มู่หนานจือ – บทที่ 266 รับตัวเจ้าสาว

มู่หนานจือ

ฮูหยินหลี่ประคองเจียงเซี่ยนให้คุกเข่าลงบนเบาะรองนั่งทรงกลมที่ทำจากธูปฤาษีตรงหน้า เจียงเซี่ยนคุกเข่าคำนับเจียงเจิ้นหยวนกับฮูหยินฝางอย่างเคารพนบนอบสามครั้ง เหมือนอยากผสมความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อสามีภรรยาสกุลเจียงในช่วงหลายปีนี้เข้าไปในนั้นให้หมด

แน่นอนว่าเจียงเจิ้นหยวนกับฮูหยินฝางย่อมรู้สึกได้

ขอบตาของทั้งสองคนต่างชื้นเล็กน้อย รับการคารวะจากเจียงเซี่ยนแล้วก็กำชับตามมารยาทประมาณว่า “ถือการเชื่อฟังเป็นหลักการ อย่าลืมจริงจังและเคารพ” แล้วฮูหยินหลี่ก็เข้าไปคลุมผ้าคลุมหน้าให้เจียงเซี่ยน และสตรีที่คอยดูแลเจ้าสาวในพิธีแต่งงานของตระกูลหลี่ก็พยุงให้เดินออกไปจากห้องโถง

พวกฮูหยินฝางกับไป๋ซู่ต่างก็ร้องไห้ออกมา

เจียงเซี่ยนอยากหันกลับไปมองสักครั้ง ทว่าสิ่งที่ดวงตามองเห็นกลับเต็มไปด้วยสีแดงสด ฮูหยินหลี่ก็หัวเราะเบาๆ และเอ่ยจากข้างๆ ว่า “ท่านหญิง ฮูหยินกำลังอาลัยอาวรณ์ท่าน ต่อไปท่านก็กตัญญูต่อฮูหยินให้มากแล้วกัน”

หากไม่ทันฤกษ์จะแย่

เจียงเซี่ยนอยากคุกเข่าคำนับเจียงเจิ้นหยวนกับฮูหยินฝางอีกครั้งมาก

แต่เสียงของเจียงลวี่กลับดังขึ้นข้างหูนาง “เป่าหนิง พี่จะแบกเจ้าขึ้นเกี้ยว!”

น้ำตาของเจียงเซี่ยนร่วงลงมาอีกครั้ง

คนที่อยู่ข้างๆ ช่วยให้นางซบลงบนหลังของเจียงลวี่

เจียงลวี่แบกนางขึ้นเกี้ยวอย่างมั่นคง

ท่ามกลางเสียงประทัด ตามด้วยเสียงฆ้องและกลองที่ดังขึ้น เกี้ยวก็ถูกยกขึ้น

นางออกจากกองบัญชาการต้าถงอย่างหนักแน่น

นอกเกี้ยวเป็นเสียงโหวกเหวกของคนที่ดังอึกทึกครึกโครม

น่าจะมีคนกำลังดูความคึกคักเยอะมากกระมัง!

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็ยับยั้งไม่ให้ตนเองเลิกม่านเกี้ยวขึ้นอย่างยากลำบาก

เสียงประทัด เสียงฆ้องกับกลอง เสียงโหวกเหวกของคน ติดตามเกี้ยวเจ้าสาวของนางมาตลอด จนกระทั่งเกือบหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เกี้ยวเจ้าสาวออกจากประตูเมืองแล้ว เสียงเหล่านั้นถึงจะค่อยๆ ห่างออกไป

เจียงเซี่ยนโล่งอก

เกี้ยวมุ่งไปข้างหน้าต่อ

เจียงเซี่ยนง่วงนอนมาก

นางนึกถึงคำพูดของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก่อนที่จะขึ้นเกี้ยว บอกว่าออกจากประตูเมืองแล้วก็สามารถถอดผ้าคลุมหน้าได้ชั่วคราว ไว้ตอนที่จะลงจากเกี้ยวค่อยคลุม

เวลานี้ออกจากประตูเมืองแล้ว

บนศีรษะนางยังสวมมงกุฎหงส์ของเจ้าสาวอยู่ จึงดึงผ้าคลุมหน้าลงอย่างระมัดระวังมาก

ไม่ต้องถูกขังอยู่ระหว่างพื้นที่หนึ่งตารางนิ้วที่เล็กมาก เจียงเซี่ยนก็โล่งใจ พอมองไปรอบด้าน ถึงพบว่าใต้ที่นั่งของเกี้ยวยัดหมอนอิงใบใหญ่เอาไว้หลายใบ

เจียงเซี่ยนดีใจมาก และดึงหมอนอิงออกมารองตรงเอว

เสียงของชีกูดังมาจากนอกเกี้ยว “ท่านหญิง ไม่อย่างนั้นท่านนอนพักในเกี้ยวสักครู่ ยังอีกสองชั่วยามกว่าพวกเราจะถึงจุดแวะพักระหว่างทางเจ้าค่ะ!”

เจียงเซี่ยนกำลังง่วงมากและสัปหงกตลอด พอได้ยินจึงรู้สึกดีใจ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “อืม” และเอนหลังลงท่ามกลางหมอนอิงใบใหญ่หลายใบ แล้วก็หลับไปแบบนั้น

กว่านางจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เกี้ยวก็จอดแล้ว ชีกูถามนางจากข้างเกี้ยวว่า “ท่านหญิงจะดื่มน้ำสักหน่อยหรือไม่? ส่วนพวกเสบียงวางอยู่ใต้ที่นั่งของเกี้ยวหมดแล้วเจ้าค่ะ”

เจียงเซี่ยนหาแล้วก็พบว่าไม่เพียงแต่มีกล่องอาหาร ทว่ายังมีโถส้วมด้วย…

จู่ๆ นางก็ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น จึงแค่ดื่มน้ำเล็กน้อย แล้วก็หลับสนิทไปอีกครั้ง

เจียงเซี่ยนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะถูกชีกูปลุก

พวกนางถึงจุดแวะพักระหว่างทางแล้ว ชีกูให้นางคลุมผ้าคลุมหน้า ฮูหยินหลี่จะมาจูงนางลงจากเกี้ยว

เจียงเซี่ยนได้ยินก็คลุมผ้าคลุมหน้า และลงจากเกี้ยวโดยมีฮูหยินหลี่คอยพยุง จนกระทั่งอยู่ในห้องแล้ว เจียงเซี่ยนถึงเปิดผ้าคลุมหน้าอีกครั้ง

จุดแวะพักระหว่างทางสะอาดและเรียบง่าย ไม่มีอะไรให้ชมนัก เพียงแต่ครั้งนี้น่าจะเพื่อต้อนรับการมาเยือนของนาง บนลูกกรงหน้าต่างของห้องที่นางพักผ่อนจึงติดตัวอักษรมงคลคู่สีแดง ส่วนผ้าห่มกับฟูกที่ห่มคลุมนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกนางนำมาเอง

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อดูแลให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้า หวีผม ล้างหน้า และพักผ่อน

ปิงเหอที่อยู่ข้างกายหลี่เชียนมาหา และนำยี่โถมาให้นางกำหนึ่งด้วย บอกว่าหลี่เชียนให้เขานำมา

ฉิงเค่อยิ้มพลางไปหาแจกันคนโทเครื่องลายคราม และเสียบยี่โถกำนั้นลงไปในคนโท

ทันใดนั้นในห้องก็มีชีวิตชีวาและงดงามเล็กน้อย

ฮูหยินฉีที่มาอยู่เป็นเพื่อนนางเห็นแล้วก็อดที่จะชมไม่ได้ว่า “แม่ทัพหลี่ช่างเอาใจใส่จริงๆ!”

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และรู้สึกดีใจมาก นางกินขนมข้าวรองท้องไปสองสามชิ้น ก็ล้มตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยมากและหลับไปทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น นางเปลี่ยนรถม้า และออกเดินทางไปไท่หยวน

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อนั่งอยู่ในรถม้ากับนาง คุยเป็นเพื่อนนาง และอ่านนิยายให้นางฟัง

ผ่านไปสองสามวันเช่นนี้ ปลอดภัยมาก และไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

เจียงเซี่ยนถามฮูหยินฉีว่า “ยังอีกกี่วันจะถึงไท่หยวนหรือ”

ฮูหยินฉียิ้มพลางเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ก็ถึงไท่หยวนแล้ว”

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าเหลือเชื่อเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ไม่มีใครมาปล้นเลยหรือ?”

ฮูหยินฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เดิมทีเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งก็เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ตรงด่านชายแดน คนที่ตั้งมั่นรักษาการณ์ล้วนเป็นแม่ทัพกับทหารของฐานที่มั่น เรื่องโจรท้องถิ่นกับการปล้นนั้นเดิมทีก็มีน้อยอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วหากไม่ใช่ว่าสินสอดของตระกูลหลี่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนจริงๆ จะมีใครเสี่ยงมาปล้น? ยิ่งกว่านั้นหลังจากครั้งที่แล้ว แม่ทัพหลี่ไม่เพียงแต่เพิ่มระดับแรงในการสังหารคน ทว่ายังปล่อยข่าวออกไปด้วยว่า ครั้งนี้หากใครกล้ามาปล้น ไม่ว่าจะปล้นสำเร็จหรือไม่ หลังจากเกิดเรื่องขึ้น เขาก็จะเล่นงานสำนักของคนเหล่านั้น เล่นงานลู่หลินซานซี แล้วจะมีสักกี่คนที่คิดไม่ตก และมาปล้นทั้งที่รู้ความร้ายกาจของแม่ทัพหลี่แล้ว แถมยังมีแม่ทัพกับทหารจากฐานที่มั่นของกองบัญชาการไท่หยวนกับกองบัญชาการซานซีคุ้มกัน? มีเงินก็ต้องมีชีวิตใช้ด้วยถึงจะถูก!”

เจียงเซี่ยนยิ้มอย่างลำบากใจ

ทว่าฮูหยินฉีกลับมีเรื่องอื่นที่สนใจ นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง ถึงแม้เสบียงพวกนั้นจะไม่อร่อย แต่อย่างไรท่านก็กินสักหน่อย ท่านรับแค่อาหารเช้ากับอาหารเย็นแบบนี้ ร่างกายจะทนไม่ไหว”

เจียงเซี่ยนยิ้มพลางรับปาก แต่กลับไม่คิดจะกิน

ฮูหยินฉีไม่รู้นิสัยนาง แค่เห็นว่านางรับปากแล้ว ก็ไม่ได้สนใจ

เที่ยงคืน หลี่เชียนก็มาเคาะหน้าต่างของนาง

นางโกรธมาก และเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้ายังจะให้ข้านอนหรือไม่!”

ฮูหยินฉีก็นอนอยู่หลังฉากกั้นหน้าเตียง

นี่หากทำให้ฮูหยินฉีตื่น ก็คงจะกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่แล้ว

หลี่เชียนอมยิ้มพลางมองนาง แล้วล้วงองุ่นพวงหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ และเอ่ยเสียงเบาว่า “ให้เจ้า พรุ่งนี้ให้สาวใช้ล้างให้เจ้าและเอาไปกินระหว่างทางด้วย!”

เจียงเซี่ยนรับผูเถามา บนหน้าร้อนผะผ่าว

หลี่เชียนเห็นแล้วก็จะนั่งลงบนขอบเตียง เจียงเซี่ยนเตะเขาทันที และเตือนเขาเสียงเบาว่า “เจ้ายังไม่รีบไปอีก! ต้องรอให้ฮูหยินฉีตื่นขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”

นี่เพิ่งจะทำตัวเรียบร้อยได้กี่วัน ก็เริ่มคิดร้ายอีกแล้ว

หลี่เชียนไม่เห็นด้วย เขาเปลี่ยนที่และนั่งลง แล้วเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ก็จะถึงไท่หยวนแล้ว เจ้าพักที่จวนอีกหลังก่อน ข้าจะกลับจวนเลย ส่วนฮูหยินฉีจะนำสินเดิมของเจ้าไปปูเตียงที่ตระกูลหลี่ ข้าให้ชีกู เซียงเอ๋อร์ และจุ้ยเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ต้องการอะไรก็บอกพวกนาง วันมะรืนกลางยามเซินข้าจะออกมาจากบ้านมาแต่งกับเจ้า…”

เรื่องพวกนี้ฮูหยินฝางเคยบอกเจียงเซี่ยนก่อนหน้านี้แล้ว เขายังควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างและกำชับนางอย่างละเอียดอีก นางรู้สึกว่าเขาจุ้นจ้าน แต่ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อยอีกอย่างบอกไม่ถูก…บนหน้าร้อนขึ้นแล้ว

“รู้แล้ว!” เจียงเซี่ยนไล่เขาอย่างอึดอัดเล็กน้อย “เจ้ารีบกลับไปเถอะ! ทางข้ามีฮูหยินฉีดูแล ไม่เป็นไรหรอก”

หลี่เชียนยิ้มพลางลุกขึ้น

เจียงเซี่ยนคิดว่าเขาจะไปแล้ว

ใครจะรู้ว่าเขากลับก้มลงมาลูบศีรษะของเจียงเซี่ยน และกระซิบเสียงอ่อนโยนข้างหูนางว่า “นอนเร็วหน่อย หากคิดว่าเสบียงพวกนั้นไม่อร่อยก็ไม่ต้องกิน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนเตรียมขนมอบให้เจ้าแต่เช้า พูดถึง…นี่เป็นความสะเพร่าของข้า ลืมไปว่าเจ้าไม่ชอบกินของที่ค้างคืนหรือวางไว้นานเกินไป…”

เจียงเซี่ยนอึ้งไป

หลี่เชียนยิ้มและปีนหน้าต่างออกไปแล้ว

เจียงเซี่ยนนั่งอยู่ที่หัวเตียง มองตะเกียงน้ำมันที่ไส้ตะเกียงไหม้จนกลายเป็นรูปดอกไม้บนโต๊ะยาวของจุดแวะพักระหว่างทาง แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเงียบๆ

————————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท