มู่หนานจือ – บทที่ 216 กะทันหัน

มู่หนานจือ

ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ หลี่เชียนก็ชอบยุ่งพวกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของนาง เจียงเซี่ยนจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก และมอบปิงเหอให้หลิวตงเยว่ “ฮูหยินฉีใส่ใจและดูแลทั่วถึงมาก ที่ข้าไม่มีอะไรไม่สะดวกสบาย ในเมื่อหลี่เชียนให้เจ้าติดตามหลิวตงเยว่ เจ้าก็ติดตามหลิวตงเยว่แล้วกัน เจ้าก็จะได้มีคนให้เรียกใช้ด้วย” ประโยคสุดท้ายนั้นเอ่ยกับหลิวตงเยว่

ปิงเหอได้ยินแล้วก็เกือบจะร้องไห้

คิดว่าเขาถูกเลือกมาจากบรรดาเด็กรับใช้มากมาย กว่าจะเข้าตานายท่านได้ก็ไม่ง่ายเลย ถูกพ่อบ้านส่งไปอยู่ในเรือนของนายท่าน ก็ทำตัวฉลาดหลักแหลม ระมัดระวังมาก และไม่เคยเกิดความผิดพลาด ที่ตระกูลหลี่แม้แต่บ่าวรับใช้ก็ยังมีลำดับขั้นเช่นกัน ทว่าเวลานี้กลับถูกนายท่านโยนไปให้เด็กรับใช้ของท่านหญิงเรียกใช้…กว่านายท่านกับท่านหญิงจะแต่งงานกัน ยังมีวันที่เขาลืมตาอ้าปากได้ที่ไหนกัน!

เขายังคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้เป็นพ่อบ้านของตระกูลหลี่ด้วย!

หลิวตงเยว่ยิ้มและพาคนออกไป

เขาเป็นขันที เจียงเซี่ยนยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะใช้เขา และราชสำนักก็ไม่อนุญาตให้ชนชั้นสูงมีขันทีส่วนตัว หลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนจึงต่างบอกคนนอกว่าหลิวตงเยว่เป็นเด็กรับใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเจียงเซี่ยนเท่านั้นอย่างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพื่อรักษาชีวิตของหลิวตงเยว่เอาไว้ แล้วก็เพื่อหลีกเลี่ยงพวกสายตาที่อยากรู้อยากเห็นและปัญหา พวกฮูหยินฉีเรียกหลิวตงเยว่ว่า ‘ตงเยว่’ ส่วนคนเช่นปิงเหอก็จะเรียกเขาอย่างเคารพว่า ‘พี่ตงเยว่’

มีหญิงรับใช้ทักทายหลิวตงเยว่ตลอดทาง

หลิวตงเยว่อมยิ้มและพยักหน้า เขาพอใจกับชีวิตในตอนนี้มาก

ส่วนเจียงเซี่ยนนั้นมีฉีตานกับฉีซวงอยู่เป็นเพื่อน ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะกัน พวกนางเล่าเรื่องตลกในวงราชการของซานซี ทำให้เจียงเซี่ยนเข้าใจขุนนางซานซีใหม่ทั้งหมด

ผ่านไปห้าหกวัน ในที่สุดงานสังคมของหลี่เชียนกับเจียงลวี่ก็เริ่มน้อยลง หลี่เชียนจึงมาเยี่ยมนาง

“จะออกไปเดินสักหน่อยหรือไม่?” เขามองเจียงเซี่ยนพลางเอ่ยว่า “ในตลาดของที่นี่มีเครื่องประดับชิ้นเล็กของชนกลุ่มน้อยทางเหนือขายมากมาย และต่างก็มีเอกลักษณ์มาก ที่เมืองหลวงหายากมาก และที่นี่ก็อยู่ใกล้ภูเขาเหิงมากเช่นกัน พระเต้าเหยี่ยนเคยอยู่ที่นั่นสิบปี…”

เจียงเซี่ยนเห็นเขาพูดจาอย่างใจลอย สายตาเกาะติดอยู่แต่บนหน้านาง ก็อดที่จะเอ่ยอย่างหงุดหงิดไม่ได้ว่า “เจ้ามองข้าทำไม?”

ใครจะรู้ว่าหลี่เชียนกลับเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าดูว่าตาของเจ้าหายบวมหรือยัง? ดูเหมือนพระหงอีนั่นยังมีตบะอยู่บ้าง ตาของเจ้าหายบวมแล้ว แสดงว่าหลายวันนี้เจ้าพักผ่อนได้ไม่เลว ที่ปิงเหอบอกว่าเจ้าสบายดีทุกอย่าง ก็ไม่ได้บอกข้าอย่างขอไปทีเช่นกัน”

คำพูดธรรมดาทั่วไปไม่กี่คำ กลับปรากฏความใส่ใจอย่างลึกซึ้ง ทำให้หน้าของเจียงเซี่ยนร้อนผะผ่าวอย่างบอกไม่ถูก

หลี่เชียนถามนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หลายวันนี้เจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ถูกคอกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลฉีมากหรือ?”

“พอใช้ได้!” เจียงเซี่ยนไม่อยากเอ่ยถึงสองพี่น้องสกุลฉีต่อหน้าหลี่เชียนมากนักโดยไม่รู้ตัว นางตอบสองสามคำอย่างคลุมเครือ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องทันที “ได้ยินว่าหลายวันนี้ใต้เท้าฉีพาเจ้าวนรอบต้าถง ได้อะไรมาหรือไม่?”

“รู้จักคนในวงราชการของต้าถงจำนวนหนึ่ง” หลี่เชียนเอ่ยอย่างเฉยชา ทว่าตอนที่เอ่ยถึงเรื่องการฝึกทหารของฉีเซิ่งนั้น ดวงตาก็สดใสขึ้นมา “เขาตั้งมั่นรักษาการณ์ที่ต้าถงมาสิบห้าปีแล้ว นอกจากปรับปรุงดาบพิชิตอาชาใหม่ ก็ยังเผยแพร่วิชาดาบในกองทัพ เพื่อโจมตีกองทัพศัตรูให้ออกไปโดยเฉพาะด้วย ตอนทำสงครามก็สามารถโจมตีเกือกม้าได้เช่นกัน จึงจัดการทหารม้าของชนกลุ่มน้อยทางเหนือได้ดีมาก ข้าเคยเอ่ยกับอวิ๋นหลินสองครั้ง ว่าให้เขาคิดหาทางเรียนรู้วิชาดาบแบบนี้และไปเผยแพร่ภายใต้การปกครองของท่านพ่อ…”

เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนอย่างไม่ละสายตา

ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ หลี่เชียนจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ

บางครั้งนางรู้สึกว่าที่ตนเองพยายามไกล่เกลี่ยข้อราชการมากมายในอดีต เป็นเพราะความมั่นใจในตนเองที่หลี่เชียนมักเผยออกมาตอนที่กำลังเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ

ไป๋ซู่เคยบอกว่า นี่ก็คือความทะเยอทะยานอย่างหนึ่ง

แต่ทะเยอทะยานมากแล้วไม่ดีตรงไหน?

หากรู้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการคืออะไร ก็เป็นความสุขแบบหนึ่งไม่ใช่หรือ

อย่างนางกับหลี่เชียนนั้น เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ ดังนั้นจึงมักจะใช้ชีวิตอย่างสับสนวุ่นวาย

ทั้งสองคนคนหนึ่งพูดคนหนึ่งฟังอยู่ตรงนั้น ทว่าบรรยากาศกลับดีมาก

เซียงเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตูชั่วครู่ ถึงจะเดินเข้าไปอย่างแผ่วเบา และรายงานเสียงเบาว่า “ท่านหญิง นายท่าน แม่นมข้างกายฮูหยินฉีมาบอกว่า ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงกับท่านหญิงชิงฮุ่ยมาต้าถง จึงให้พวกเราช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่าน อย่างมากที่สุดอีกสองเค่อทั้งสองท่านก็จะเข้าจวนแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” เจียงเซี่ยนตกใจ “ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงกับท่านหญิงชิงฮุ่ยมาต้าถง?”

“เจ้าค่ะ!” เซียงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าทำไมเจียงเซี่ยนถึงตกใจ จึงรีบเอ่ยว่า “แม่นมข้างกายฮูหยินฉีบอกว่า ใต้เท้าฉีกับท่านกั๋วกงน้อยเพิ่งจะได้ข่าว ใต้เท้าฉี ท่านกั๋วกงน้อย และฮูหยินฉีไปต้อนรับที่หน้าประตูเมืองแล้ว ส่วนคุณหนูทั้งสองของตระกูลฉีกำลังแต่งตัวอยู่ในห้องเจ้าค่ะ”

“พวกนางมาได้อย่างไร?” เจียงเซี่ยนพึมพำ ในใจแอบรู้สึกว่าเกิดเรื่องขึ้นในเมืองหลวง แล้วก็รีบตะโกนเรียกหลิวตงเยว่เสียงดัง ให้เขารีบไปที่หน้าประตูเมือง

หลิวตงเยว่ก็ว้าวุ่นใจเช่นกัน และวิ่งเหยาะๆ ออกไปจากห้องโถง

จุ้ยเอ๋อร์กับชีกูยกน้ำและหยิบพวกผ้าเช็ดหน้ากับสบู่เดินเข้ามา

หลี่เชียนปลอบใจเจียงเซี่ยน “ใจเย็นๆ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นย่อมมีทางแก้ไข”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า พอมองใบหน้าที่เยือกเย็นของหลี่เชียนก็รู้สึกสบายใจเล็กน้อย

หลี่เชียนจึงหลบไป พอออกจากห้องโถงก็เรียกเว่ยสู่มาทันที “เมืองหลวงเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ ฮูหยินฝางกับท่านหญิงชิงฮุ่ยถึงมาต้าถง? ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่ได้ข่าวแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ?”

เว่ยสู่แลดูลำบากใจเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่า พ่อบ้านกับเสมียนสองคนของเจิ้นกั๋วกงออกจากจวนและมาทางตะวันตก พวกเรายังคิดว่าพวกเขาจะมาจัดการพวกทรัพย์สินของจวนเจิ้นกั๋วกงที่ต้าถง จึงไม่ได้ใส่ใจ…ใครจะรู้ว่ากลับเป็นฮูหยินฝางกับท่านหญิงชิงฮุ่ย…”

นั่นก็หมายความว่า พวกนางแอบออกจากเมืองหลวง

เรื่องอะไรกันที่ทำให้พวกนางแอบออกจากเมืองหลวงได้?

หลี่เชียนเริ่มกังวลเล็กน้อย

แต่กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน พวกเขาไม่ได้ข่าวล่วงหน้า ก็ทำได้เพียงรอข่าว

เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ และไปที่หน้าประตูเมืองเป็นเพื่อนเจียงเซี่ยน

พวกเขาเจอรถม้าของฮูหยินฝางระหว่างทาง

ฮูหยินฝางเหมือนนำของมาเยอะมาก หลี่เชียนดูคร่าวๆ แล้ว มีรถม้าไม่ต่ำกว่ายี่สิบคัน เหมือนย้ายบ้าน

หลี่เชียนหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ฮูหยินฝางเลิกผ้าม่านขึ้นและให้เจียงเซี่ยนนั่งรถม้าของนางไปกองบัญชาการด้วยกัน ทว่าสายตากลับวนเวียนอยู่กับหลี่เชียน

หลี่เชียนรู้ว่าคนของตระกูลเจียงกำลังมองเขาอยู่ จึงยืดตัวตรง ท่วงท่าในการขี่ม้าสง่างามและองอาจ จนทำให้ฮูหยินฝางอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเบาบางไม่ได้

หน้าตาไม่เลว ตอนที่มองเจียงเซี่ยนในดวงตาก็มีแต่รอยยิ้ม เวลานี้ก็น่าจะรักเป่าหนิงจริงๆ เช่นกัน

ฮูหยินฝางปล่อยม่านรถลง

เจียงเซี่ยนก็กอดแขนของฮูหยินฝาง และแสร้งทำเป็นโกรธว่า “ทำไมจู่ๆ ท่านถึงมาต้าถงล่ะเจ้าคะ? ก่อนหน้านี้ก็ไม่ส่งคนมาบอกสักหน่อย ไทฮองไทเฮาสบายดีหรือไม่? ท่านลุงสบายดี…”

“ทุกคนสบายดี!” ฮูหยินฝางมองแก้มที่ผิวพรรณดีของเจียงเซี่ยน และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าว่าเจ้าวิ่งเต้นมาตลอดทางนี้ กลับมีชีวิตชีวากว่าตอนอยู่ในวังเสียอีก”

กำลังหัวเราะเยาะนางที่ถูกหลี่เชียนหลอกพาหนีหรือ?

เจียงเซี่ยนรู้สึกละอายใจจนเหงื่อตก แต่ปากกลับไม่ให้อภัยคน นางหัวเราะพลางล้อเล่นว่า “วิ่งอยู่ข้างนอก ร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว!”

“จริงหรือ?!” คำพูดของฮูหยินฝางแฝงความหยอกล้อ

เจียงเซี่ยนร้อนตัว จึงไม่กล้าหยอกฮูหยินฝางเล่นต่อ นางมองไป๋ซู่ที่เงียบไม่พูดไม่จามาตลอด และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมเจ้าถึงตามท่านป้ามาด้วยล่ะ?”

ไป๋ซู่เป็นผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานนะ!

นางอมยิ้มและเอ่ยว่า “ข้ามาเป็นเพื่อนฮูหยิน”

ทว่ากลับไม่เห็นความสุขของนางในน้ำเสียงแม้แต่น้อย

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท