เรื่องนี้แม้แต่เติ้งเฉิงลู่ที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน
เขาอดที่จะเอ่ยอย่างอยากรู้ไม่ได้ว่า “ทำไมต้องทะเลาะ? ยังมีกรมพิธีการไม่ใช่หรือ? ตรวจดูตัวอย่างในอดีตแต่ก่อนก็ได้แล้ว ตอนที่ฮ่องเต้เสี่ยนจงอภิเษกสมรสก็ครองราชย์อยู่เช่นกัน ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันทำตามธรรมเนียมตอนเสี่ยนจงก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
เฉาเซวียนยิ้มเยาะ และเอ่ยว่า “หากเรื่องราวง่ายขนาดนั้นได้ก็ดีน่ะสิ วังจี่เต้าคิดว่า…ฝ่าบาทเพิ่งจะว่าราชการด้วยพระองค์เองได้ไม่นาน ยังไม่เจอเรื่องอะไรที่น่าฉลองอย่างไร้ซึ่งความกังวล งานอภิเษกสมรสของฝ่าบาทก็ควรจะจัดอย่างไร้ซึ่งความกังวลและประกาศไปทั่วหล้าถึงจะถูก ดังนั้นมาตรฐานของพิธีอภิเษกสมรสจึงควรจะสูงกว่าฮ่องเต้เสี่ยนจง แต่สยงจวิ้นหรงกลับคิดว่าตอนที่ไทเฮารับผิดชอบก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอย่างไร้ขีดจำกัด จนท้องพระคลังว่างเปล่า ทุกสาขาอาชีพต่างก็เงียบเหงา งานอภิเษกสมรสของฝ่าบาทควรจะประกาศไปทั่วหล้า ทว่าไม่ควรจัดอย่างเอิกเกริก ทำตามตอนฮ่องเต้เสี่ยนจงก็พอแล้ว ฝ่าบาทน่าจะเอนเอียงไปทางความคิดของวังจี่เต้า จึงเรียกวังจี่เต้าเข้าวังมาปรึกษาหารือร่วมกันหลายครั้ง วังจี่เต้าคิดว่าตนเองมีเหตุผล จึงยุยงให้ผู้ตรวจการยื่นหนังสือขอให้ฝ่าบาทจัดงานอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากสยงจวิ้นหรงรู้ก็โกรธมาก จึงเขียนฎีกามากมาย ขอให้ฝ่าบาทไตร่ตรองให้ดีก่อนทำ แล้วให้เหล่าลูกศิษย์ของตนเองด่าว่าวังจี่เต้าไม่สนใจแคว้น เอาแต่ประจบสอพลอฝ่าบาท และเป็นคนเลวในหมู่บัณฑิตที่สมาคมเจียงหนานและสมาคมเจียงซี…ทั้งสองฝ่ายเริ่มด่ากัน วันนี้เจ้าติดคำด่าข้า พรุ่งนี้ข้าติดคำด่าเจ้า จนผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเมืองหลวง ไม่มีใครไม่รู้ เจ้าไม่รู้หรือ?”
ประโยคสุดท้ายนั้น…เฉาเซวียนกำลังถามเติ้งเฉิงลู่
เติ้งเฉิงลู่เบิกตาโต และเอ่ยอย่างยากที่จะปิดบังความประหลาดใจได้ว่า “หลังจากข้ากลับเมืองหลวงก็อยู่ในจวนที่ชานเมืองหลวงตลอด และสั่งคนรับใช้ในตระกูลว่าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมารบกวน ถ้าไม่ใช่ว่าน้องสาวข้าได้รับพระราชทานงานสมรส และข้ากลับบ้านไปถามเรื่องน้องสาวข้า ข้าก็ยังไม่รู้ว่าเจียหนานกำหนดออกเรือนวันที่ยี่สิบสี่เดือนห้าแล้ว…”
หลังจากนั้นเขารีบออกจากเมืองหลวง และเจอหวังจ้านระหว่างทาง ทั้งสองคนต่างก็ไม่ใช่คนที่พูดมาก พอรู้จุดมุ่งหมายของทั้งสองฝ่าย ก็รวมกลุ่มกันมาด้วยกัน
เขาไม่พูด เฉาเซวียนก็เดาได้เช่นกัน
แต่จินเซียวกลับรู้สึกเหลือเชื่อมาก เขาเอ่ยอย่างไม่ค่อยสนใจว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นฝ่าบาทคิดอย่างไร? พวกเขาต่างก็เป็นขุนนางคนสำคัญที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการแผ่นดินระดับสอง ฝ่าบาทจะปล่อยให้พวกเขาทำแบบนี้อย่างนั้นหรือ? นี่จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกของบัณฑิตหรอกหรือ?”
“นี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องตลกหรอก!” หวังจ้านเอ่ยอย่างเยือกเย็นด้วยสีหน้าเช่นเดิมว่า “ตอนฮ่องเต้เซี่ยวจงก็เคยมีขุนนางระดับสูงของสำนักราชเลขาธิการกับผู้ตรวจการปะทะคารมกันเช่นกัน ทั้งสองคนต่างก็กลายเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง และคนหนึ่งในนั้นยังเข้าสำนักราชเลขาธิการด้วย สำหรับบัณฑิตนั้น ความหิวโหยเป็นเรื่องเล็ก ความหยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นเรื่องใหญ่ สยงจวิ้นหรงอาจจะคิดเช่นนี้ ทำให้คนอื่นคิดว่าเขาไม่เพียงแต่เป็นอาจารย์ที่ดี ทว่ายังเป็นอาจารย์ที่ดีที่มีมาดด้วยกระมัง! เพียงแต่น่าเสียดาย ฝ่าบาทอาจจะไม่โปรด!”
หลี่เชียนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น และเอ่ยว่า “หากสำนักราชเลขาธิการล้มเพียงฝ่ายเดียว จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
พวกเจียงลวี่ต่างก็เข้าใจ
เฉาเซวียนเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้น…ข้าเขียนจดหมายให้ไทเฮาสักฉบับ ให้ไทเฮาออกหน้า ทำให้การทะเลาะวิวาทนี้สงบลงอย่างเร็วที่สุด?”
หลี่เชียนพึมพำว่า “ข้าคิดว่าให้ไทฮองไทเฮาออกหน้าจะดีกว่า”
ฮ่องเต้เกรงกลัวเฉาไทเฮา หากเฉาไทเฮาออกหน้า ฮ่องเต้อาจจะคิดว่าเฉาไทเฮาจะก้าวก่ายเขาอีก ใครจะรู้ว่าเขาจะทำอะไร
“เริ่มพูดจากเรื่องงานอภิเษกสมรสของฝ่าบาทจะดีที่สุด” หลี่เชียนเอ่ยต่อว่า “และยังมีอ๋องเจี่ยนไม่ใช่หรือ? เวลานี้เขาก็น่าจะแสดงท่าทีเช่นกันถึงจะถูก”
สยงจวิ้นหรงนั้นจำเป็นต้องเก็บไว้ อย่างดีที่สุดก็ยังสามารถสู้กับวังจี่เต้าได้ นี่เป็นวิธีรักษาสมดุลที่พื้นฐานที่สุด อย่าว่าแต่จ้าวอี้เลย แม้แต่ลูกหลานตระกูลขุนนางอย่างพวกเขาก็รู้เช่นกัน ทว่าจ้าวอี้กลับไม่ใช่คนธรรมดา เขามักจะทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ และไม่ทำสิ่งที่คนอื่นต่างก็ทำ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเดาว่าต่อไปเขาจะทำอย่างไรกันแน่ สุดท้ายต่อให้ลากไทฮองไทเฮากับอ๋องเจี่ยนเข้าสู่เกมแล้ว ก็อย่าให้จ้าวอี้ทำสิ่งที่ไม่มีทางแก้ไขได้
เจียงลวี่เข้าใจความหมายของหลี่เชียนทันที เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากลับไปแล้วจะบอกท่านพ่อ”
เจียงเจิ้นหยวนเป็นคนที่ไว้ใจได้ที่สุดแล้ว
ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย
หลี่เชียนรีบเรียกให้ทุกคนดื่มเหล้า “…วันนี้มาสนุกกัน ข้าเชิญตู้ฮุ่ยจวินจากคณะเหลียนจูเข้ามาแสดงในบ้านด้วย วันนี้ไม่เมาไม่กลับ!”
“เจ้าเชิญตู้ฮุ่ยจวินจากคณะเหลียนจูเข้ามาแสดงในบ้านมาด้วย!” จินเซียวได้ยินแล้วก็จ้องอย่างแน่วแน่ “เจ้าคิดอย่างไรถึงเชิญเขามา?”
“พูดตามตรง ตู้ฮุ่ยจวินนั้นท่านพ่อเป็นคนเชิญมา” หลี่เชียนหัวเราะ โดยไม่ละอายใจที่แย่งบิดามาก่อนแม้แต่น้อย “ข้าจะแต่งงานกับท่านหญิงแล้วไม่ใช่หรือ? ท่านพ่อเชิญคณะงิ้วมาหลายคณะ บังเอิญเมื่อวานตู้ฮุ่ยจวินจากคณะเหลียนจูผ่านต้าถงพอดี ข้าจึงให้ตู้ฮุ่ยจวินหยุดพักที่นี่อีกสองวัน…ถึงอย่างไรไปไท่หยวนก็ร้องงิ้วให้ตระกูลของพวกเราเช่นกัน ร้องที่นี่ด้วย อย่างมากก็แค่ให้เงินเพิ่มอีกนิดหน่อย”
ทุกคนต่างค่อนข้างเห็นด้วย
รับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็ไปดูงิ้วที่ศาลาที่สวนดอกไม้ด้านหลัง
แต่เฉาเซวียนกลับยืนให้อาหารปลาอยู่ริมสระน้ำเล็กๆ ที่ไม่ไกลนักคนเดียว
หลี่เชียนยิ้มพลางเดินมาเอ่ยว่า “เป็นอะไรไป? งิ้วเรื่องนี้ไม่ถูกใจเฉิงเอินกงหรือ?”
งิ้วเรื่องนั้นเจียงลวี่เป็นคนเลือก
เขาเลือกเรื่องเฉินเซียงช่วยแม่
เฉาเซวียนมองเวทีที่คึกคักมากครั้งหนึ่ง และลังเลอยู่ชั่วครู่ ถึงจะเอ่ยว่า “จงเฉวียน เจ้าคิดว่าทำแบบนี้ถูกต้องหรือ…ราชสำนักมีเงินให้งานอภิเษกสมรสของฝ่าบาท แต่กลับไม่มีเงินให้เมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งซื้อยุทธปัจจัยเพิ่ม…หากเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งล่มสลาย ยังจะรักษาเมืองหลวงเอาไว้ได้หรือ? ฝ่าบาทไม่กังวลสักนิดเลยหรือ? และที่ท้องพระคลังว่างเปล่าเป็นความผิดของไทเฮาอย่างนั้นหรือ? ตอนที่เสด็จป้าสำเร็จราชการแทน ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มเลยสักตัวตั้งหลายปี ปล่อยนางในออกไปหลายชุด ค่าใช้จ่ายในวังก็ลดแล้วลดอีก จนถึงเวลานี้ในวังยังมีนางในกับขันทีมากมายบอกว่าเสด็จป้าขี้เหนียว…”
รอยยิ้มบนหน้าของหลี่เชียนค่อยๆ เลือนหายไป และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “หากเฉิงเอินกงสนใจ ลองกลับเมืองหลวงทางจิ้นจงและโซ่วหยางก็ได้ ดูทิวทัศน์ระหว่างทางแล้วยังได้เข้าใจวิถีชีวิตของประชาชนด้วย”
จากซานซีเข้าเมืองหลวงสามารถไปได้สองทาง ทางหนึ่งคือไปทางหยางเฉวียนและเมืองอวี้ เส้นทางนี้ผ่านเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่ง โดยปกติเป็นทางเลือกของขุนนางฝ่ายบู๊ ส่วนอีกทางคือไปทางจิ้นจงและโซ่วหยางที่หลี่เชียนแนะนำเมื่อครู่ เป็นเส้นทางที่เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นมักจะไป
สถานการณ์ของเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งไม่เหมือนใคร จึงไม่พอที่จะเป็นตัวแทนสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทว่าจิ้นจงกับโซ่วหยางกลับเป็นสถานที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ใช้ชีวิตกันอย่างไร ก็ชัดเจนที่สุดแล้ว
เจตนาของหลี่เชียนนั้นไม่ต้องบอกก็เข้าใจได้
เฉาเซวียนประหลาดใจ
ในความทรงจำของเขา หลี่เชียนทะเยอทะยานมาก และคิดแต่จะปีนขึ้นไป คนแบบนี้จะห่วงใยประชาชนทั่วไปด้วยหรือ?
หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เฉิงเอินกงยังเป็นพระญาติด้วย! ขาดค่าใช้จ่ายของใครไปก็ขาดค่าใช้จ่ายของท่านไปไม่ได้นี่นา!”
ความนัยที่แฝงในนั้นคือ เขาควรจะเป็นคนที่ไม่สนใจสถานการณ์ในปัจจุบันมากกว่า
เฉาเซวียนได้ยินแล้วก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงียบไปชั่วครู่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา และเอ่ยว่า “จะตัดสินคนๆ หนึ่งจากแค่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ สามีของท่านหญิง ตอนนี้ข้าถือว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว!”
หลี่เชียนยิ้ม ฟันที่ขาวราวกับหิมะทอประกายความแวววาวอย่างสุขภาพดีภายใต้แสงแดด “ตอนนี้ข้ายังไม่ใช่สามีของท่านหญิง เฉิงเอินกงเรียกว่าแม่ทัพก็พอแล้ว”
แม้เขาจะได้รับราชโองการพระราชทานงานสมรส ทว่ากลับไม่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์
เฉาเซวียนหัวเราะ
เขานึกถึงใบหน้าที่เหมือนกินแมลงวันกับยุงเข้าไปตอนที่จ้าวอี้เรียกเขาเข้าเฝ้าหลังจากเขากลับเมืองหลวง แล้วก็รู้สึกว่าหลี่เชียนเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นอีกครั้ง
เขาเอ่ยว่า “ขอบคุณสำหรับการดูแล” แล้วก็โยนอาหารปลาในมือ และหันตัวไปที่ศาลาของเวที
หลี่เชียนไม่ได้ไป แต่รับอาหารปลาที่เฉาเซวียนถืออยู่เมื่อครู่มาให้อาหารปลาต่อ ทว่าในใจกลับเบ้ปากอย่างไม่เห็นด้วย
ความวุ่นวายในใต้หล้าทยอยปรากฏขึ้นมาตรงหน้าตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนที่ถูกเลี้ยงอยู่ในกรงทองอย่างพวกเขาไม่รู้เท่านั้นเอง
———————————