สิ่งที่ไทฮองไทเฮาต้องการคือเจียงเซี่ยนมีครอบครัวอบอุ่น สามีภรรยารักใคร่ปรองดองกัน ไม่ใช่บรรดาศักดิ์หรือเงินเดือน
ใบหน้าของนางฉายแววไม่สบอารมณ์
ห้องอุ่นตะวันออกของวังฉือหนิงกลายเป็นเงียบสงบและอึมครึม
—
เวลานี้เจียงเซี่ยนถึงต้าถงแล้ว
ต้าถงเคยเป็นเมืองหลวง และตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นเป็นต้นมาก็เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ต่อเนื่องกันตามแนวป้องกันของกำแพงเมืองทางภาคเหนือ ราชสำนักตั้งตลาดม้าที่นี่ และมีกองบัญชาการต้าถงตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่นี่ ความเจริญและความคึกคักจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เจียงเซี่ยนเลิกม่านของรถม้าขึ้นมองออกไปข้างนอก
นอกจากป้ายร้านค้าจำนวนมากแล้ว ยังมีหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมลายนกสาลิกาปากดำมากมายกำลังเพลิดเพลินกับแผงลอยข้างทาง แค่เห็นก็รู้ว่าประเพณีพื้นเมืองปราดเปรียวและห้าวหาญมากกว่าเมืองหลวงเสียอีก
นางยังเห็นร้านอาหารที่ขายเนื้อแพะมากมายด้วย
ฉีตานบอกนางว่า “ที่เมืองของพวกเรานี้มีชนกลุ่มทางเหนือมาค้าขายมากมาย เนื้อแพะจึงค่อยๆ เป็นที่นิยมขึ้นมาอย่างแพร่หลาย ร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ‘หอแรก’ ตรงหอกลองถนนตะวันตกกับ ‘แหล่งประกายอัญมณี’ ตรงถนนใต้เล็ก แล้วก็ ‘หมู่บ้านจี่หนาน’ ตรงถนนเหนือใหญ่กับ ‘หอเฟิ่งหลิน’ ตรงตรอกเก้าหอ แต่สองร้านนี้นั้นร้านหนึ่งทำอาหารซานตงอร่อย อีกร้านทำอาหารเหนืออร่อย หากท่านหญิงรู้สึกสนใจ อาหารมื้อเย็นของพวกเราวันนี้ก็สามารถสั่งมาโต๊ะหนึ่งได้”
เจียงเซี่ยนก็รู้สึกสนใจจริงๆ
นางอยากกินเนื้อแพะ แต่ก็กลัวว่าตนเองจะย่อยไม่ได้ จึงลังเลนานมาก แล้วก็ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกินอะไรกันแน่ รถม้าก็จอดที่ประตูข้างของเรือนด้านหลังของกองบัญชาการต้าถงแล้ว
ฮูหยินฉีเอ่ยอย่างรู้สึกเสียใจว่า “ท่านหญิง ท่านกั๋วกงน้อยบอกว่าต้องมีสัมภาระและผู้ติดตามไม่มาก จึงจำเป็นต้องทำให้ท่านหญิงลำบากแล้ว”
กองบัญชาการต้าถงเป็นป้อมปราการสำคัญทางการทหาร นอกเสียจากว่ารับเสด็จ รับราชโองการ แม่ทัพต้าถงคนใหม่รับตำแหน่งใหม่ หรือเหล่าแม่ทัพภาคของกองบัญชาการห้าทัพมาเยือน ไม่อย่างนั้นก็จำเป็นต้องใช้ประตูระหว่างเรือนด้านในกับเรือนด้านนอก
เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าแค่ตามท่านพี่มาเที่ยวเท่านั้น แน่นอนว่ายิ่งเรียบง่ายก็ยิ่งดี ฮูหยินกังวลมากไปแล้ว!”
ฮูหยินฉีไม่พูดอะไรมากอีก นางมองเจียงเซี่ยนด้วยสายตาเมตตา และลงจากรถม้าไปก่อน
ตอนที่เพิ่งพบเจียงเซี่ยนนั้น นางเห็นเจียงเซี่ยนปฏิบัติกับคนอื่นและจัดการเรื่องราวอย่างเงียบสงบมาก ตัวก็เหมือนทำจากกระเบื้องเคลือบ ตาบวมแล้วก็ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ไปเชิญพระหมอยาจากภูเขาอู่ไถมาสอบถามอาการ นางกังวลเล็กน้อยว่านางจะล่วงเกินเจียงเซี่ยนโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าหลายวันนี้ได้พูดคุยกันแล้ว นางก็พบว่าเจียงเซี่ยนภายนอกดูเคร่งขรึมแต่ภายในคอยเป็นห่วงคนอื่นอยู่เสมอ เจียงเซี่ยนไม่เพียงแต่ปฏิบัติกับคนอื่นและจัดการเรื่องราวอย่างสุภาพเรียบร้อย ทว่ายังใจกว้าง อ่อนโยน และมีมารยาทมากด้วย คนข้างกายทำงานพลาด ก็ไม่เคยตวาดด่าเสียงดังหรือลงโทษ ทว่ามอบให้หลิวตงเยว่สั่งสอนอย่างละเอียดทั้งหมด นิสัยดีกว่าสตรีที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายที่นางเคยพบ และได้รับการปลูกฝังเรื่องการปฏิบัติกับคนอื่นและจัดการเรื่องราวอย่างถูกต้อง กับของที่ชอบก็บอกตามตรงว่าชอบ ของที่ไม่ชอบก็บอกตามตรงว่าไม่ชอบ พอได้คบหากันแล้วก็เรียบง่ายและจริงใจ ทำให้คนอยู่ด้วยแล้วสบายใจมากเหมือนอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
นางจึงไม่เกรงใจเจียงเซี่ยนเช่นกัน ถึงตานางนำหน้าก็นำหน้า ถึงตานางถอยหลังก็ถอยหลัง ทุกคนต่างเข้ากันได้ดีมาก
หลิวตงเยว่ประคองเจียงเซี่ยนลงจากรถม้า แล้วก็เห็นสวนผักที่เพิ่งจะพรวนดิน บางคันดินยังมีต้นกล้าข้าวงอกออกมาเล็กน้อยด้วย
ฮูหยินฉีรีบเอ่ยว่า “นี่เป็นผักที่ท่านแม่ปลูก”
เจียงเซี่ยนถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ฮูหยินฉีเพิ่งจะตามแม่สามีมาพึ่งพาฉีเซิ่งหลังจากบิดาของฉีเซิ่งเสียชีวิตแล้ว แต่มารดาของฉีเซิ่งเป็นเพียงเกษตรกรหญิงในชนบทคนหนึ่ง
เป็นครั้งแรกที่เจียงเซี่ยนได้เห็นสวนผักสดๆ
ชาติก่อนตอนที่นางเป็นไทเฮาก็เคยไปปลูกพืชที่หอสักการะดินเช่นกัน ทว่านั่นก็เพียงแค่ประคองคราดเดินสองสามก้าวเท่านั้น จะเทียบกับสิ่งที่น่าสนใจตรงหน้าได้อย่างไร
“ฮูหยินเฒ่าปลูกอะไรบ้างหรือ?” นางถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ข้าได้ยินว่าผักที่ปลูกในสวนผักล้วนออกผลตอนหน้าร้อน เช่นนั้นตอนหน้าร้อนพวกเจ้าก็กินผักที่ปลูกในสวนผักนี้ใช่หรือไม่?”
ตระกูลฉีเพิ่งจะกลายเป็นมั่งคั่งและมีอำนาจมากขึ้นหลังจากฉีเซิ่งช่วยเจียงเจิ้นหยวน แม้ตระกูลฉีจะมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ตอนที่ฮูหยินฉีอยู่ที่บ้านเกิดก็ปลูกผักที่สวนด้านหลังบ้านตนเองเช่นกัน นางจึงเชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ปลูกพวกแตงกวา น้ำเต้า พริกหวาน และบวบฝรั่ง” แล้วชี้ให้เจียงเซี่ยนดูว่า แต่ละอย่างอยู่ตรงไหน
ในมุมมองของเจียงเซี่ยนทั้งหมดเป็นดินผืนหนึ่ง จึงแยกไม่ออกเช่นกันว่าอะไรเป็นอะไร นางพยักหน้าอย่างลวกๆ และเสนอว่าจะไปเยี่ยมฮูหยินเฒ่าฉีกับฮูหยินฉี
ฮูหยินฉีรีบเอ่ยว่าไม่กล้า และบอกว่า “จะให้ท่านหญิงไปเยี่ยมซูเหรินได้อย่างไรกัน”
ฮูหยินเฒ่าฉีเป็นซูเหรินระดับสาม ฮูหยินฉีเป็นหรูเหรินระดับเจ็ด ทว่าต่างก็เรียกว่าฮูหยิน เพื่อแสดงความเคารพและประจบประแจงเท่านั้น
เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หากฮูหยินเห็นข้าเป็นท่านหญิง ข้าก็จะกลับห้องพักแขก และรอฮูหยินเฒ่ามาเยี่ยมข้า หากเห็นข้าเป็นหลานสาวที่สนิทสนมกันมากจนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ก็พาข้าไปคารวะฮูหยินเฒ่า”
ฮูหยินฉีลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ยิ้มพลางขานรับอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า “ได้” และพาเจียงเซี่ยนไปเรือนตะวันออกที่ฮูหยินเฒ่าอาศัยอยู่
ปีนี้ฮูหยินเฒ่าอายุห้าสิบสี่ปีแล้ว แต่กลับผมดำทั้งศีรษะ ร่างกายแข็งแรง และยิ้มอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา นางไม่สนเช่นกันว่าเป็นท่านหญิงหรือไม่ นางจับมือของเจียงเซี่ยนแล้วเรียกว่า “แม่หนู” และเอ่ยว่า “ผิวเนียนเกลี้ยงเกลาและขาวนวลเช่นนี้ ทำไมถึงตามพี่ชายของเจ้ามาต้าถง? ตลอดทางมานี้คงลำบากใช่หรือไม่? รีบเข้าไปพักผ่อนในเรือนของข้าสักครู่ ข้าจะให้คนทำขนมหวานให้เจ้ากิน”
ฮูหยินฉียิ้มพลางห้ามฮูหยินเฒ่า “ท่านแม่ ท่านหญิงเพิ่งจะมาถึงเมืองของพวกเรา ข้าจะพานางกลับไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และพักผ่อนสักครู่ก่อน แล้วตอนเย็นค่อยมารับประทานอาหารเย็นกับท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินเฒ่าได้ยินก็เอ่ยทันทีว่า “เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักที่ห้องก่อน และค่อยให้ต้ายากับเอ้อยามาเล่นเป็นเพื่อนเจ้าตอนที่ว่าง”
ฉีตานกับฉีซวงได้ยิน สีหน้าก็หม่นหมองพร้อมกัน และเอ่ยว่า “ท่านย่า บอกท่านตั้งกี่ครั้งแล้วว่า พวกเราไม่ได้ชื่อต้ายากับเอ้อยา ชื่ออาตานกับอาซวง!”
ฮูหยินเฒ่าไม่สนใจเด็กสาวทั้งสองสักนิด และเร่งให้เจียงเซี่ยนรีบไปพักผ่อน
เด็กสาวทั้งสองเบ้ปากและไปห้องพักแขกเป็นเพื่อนเจียงเซี่ยน
ห้องพักแขกเก็บกวาดไว้สะอาดมาก เครื่องเรือนทาสีดำทั้งแถบ ม่านสีเขียวเหมือนขนนกแก้วที่แขวนอยู่ข้างวงกบประตูไม้แกะสลักลายสวัสดิกะในห้องใหม่มาก และยังเหลือร่องรอยที่เคยรีดอยู่ ดอกเหมยสองดอกปลิวเอียงออกมาในไหเครื่องเคลือบสีขาวบนโต๊ะชา ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลในอากาศ ทำให้คนเห็นแล้วอดที่จะใจเต้นเล็กน้อยไม่ได้ และแอบชื่นชมคนที่ตกแต่งห้องนี้ที่ตั้งใจเป็นพิเศษ
“ขอบคุณฮูหยินมาก!” เจียงเซี่ยนขอบคุณฮูหยินฉีอย่างจริงใจ
ฮูหยินฉีแสดงความเกรงใจอยู่พักหนึ่ง และเรียกหญิงสาวที่จัดให้ดูแลที่นี่เข้ามาคุกเข่าคำนับเจียงเซี่ยน และพาลูกสาวทั้งสองคนจากไป
ในที่สุดเจียงเซี่ยนก็ได้สระผมอย่างสบายใจ เปลี่ยนเป็นเสื้อชั้นในผ้าแพรสีขาวที่ใส่ในยามปกติ พิงเก้าอี้กุ้ยเฟย[1]อย่างสบายๆ และให้สาวใช้ช่วยบีบผมให้แห้ง
หลิวตงเยว่เข้ามารายงานว่า “ใต้เท้าฉีจัดให้คุณชายใหญ่กับใต้เท้าหลี่อยู่เป็นเพื่อนกันที่ห้องพักแขกทางตะวันตก ตอนเย็นใต้เท้าฉีเรียกพวกผู้บัญชาการ แม่ทัพโหยวจี และรองผู้บัญชาการของกองบัญชาการมาเลี้ยงรับคุณชายใหญ่กับใต้เท้าหลี่ ส่วนพรุ่งนี้จะเชิญใต้เท้าหลี่ไปดูการฝึกของกองบัญชาการต้าถงขอรับ”
ทำให้หลี่เชียนค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในกองบัญชาการต้าถงแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ถึงแม้ทางอวี๋หลินจะมีตลาดม้าเหมือนกัน แต่ก็เป็นตลาดมืด ไม่เหมือนตลาดม้าของต้าถงกับเมืองเซวียนที่ราชสำนักเป็นคนเปิด หลี่เชียนอยากได้กองทัพที่แข็งแกร่ง นอกจากตลาดม้าของอวี๋หลินแล้ว ตลาดม้าของต้าถงกับเมืองเซวียนก็น่าจะติดต่อให้มากหน่อยเช่นกัน
หลังจากเจียงเซี่ยนรับประทานอาหารเย็นกับสมาชิกในครอบครัวที่เป็นสตรีของตระกูลฉีแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องทันที
ตอนที่ตื่นมาวันรุ่งขึ้นหลี่เชียนกับเจียงลวี่ก็ตามฉีเซิ่งไปที่สนามฝึกแล้ว
ปิงเหอเด็กรับใช้ของหลี่เชียนเข้ามาคารวะเจียงเซี่ยน และบอกว่าเมื่อคืนกว่างานเลี้ยงจะเลิกก็ดึกดื่นเที่ยงคืน เรือนด้านในจึงลั่นดาลแล้ว วันนี้ก็ถูกฉีเซิ่งเรียกไปแต่เช้าอีก “…นายท่านให้ข้ามาถามท่านหญิงว่าเมื่อคืนหลับสบายหรือไม่? มีตรงไหนไม่สบายตัวหรือไม่? มีของที่ต้องซื้อเพิ่มหรือไม่? ใต้เท้าฉีบอกว่าพรุ่งนี้จะพานายท่านไปดูตลาดม้า คิดว่าสองสามวันนี้คงจะไม่ว่างเลย หากท่านหญิงต้องการอะไร ให้พี่ตงเยว่สั่งข้าก็ได้ขอรับ”
————————————–
[1] เก้าอี้กุ้ยเฟย เก้าอี้ยาวที่มีที่วางแขนข้างหนึ่งและสามารถเอนนอนได้