สุดท้ายเจียงลวี่ก็ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้อยู่ดี
เพราะตระกูลหลี่มามอบสินสอดแล้ว
บนหีบสินสอดที่ทาสีแดงวาดลายสีทองปูกระดาษคำว่า ‘มงคล’ แผ่นใหญ่ เงินหยวนเป่า[1]ที่ขาวราวกับหิมะและทองอร่ามก่อเป็นเจดีย์รูปทรงอ้วนและกลมอยู่บนหีบสินสอด ถูกเด็กรับใช้ที่สวมชุดสำหรับใส่ในงานแต่งงานเดินหามเข้าไปในกองบัญชาการต้าถงเป็นแถวยาวเหยียด
ภายใต้แสงอาทิตย์ เงินหยวนเป่าทองและเงินหยวนเป่าเงินเหล่านั้นเจิดจ้าจนสายตาคนเป็นประกาย
ชาวบ้านที่มุงดูโอบล้อมซ้อนกันหลายชั้นและแอบซุบซิบกันอยู่หน้าประตูกองบัญชาการต้าถง
“ดูเร็ว ดูเร็ว! มีทองสองพันตำลึงกับเงินห้าหมื่นตำลึงจริงๆ!”
“เจ้านับแล้วหรือ?” มีคนสงสัย “ไม่แน่สิ่งที่รองอยู่ก้นหีบสินสอดนี้อาจจะเป็นกระดาษก็ได้! ตอนที่ตระกูลหวังข้างบ้านพวกเราแต่งสะใภ้ บอกว่ามีสามสิบหกหีบ สุดท้ายในหนึ่งหีบมีของแค่สามชิ้น…”
มีคนโต้แย้ง “ข้าเคยเป็นลูกจ้างร้านขายเครื่องประดับเงินทอง แค่เห็นก็รู้ว่าทั้งหมดเป็นเงินหยวนเป่าหีบละยี่สิบห้าตำลึง เจ้าลองนับจำนวนหีบดูอีกที มันไม่มีทางปลอมได้”
“ที่อยู่ข้างหน้าเข้าไปในกองบัญชาการแล้ว ที่อยู่ข้างหลังแถวยาวไปถึงถนนตะวันตก มีกี่หีบกันแน่ มีใครได้นับหรือไม่”
“ก่อนหน้านี้นับแล้ว ตอนหลังฟังพวกเจ้าคุยกัน ก็ลืมไปแล้วว่าหามเข้าไปเท่าไรแล้ว”
“ถึงอย่างไรสินสอดก็เยอะมาก” มีคนเอ่ยว่า “ไม่เคยเห็นสินสอดมากมายเช่นนี้ที่ต้าถงมาก่อน”
มีคนเอ่ยต่อว่า “เกรงว่าแม้แต่ไท่หยวนก็คงจะเห็นได้น้อยเช่นกัน มีแต่ตระกูลของโหวกับป๋อในเมืองหลวงแต่งลูกสาว ถึงจะจัดหรูหราแบบนี้ได้”
“ตระกูลของโหวกับป๋อแต่งลูกสาวไม่เท่าไรหรอก ข้าได้ยินว่าท่านหญิงมีสินเดิมสิบล้านตำลึง ตระกูลหลี่รวยแล้ว!”
“ทำไมข้าได้ยินว่ามีสิบห้าล้านตำลึง! เห็นว่าตอนหลังไทฮองไทเฮาให้คนส่งเงินขวัญถุงมาอีกห้าล้านตำลึง”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง! ทำไมข้าได้ยินว่าท้องพระคลังมีเงินแค่ห้าล้านตำลึง? อีกไม่นานฝ่าบาทก็น่าจะอภิเษกสมรสแล้วกระมัง? มอบเงินในท้องพระคลังให้เป็นสินเดิมแก่ท่านหญิงหมด แล้วตอนฝ่าบาทอภิเษกสมรสจะทำอย่างไร? หรือว่ายังจะเพิ่มภาษีที่นาอีกอย่างนั้นหรือ?”
พอเอ่ยออกมาแบบนี้ ทุกคนต่างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่
แล้วก็มีคนเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่รู้หนังสือจึงอ่านสำเนาเอกสารราชการไม่ออก แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้แต่ตะโกนมั่วซั่ว ฝ่าบาทอภิเษกสมรสกับท่านหญิงออกเรือน เงินทั้งหมดมาจากกรมวัง ก็หมายความว่ามาจากท้องพระคลังเล็กของฝ่าบาทเอง ไม่เกี่ยวกับท้องพระคลังแม้แต่นิดเดียว แต่ปีนี้อากาศหนาวในฤดูใบไม้ผลิยาวนานเกินไป ในทุ่งหญ้ามีพืชน้ำมากมาย ปีนี้น่าจะไม่ทำสงครามแล้ว”
หัวข้อสนทนาจึงถูกดึงให้เบนไปทางอื่นแล้ว
—
ซุนซื่อติ่งสวมเสื้อคลุมยาวที่บุซับในสำหรับใส่ในฤดูร้อนสีฟ้าธรรมดา และสวมหมวกสักหลาดสีดำยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน ยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งดูแย่ เขาเบียดออกมาจากฝูงชน โดยไม่รอให้ขบวนมอบสินสอดของตระกูลหลี่เดินเสร็จ ผ่านตรอกแคบเส้นหนึ่ง มายังถนนตะวันตกที่มีคนมากมาย ผ่านเข้าไปในตรอกที่อยู่ตรงข้าม และเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ลับตาคนและเงียบสงบ
บัณฑิตชุดสีดำคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่ห้องหลักของโรงเตี๊ยม
พอเห็นเขาก็ประสานมือคารวะ และเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ทว่าซุนซื่อติ่งกลับไม่ได้วางตัวสบายๆ เหมือนบัณฑิตคนนั้น เขาเรียกบัณฑิตคนนั้นอย่างนอบน้อมก่อนว่า “ท่านเจิ้ง” แล้วถึงเอ่ยว่า “มีทองสองพันตำลึงกับเงินห้าหมื่นตำลึงจริงๆ และยังมีเครื่องประดับเงินทองที่เป็นกล่อง ขนมมงคลลายมังกรกับหงส์ ผลไม้มงคล คำนวณทั้งหมดแล้ว ข้าว่าสินสอดนั้นไม่สองแสนตำลึงก็หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง”
“มากขนาดนั้นเชียว!” ท่านเจิ้งอึ้งไป
สีหน้าของซุนซื่อติ่งหม่นหมองลง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าหลี่เชียนฆ่าพวกคนที่พยายามจะปล้นสินสอดหมดแล้ว เป็นความจริงหรือ?”
ท่านเจิ้งผู้นี้เป็นผู้ช่วยของติงหลิวผู้ว่าราชการมณฑลซานซี
ซุนซื่อติ่งไปส่งเงินที่กองบัญชาการซานซี ทว่าพ่อบ้านของตระกูลหลี่บอกว่าหลี่ฉางชิงไปบ้านเก่าที่เฝิงหยางแล้ว เขารออยู่หลายวันก็ไม่ได้เจอสักที ก็รู้ว่าหลี่ฉางชิงคงสั่งเอาไว้ว่า ไม่อยากพบเขา
เขาร้อนใจมาก แต่กลับถูกติงหลิวเรียกไป และให้เขาไปต้าถงเป็นเพื่อนท่านเจิ้ง
ซุนซื่อติ่งกล้าพูดว่า ‘ไม่’ ที่ไหน เขาดูแลท่านเจิ้งด้วยอาหารการกินอย่างดีจนถึงต้าถง และเลือกพักที่โรงเตี๊ยมที่หน้าร้านไม่ใหญ่นักทว่ามีชื่อเสียงเล็กน้อย รอดูตระกูลหลี่มามอบสินสอด
“เป็นความจริง!” ท่านเจิ้งเหมือนจะนึกถึงสภาพอันน่าอนาถในตอนนั้น สีหน้าจึงกลายเป็นแลดูไม่ค่อยดีทันที และเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้เห็น เหมือนอสูร เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่ ไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียวจริงๆ กระทั่งยังไม่ได้แจ้งทางการ มีสองคนหนีไปถึงจุดแวะพักระหว่างทางแล้ว และขอให้ขุนนางที่ดูแลจุดแวะพักระหว่างทางช่วยแจ้งความให้ แต่ขุนนางที่ดูแลจุดแวะพักระหว่างทางนั้นยังไม่ทันเอ่ยปาก คนของตระกูลหลี่ที่ไล่ตามมาก็ฆ่าคนแล้ว ฆ่าต่อหน้าขุนนางที่ดูแลจุดแวะพักระหว่างทางเลย”
“เขาช่างกำเริบเสิบสานจริงๆ!”
“ตอนนี้ใต้เท้าอู๋จากสำนักข้าหลวงยุติธรรมมณฑลก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว สอบถามไปทั่วทุกที่ว่าใครคุยกับหลี่เชียนได้บ้าง อยากเตือนหลี่เชียนสักหน่อย หรือตอนที่ไปรับเจ้าสาว ให้หลี่เชียนตกลงให้คนของสำนักข้าหลวงยุติธรรมมณฑลไปช่วยด้วย ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้เขาก่อความวุ่นวายเช่นนี้ต่อไป ภายในเขตซานซีก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดปลิวไปตามสายลมและเลือดสาดกระเซ็นเหมือนสายฝน!”
“ถึงเวลานั้นเกรงว่าแม้แต่ใต้เท้าติงก็จะเดือดร้อนไปด้วย!”
“คิดไม่ถึงจริงๆ!” ซุนซื่อติ่งพึมพำ “ตอนที่เขาเพิ่งเกิด เด็กน้อยที่ผิวขาวนวล ดวงตาสีดำสนิทกระพริบปริบๆ หลี่ฉางชิงกลัวมาโดยตลอดว่าภรรยาของเขาจะรังเกียจเขาและหนีตามคนอื่นไป จนกระทั่งลูกคลอดออกมา ถึงได้วางใจ และคิดว่าถึงภรรยาของเขาจะเห็นแก่ลูก ก็จะใช้ชีวิตอยู่กับเขาต่อไป เขารักหลี่เชียนมาก ตอนนั้นพวกเราต่างก็บอกว่า เจ้าสอนลูกแบบนี้ไม่ได้ ต่อไปจะออกมาเป็นลูกผู้ดีมีเงิน ใครจะรู้ว่าหลี่ฉางชิงจะโชคดี หลี่ฉางชิงตามใจลูกคนนี้เป็นอย่างมาก แต่ภรรยาของเขากลับเข้มงวดกับอบรมสั่งสอนลูกมาก เสียดายก็แต่ตอนที่ภรรยาของเขาคลอดลูกทำให้ร่างกายบาดเจ็บ หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่มีลูกอีกเลย ข้าเห็นว่าภรรยาของหลี่ฉางชิงจิตใจดี อ่อนโยน เข้าใจและมีเหตุผล ยังคิดว่าหากตระกูลหลี่มีลูกสาว จะให้จี้เหยียนแต่งงานกับนาง…”
เขาพูดเป็นต่อยหอย ก็เพียงแค่กำลังเสียดายที่ไม่ได้รักษาความสัมพันธ์ที่ทั้งสองตระกูลสนิทสนมกันมากจนเหมือนเป็นคนในครอบครัวกับตระกูลหลี่ต่อเท่านั้น
แน่นอนว่าท่านเจิ้งย่อมมองความคิดอันรอบคอบของเขาออก พอนึกถึงความนอบน้อมที่ซุนซื่อติ่งมีต่อตนเองตอนช่วงปีใหม่หรือเทศกาลอื่นๆ จึงคิดแล้วก็ยังเตือนเขาว่า “หลี่เชียนนั่น ข้าเคยเจอเขาครั้งหนึ่งที่จวนผู้ว่าราชการมณฑลใต้เท้าหู อย่างไรเจ้าก็ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า!”
ซุนซื่อติ่งได้ยิน ใจก็สั่นระรัว และเอ่ยว่า “พวกใต้เท้าติงก็ไม่มีทางอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ? พวกเราทำได้เพียงมองเขาฆ่าคนโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้หรือ?”
“ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
ท่านเจิ้งพูดไป ความเย้ยหยันก็ฉายวาบในดวงตาอย่างอดไม่ได้ และเอ่ยว่า “เขาเพียงแค่ฆ่าโจรไม่กี่คนเท่านั้น! หากเป็นเมื่อก่อน แจ้งไปที่กรมกลาโหมก็ได้แล้ว แต่เวลานี้เขาแต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานแล้ว และสิ่งที่ปกป้องก็เป็นสินสอดที่ให้ท่านหญิงเจียหนาน หากจะบอกเหตุผล ก็ต้องไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะช่วยใต้เท้าติงหรือว่าจะช่วยหลี่เชียน?”
ซุนซื่อติ่งถูกย้อนเข้าให้จนพูดไม่ออก
ท่านเจิ้งเอ่ยว่า “หากพูดมากไป ฝ่าบาททรงทราบว่าหลี่เชียนฆ่าคนมากขนาดนั้น ยังอาจจะเรียกใต้เท้าติงกับใต้เท้าอู๋ไปถามด้วยว่า ทำไมในเขตซานซีถึงมีโจรมากขนาดนี้? และทำไมปกติไม่เคยเห็นเอ่ยถึงในฎีกา? สุดท้ายยังอาจจะสงสัยว่าใต้เท้าติงกับใต้เท้าอู๋ปิดบังสภาพสังคมอันวุ่นวายให้กลายเป็นสงบสุข และปิดบังความปรารถนาของผู้คนด้วย…”
เขาพูดไปก็ถอนหายใจ และเอ่ยอย่างไม่รู้ว่าผิดหวังหรืออิจฉาว่า “หลี่เชียนในเวลานี้แตกต่างไปจากเดิมมาก! ใต้เท้าติงของพวกเราเจอเขายังต้องให้เกียรติเล็กน้อยเลย”
ซุนซื่อติ่งพูดอะไรไม่ออก
—
ณ กองบัญชาการต้าถง สินสอดสามร้อยหกสิบหีบวางเรียงรายเป็นแถว จนเกิดเป็นภาพทิวทัศน์แปลกตา
สายตาของเหล่าสาวใช้ที่ยุ่งอยู่กับการดูแลแขกต่างก็อดไม่ได้ที่จะหยุดอยู่บนนั้นหลายอึดใจ
———————————-
[1] เงินหยวนเป่า เงินที่มีลักษณะเป็นแท่งเงินปลายโค้งสูงทั้งสองข้าง ตรงกลางนูนป่อง รูปร่างคล้ายเรือ