากฏตัวที่ต้าถงกับเจียงลวี่อย่างแปลกประหลาดมาก…ก็รู้ว่าในนี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างใหญ่หลวง และรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามเรื่องพวกนี้ จึงเปลี่ยนเรื่องทันที และถามหลี่เชียนอย่างสนิทมากว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร? กินอาหารเย็นมาหรือยัง? จะกินด้วยกันหน่อยหรือไม่?”
แน่นอนว่าหลี่เชียนย่อมเอ่ยว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม
เจียงลวี่ตามหลังฉีเซิ่งไปยังสถานที่กินข้าวทันที โดยไม่สนใจเขา
เป็นอย่างที่เจียงเซี่ยนคาดจริงๆ พอฉีเซิ่งเข้าประจำตำแหน่งและกินข้าวก็เริ่มบังคับให้หลี่เชียนดื่มเหล้า หลี่เชียนก็ไม่ถ่อมตัวเช่นกัน เขาดื่มอย่างเต็มที่ ลงไปหลายถ้วย ก็ได้รับความโปรดปรานจากพวกฉีเซิ่ง จากคุณชายหลี่ถึงใต้เท้าหลี่ถึงหลานหลี่ จนกระทั่งดื่มเหล้าไปได้พอสมควรแล้ว ฉีเซิ่งก็ตบอกสัญญากับหลี่เชียน “ต่อไปมีเรื่องอะไรมาหาข้าได้เลย ต่อให้ข้าตัดสินใจให้เจ้าไม่ได้ ก็จะช่วยไปหาหลี่เหยาให้เจ้าได้เช่นกัน”
เวลานี้หลี่เหยาดำรงตำแหน่งราชเลขาธิการตำหนักอู่อิงควบเสนาบดีกรมกลาโหม
เจียงลวี่ได้ยินก็แค่ส่ายหน้า
แต่หลี่เชียนกลับรีบลุกขึ้นยืนขอบคุณ และคารวะฉีเซิ่งอีกถ้วย
กว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เลยยามจื่อไปแล้ว
วันรุ่งขึ้นพวกฉีเซิ่งลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก และออกเดินไปทางต้าถง
—
ทางวังฉือหนิง จ้าวอี้ที่ว่าราชการตอนเช้าเสร็จแล้วกำลังคุยเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮา “…กระหม่อมไปถามเสด็จแม่มาแล้ว เสด็จแม่ตรัสว่า เสด็จแม่ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับเจียหนานเช่นกัน จ้าวเซี่ยวเป็นซื่อจื่อจิ้งไห่โหว แล้วก็เป็นทายาทของราชนิกุล ต่อให้แต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง ก็ไม่มีทางที่จะรั้งเขาไว้ที่เมืองหลวงได้อยู่ดี และเจียหนานเป็นคนใจร้อนเช่นนี้ ฝูเจี้ยนก็ภูเขาสูงตระหง่านแม่น้ำไหลยาวและอยู่ห่างไกล ขุนนางใหญ่ที่ปกครองมณฑลต่างๆ สามปีถึงจะเข้าเมืองหลวงมารายงานการปฏิบัติงานสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจียหนานที่แต่งงานไปอยู่ไกลถึงที่นั่น นางอยู่ที่นั่นถูกรังแกอย่างไรและใช้ชีวิตสุขสบายหรือไม่ หากจวนจิ้งไห่โหวจงใจ พวกเราก็อย่าได้คิดว่าจะได้ยินความจริงแม้แต่ประโยคเดียว”
“เสด็จย่าลองคิดดู เจียหนานเป็นคนที่ท่านประคบประหงมมาจนโต และเป็นน้องสาวที่เติบโตมากับกระหม่อม ถึงเวลานั้นจะต่างอะไรกับการที่นางถูกจิ้งไห่โหวกักบริเวณ?”
“เสด็จย่ายังจำองค์หญิงถงอันธิดาองค์ที่สามของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้หรือไม่?”
“นางยังอยู่เมืองหลวง ผูกคอตายไปสามวันแล้วกรมวังถึงจะได้ข่าว”
“ดังนั้นกระหม่อมจึงรู้สึกว่าเสด็จแม่ก็พูดมีเหตุผลเช่นกัน”
“ฉะนั้นเจียหนานแต่งงานกับหลี่เชียนดีกว่า! ถึงแม้ฐานะของเขาจะไม่ได้มีอำนาจมากนัก แต่บนโลกใบนี้มีใครมีอำนาจมากจนเทียบฐานะของเจียหนานได้ด้วยหรือ?” จ้าวอี้เอ่ยพลางลุกขึ้นไปอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮาและจับมือของไทฮองไทเฮา พลางเอ่ยว่า “กระหม่อมถึงมาปรึกษาเรื่องนี้กับเสด็จย่า”
ท่าทางของเขาจริงใจและจริงจัง หากมองในสายตาของคนอื่นอาจจะซาบซึ้งมาก ทว่าไทฮองไทเฮากลับรู้ว่า เขาไม่ได้ไปพบเฉาไทเฮาเลย และสิ่งที่ทำในหลายวันนี้ก็เย็นชาและไร้ความปราณี ไทฮองไทเฮาจึงอดที่จะระวังตัวขึ้นมาไม่ได้ นางไม่รู้ว่าจ้าวอี้มีความคิดชั่วร้ายอะไรอีก จึงรู้สึกกังวลมาก แต่กลับไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยอย่างจริงจังและระมัดระวังว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรจะปรึกษาหม่อมฉันหรือ? หม่อมฉันอยู่ในวังหลังมานาน แล้วก็อายุมากแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตัดสินใจให้ฝ่าบาทได้หรือไม่!”
“พูดถึงก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน” สีหน้าของจ้าวอี้ถ่อมตัวมากขึ้น ทว่าในดวงตากลับฉายแววได้ใจอย่างเบาบาง นี่ทำให้ไทฮองไทเฮากระวนกระวายมากขึ้น “เจียหนานก็เหมือนน้องสาวของกระหม่อม กระหม่อมทำใจให้นางแต่งงานไปอยู่ที่ไกลไม่ได้จริงๆ จึงอยากแต่งตั้งเจียหนานเป็นองค์หญิง และสร้างจวนองค์หญิงหลังหนึ่งให้นางที่เมืองหลวง เช่นนี้นางก็สามารถอยู่ที่เมืองหลวงได้ตลอดไปแล้ว อยากเข้าวังเมื่อไรก็ได้ และเสด็จย่าก็สามารถเชิญเจียหนานมาพักในวังชั่วคราวได้บ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนเช่นกัน…”
“จริงหรือ?!” พอไทฮองไทเฮาได้ยินก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
คนที่นางเป็นห่วงที่สุดก็คือเจียงเซี่ยน
หากเจียงเซี่ยนสามารถอยู่ข้างกายนางได้ และนางคอยดูแล นางยังจะกังวลอะไรอีก!
ยิ่งกว่านั้นจ้าวอี้ยินดีแต่งตั้งเจียงเซี่ยนเป็นองค์หญิง มอบสิทธิและฐานะทางสังคมขององค์หญิงให้เจียงเซี่ยน และก่อตั้งจวนให้นาง ยังมีอะไรจะดีไปกว่านี้อีก!
ไทฮองไทเฮาอดที่จะจับมือจ้าวอี้ตอบไม่ได้ และเอ่ยอย่างทั้งประหลาดใจและดีใจจนปิดไม่มิดว่า “ฝ่าบาทยินดีแต่งตั้งเจียหนานเป็นองค์หญิงจริงๆ หรือ?”
“แน่นอน!” จ้าวอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างยืนยันมากว่า “เจียหนานเป็นน้องสาวของกระหม่อม กระหม่อมไม่ดูแลนางแล้วจะดูแลใคร? และหลังจากนางเป็นองค์หญิง นอกจากเงินเดือนชินอ๋องแล้วก็ยังได้รับเงินเดือนองค์หญิงอีกด้วย”
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย
แค่สินเดิมจนถึงตอนนี้ของเจียหนานก็พอให้ลูกๆ หลานๆ ของนางใช้จ่ายตามใจชอบไปสามชาติแล้ว
สิ่งที่ไทฮองไทเฮาต้องการคือสิทธิ ชื่อเสียง และเกียรติยศ
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนเจียหนาน!” ไทฮองไทเฮาพอใจกับการจัดการแบบนี้มาก นางรั้งจ้าวอี้ให้อยู่รับประทานอาหารเที่ยงที่วังฉือหนิง และหลังอาหารเที่ยงก็ไปส่งจ้าวอี้ถึงหน้าประตูใหญ่ของวังฉือหนิงด้วยตนเอง หลังจากกลับมาก็ตื่นเต้นจนนอนกลางวันไม่หลับ จึงเรียกไทฮองไท่เฟยกับไป๋ซู่มา ลากพวกนางมาคุยเรื่องนี้ “ฝ่าบาทตรัสว่ายังต้องปรึกษากับกรมวังและกรมพิธีการอีก ต่อให้กรมพิธีการคัดค้านพระประสงค์ของฝ่าบาท เพียงแค่ฝ่าบาทยืนกราน อย่างไรก็ต้องยอม ส่วนทางกรมวังนั้นเกรงว่าจะค่อนข้างพูดยาก เจ้าว่า…ข้าต้องเชิญเจี่ยนหวางเฟยเข้าวังมาคุยกันหน่อยหรือไม่? ไม่อย่างนั้นก็เปลี่ยนบรรดาศักดิ์ของเจียหนานสักหน่อย? ข้ากับฟางหลิงเปิดหนังสือมาแล้ว เจ้าคิดว่าเจียซั่นเป็นอย่างไร? ไม่อย่างนั้นก็เจียงตู? ไท่คัง?”
ไทฮองไท่เฟยยินดีกับไทฮองไทเฮาจนยิ้มไม่หยุด แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันคิดว่าชื่ออะไรก็ได้ ขอเพียงเป็นองค์หญิงก็พอแล้วเพคะ!”
“ข้าคิดว่าเจียซั่นดีกว่า” ไทฮองไทเฮาเอ่ยอย่างมีความสุขมากว่า “ทั้งมีตัวอักษรหนึ่งจากในบรรดาศักดิ์ตอนนี้ของนาง แล้วก็มีความหมายมงคล คุ้มครองให้เป่าหนิงของพวกเราราบรื่น ปลอดภัย และสุขภาพแข็งแรงไปตลอดชีวิต!”
“หม่อมฉันกลับคิดว่าไท่คังก็ดีเหมือนกัน!”
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องบรรดาศักดิ์ของเจียงเซี่ยนอย่างตื่นเต้นดีใจ
แต่ไป๋ซู่กลับอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
ไม่นานไทฮองไทเฮาก็เห็นความผิดปกติของไป๋ซู่ จึงอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “จ่างจู เจ้าดูเหมือนไม่ค่อยดีใจ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือเปล่า?”
ไป๋ซู่คิดแล้วก็ยังเอ่ยตามตรงว่า “หากเจียหนานเป็นองค์หญิง นางก็สามารถสร้างจวนที่เมืองหลวงได้ หม่อมฉันย่อมดีใจกับนางอย่างแน่นอน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่เชียนก็เป็นราชบุตรเขย และตามกฎ ราชบุตรเขยไม่สามารถเข้าวังมาเป็นขุนนางได้ หม่อมฉันเกรงว่า…”
ถึงเวลานั้นเจียงเซี่ยนก็เหมือนนกน้อยที่ถูกหักปีก ถูกขังอยู่ที่เมืองหลวง และทำได้เพียงขยับปีกอยู่ในมือของจ้าวอี้
ไทฮองไทเฮาได้ยินแล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ไป๋ซู่รีบเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮา นี่เป็นเพียงคำพูดของหม่อมฉันคนเดียว บางทีหม่อมฉันอาจจะคิดมากไปก็ได้ ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยมีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง จะต้องมองได้ไกลกว่าและมีความคิดเห็นมากกว่าหม่อมฉันอย่างแน่นอนเพคะ”
“ไม่!” ไทฮองไทเฮาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังและระมัดระวังว่า “เจ้าเตือนข้า!” นางเอ่ยพลางถอนหายใจ และอารมณ์ก็กลายเป็นหดหู่ตามไปด้วย “จ่างจู เจ้าพูดถูกแล้ว! ความมั่งคั่งและมีอำนาจทำให้ดวงตาของคนขุ่นมัว ข้าถูกสถานการณ์ส่วนหนึ่งทำให้สับสน จึงลืมคำพูดนี้ไป ฝ่าบาทไม่ยอมให้เจียหนานแต่งงานกับคนอื่นมาโดยตลอด ถึงจะเป็นจ้าวเซี่ยว เขาก็ยังแทงจ้าวเซี่ยวดาบหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องต้องพูดถึงหลี่เชียน เจียหนานเป็นองค์หญิงแล้ว ย่อมอยู่ที่เมืองหลวงได้ แต่หลี่เชียนที่เป็นราชบุตรเขยนั้น หากแม่นมที่อบรมสั่งสอนไม่เรียก ก็ห้ามเข้าจวนและใกล้ชิดองค์หญิง…”
และแม่นมที่อบรมสั่งสอนก็ล้วนเป็นคนที่ในวังส่งไปยังจวนองค์หญิง เพียงแค่จ้าวอี้ควบคุมได้เหมาะสม หลี่เชียนก็อาจจะไม่ได้เจอเจียงเซี่ยนไปหลายปี