น้ำเต้าที่ใหญ่เท่าฝ่ามือถูกผ่าเป็นสองซีก กลายเป็นน้ำเต้าอันเล็กสองอัน และใช้เส้นไหมหลากสีผูกไว้ด้วยกัน เจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างถือน้ำเต้าคนละอัน แล้วดื่มครึ่งน้ำเต้าและแลกเปลี่ยนกัน หากเป็นเจ้าบ่าวที่รู้ว่าตนเองดื่มได้แค่ไหน ก็จำเป็นต้องดื่มติดกันสามน้ำเต้า ส่วนเจ้าสาวนั้นดื่มตามมารยาทเล็กน้อยก็พอแล้ว
ความสุขในใจของหลี่เชียนทำให้เขารู้สึกว่ามีพลังเต็มเปี่ยมทั้งร่าง อย่าว่าแต่เหล้าสามน้ำเต้าเลย ตอนนี้ต่อให้วิ่งรอบจวนสกุลหลี่สามรอบเขาก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหา
เขาดื่มเหล้าติดกันสามถ้วยอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
พวกฮูหยินหลี่ต่างรู้สึกได้ถึงความสุขที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ความจริงใจ และความกระตือรือร้น
ชาติก่อนตอนที่เจียงเซี่ยนแต่งงาน ทำทุกอย่างตามธรรมเนียมของราชวงศ์โจว จึงเงียบสงบและเคร่งขรึม จ้าวอี้ก็ปฏิบัติตามมารยาทเช่นกัน นางจึงรู้สึกว่าก็เหมือนเวลาปกติที่ออกไปข้างนอกกับจ้าวอี้ ต่างคนต่างทำตามนิสัยเดิมก็พอแล้ว จึงทั้งไม่ตื่นเต้น แล้วก็ไม่กังวลและหวาดกลัวเช่นกัน
ไม่เหมือนตอนนี้ เพียงแค่นางเพิ่งจะนั่งลงในห้องหอ และเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลหลี่ ก็รู้สึกได้ถึงความสุขของหลี่เชียน ดังนั้นเหล้าถ้วยสุดท้าย นางจึงไม่ได้ลองเล็กน้อยและหยุดเหมือนสองครั้งก่อน แต่ดื่มเหล้าครึ่งน้ำเต้านั้นลงไปหมดรวดเดียว
เหล้ามาจากเฝินหยางบ้านเกิดของหลี่เชียน
ไม่เพียงแต่แรงกว่าเหล้าจินหวา ทว่ายังฉุนกว่าเหล้าจินหวาด้วย
หลังจากเจียงเซี่ยนดื่มลงไป ในท้องก็เหมือนมีพลังมหาศาล สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน
หลี่เชียนตกใจมาก และรีบยื่นมือออกไปอยากพยุงเจียงเซี่ยน แต่เห็นว่าฮูหยินหลี่ก็เดินมาอย่างสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเช่นกัน จึงหดมือที่ยื่นออกไปกลับมา และหันหน้ามาสั่งชีกูให้รีบไปเชิญฉางเหริ่นตงมาตรวจ แล้วก็ถามเจียงเซี่ยนว่า “เจ้าเคยดื่มเหล้าหรือไม่? เหล้านี้ดื่มแบบนี้ไม่ได้ เวียนศีรษะหรือไม่? เดี๋ยวยังต้องให้เด็กมากลิ้งบนเตียงอีกไม่ใช่หรือ? ข้าว่าก็ช่างเถอะ ให้เจียหนานพักก่อนสักครู่ ไม่อย่างนั้นนางคงจะทนไม่ไหว”
แน่นอนว่าตระกูลหลี่ไม่มีทางอนุญาตให้คนอื่นมาหยอกล้อในห้องหออยู่แล้ว พวกญาติของตระกูลหลี่ยังวิจารณ์เรื่องนี้กันมากมาย คิดว่าตระกูลหลี่แต่งสะใภ้ท่านหญิงแล้ว มีค่ามากจนไม่ให้คนแม้แต่หยอกล้อในห้องหอ ตระกูลหลี่อยู่ต่อหน้าท่านหญิงเจียหนาน ก็ต่ำต้อยเกินไปหน่อยแล้วเช่นกัน
ตอนที่หลี่ฉางชิงเพิ่งจะได้ยินเรื่องนี้ ก็เคยหวั่นไหวไปชั่วครู่เช่นกัน แถมยังตั้งใจไปขอคำแนะนำจากท่านฝูอวี้สำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วย
แต่เกาฝูอวี้กลับคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่จะให้ทั้งตระกูลหลี่เรียนรู้ว่า ‘ธรรมเนียม’ คืออะไรพอดี จึงควรทำตามความต้องการของตระกูลเจียง ห้ามญาติกับเพื่อนหยอกล้อในห้องหอ
หลี่ฉางชิงก็ตกลงเช่นกัน และอธิบายกับญาติและเพื่อนในบ้านแล้ว
ทว่าใกล้ถึงวันแต่งงานแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถก้าวผ่านอุปสรรคในใจตนเองไปได้ และคิดว่าเรื่องญาติกับเพื่อนหยอกล้อในห้องหอนั้นสามารถงดได้ แต่ประเพณีที่ให้เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงในตระกูลคลาน กลิ้ง หรือฉี่บนเตียงใหม่สักครั้งได้จะดีที่สุด ซึ่งแฝงความหมายว่าต่อไปหลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนจะได้ ‘มีลูกหลานมากมาย และเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง’ กลับไม่สามารถงดได้
เขาขอให้ฮูหยินหลี่ไปคุยกับฮูหยินฉีก่อนจะถึงวันแต่งงานอีกครั้ง
ฮูหยินฉีโกรธมาก และไม่ตกลงอย่างเด็ดขาด
ทว่าเจียงลวี่รู้และยอมอ่อนข้อให้ โดยเอ่ยกับฮูหยินฉีว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว ตระกูลหลี่ทำตามธรรมเนียมของตระกูลเราทุกอย่างแล้ว เขาแค่เสนอเรื่องนี้เรื่องเดียว แถมยังหวังว่าเจียหนานจะสามารถสืบทอดสายเลือดของบรรพบุรุษให้ตระกูลของพวกเขาได้ หากพวกเราไม่ตกลง จะต้องเกิดความบาดหมางระหว่างทั้งสองตระกูลอย่างแน่นอน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้เช่นกัน”
ฮูหยินฉีคิดว่าตระกูลหลี่กำลังทำแบบฉบับโจรท้องถิ่น ทว่าเวลานี้กลับใช้กับงานแต่งงาน เพียงเพราะการแต่งงานของทั้งสองตระกูลเป็นที่แน่นอนแล้ว จึงอยากแสดงความน่าเกรงขามของตระกูลหลี่เท่านั้น แม้จะเห็นด้วยกับสิ่งที่เจียงลวี่เอ่ย เพราะเคารพ แต่ในใจกลับไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และเอ่ยอย่างจงใจหาเรื่องตำหนิติเตียนว่า “เด็กไม่รู้ความ หากฉี่ลงบนเตียงใหม่จริงๆ จะทำอย่างไร?”
เจียงลวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็นเรื่องของพวกเขาสองคน เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย?”
สาเหตุที่เขายอมอ่อนข้อให้ เป็นเพราะว่าเจียงเซี่ยนคลอดก่อนกำหนดตั้งแต่เด็ก และตระกูลหลี่รับปากว่าเจียงเซี่ยนจะไม่เข้าหอก่อนที่จะอายุครบสิบห้าปีเต็ม เขาเคยได้ยินพวกทหารในค่ายทหารเอ่ยเรื่องลามกว่า ผู้หญิงที่มีลูกได้ต้องเป็นคนที่สูงใหญ่แข็งแรง ทำอะไรมีเรี่ยวแรง ที่เหล่าสตรีชนชั้นสูงไม่มีลูกที่แข็งแรงก็เป็นเพราะไม่มีเรี่ยวแรง เขาเห็นเจียงเซี่ยนทนแม้แต่แส้เส้นหนึ่งไม่ได้ จึงกังวลเล็กน้อยว่าเจียงเซี่ยนจะมีทายาทไม่ได้
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกความกังวลนี้กับใครทั้งนั้น
ฮูหยินฉีก็จำเป็นต้องทำตามเขาเช่นกัน
เวลานี้หลี่เชียนเอ่ยขึ้นมา ฮูหยินหลี่ตอบว่า “เจ้าค่ะ” และอดที่จะช่วยพูดให้ตระกูลเจียงไม่ได้ว่า “พี่ชายของท่านหญิงเห็นชอบแล้ว ดังนั้นใต้เท้าหลี่จึงจัดเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่มีพี่น้องมากมายคู่หนึ่งให้มากลิ้งบนเตียงเจ้าค่ะ”
หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนที่สีหน้าเซื่องซึมเล็กน้อยครั้งหนึ่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงปรึกษาว่า “เจ้าว่า…งดดีหรือไม่…”
ฮูหยินหลี่อึ้งไป
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับเอ่ยว่า “ทำตามที่ท่านพ่อบอกดีกว่า!” แล้วก็เรียกชีกูกลับมา และเอ่ยว่า “ไปเรียกท่านหมอฉางตอนนี้ไม่เหมาะสม ข้าไม่เป็นไร แค่รีบดื่มเหล้าไปหน่อยเท่านั้น”
ชีกูก็คิดว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน
หากคนอื่นรู้เข้า ไม่ว่าจะคิดว่าท่านหญิงโรคเก่ากำเริบหรือคิดว่าเกิดอะไรขึ้นที่ห้องหอก็จะถูกคนตำหนิ และก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น
เจียงเซี่ยนไม่ให้ชีกูไปเชิญหมอ
แต่หลี่เชียนกลับยืนกรานที่จะให้ชีกูไปเชิญหมอ “เรื่องใดก็ไม่สำคัญเท่าร่างกายของเจ้า!”
ทั้งสองคนต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ชีกูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ฮูหยินหลี่จำเป็นต้องออกหน้าเตือน “ในเมื่อท่านหญิงบอกว่าไม่เป็นไร แม่ทัพหลี่คอยสังเกตก็พอแล้ว หากอีกสักครู่ยังไม่ดีขึ้น ค่อยไปเชิญหมอก็ไม่สายเช่นกัน”
หลี่เชียนสังเกตเจียงเซี่ยนอย่างละเอียด
เห็นนางแก้มแดงทั้งสองข้าง และสายตาเลอะเลือน ก็ปวดใจเป็นอย่างมาก และเสียใจมากที่ใช้เหล้าจากเฝินหยางเป็นเหล้ามงคลในวันนี้
เขาอยากกอดเจียงเซี่ยนไว้ในอ้อมแขนมาก ให้นางพิงเขา นางจะได้สบายหน่อย ทว่าพวกฮูหยินหลี่ต่างก็อยู่ที่นี่ เขาจึงทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น!
แต่เจียงเซี่ยนกลับไม่ได้คิดมากเท่าเขา นางยิ้มพลางให้ฮูหยินหลี่ไปรับเด็กที่จะให้มากลิ้งบนเตียงเข้ามา “ข้ายังไม่เคยเห็นว่าให้เด็กมากลิ้งบนเตียงอย่างไรเลย?”
ท่าทางอยากรู้อยากเห็นมาก
หลี่เชียนเห็นก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
บางทีอาจจะเพราะอยู่กับไทฮองไทเฮาที่อยู่เป็นหม้ายมานาน เจียงเซี่ยนจึงไม่ใช่คนที่อยากรู้อยากเห็น นางพูดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เขายืนกรานเรื่องเชิญหรือไม่เชิญหมอกับนางต่อ
หลี่เชียนจำเป็นต้องยอมอ่อนข้อให้ และให้ชีกูไปเชิญเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงคู่นั้นเข้ามา
ฮูหยินหลี่เห็นแล้วก็ยิ้ม
ตอนที่นางเห็นสินเดิมของเจียงเซี่ยนก็รู้ว่าตระกูลเจียงกำลังเตือนตระกูลหลี่ว่าอย่ารังแกบุตรสาวของพวกเขา จึงคิดว่าเจียงเซี่ยนคงจะนิสัยไม่ค่อยดีนัก คิดไม่ถึงว่าเจียงเซี่ยนกลับเป็นคนอ่อนโยน และว่านอนสอนง่ายมาก
ฮูหยินหลี่อดที่จะมองเจียงเซี่ยนอีกเล็กน้อยไม่ได้
เห็นเพียงหลี่เชียนหยิบหมอนอิงใบใหญ่ใบหนึ่งจากด้านหลังมาให้เจียงเซี่ยนพิงหลัง และถามเจียงเซี่ยนด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าจะแต่งตัวใหม่หรือไม่? ถอดมงกุฎหงส์บนศีรษะออกไหม? ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวก็ไม่มีคนอื่นเข้ามา เจ้ารู้สึกว่าแบบไหนสบายก็แต่งตัวแบบนั้นเถอะ!”
“ข้าไม่เป็นไรน่า!” เจียงเซี่ยนคิดว่างานแต่งงานล้วนมีความหมายแฝงที่ดีทั้งนั้น นางปฏิบัติตามจะดีกว่า และอดที่จะเตือนเขาเสียงเบาไม่ได้ว่า “เจ้าก็อย่าทำอะไรมั่วซั่วตามใจชอบเช่นกัน ไทฮองไทเฮาเป็นผู้กำหนดขั้นตอนของงานแต่งงานทั้งหมดด้วยพระองค์เอง และเคยขอให้สำนักหอดูดาวหลวงดูฤกษ์มงคลแล้ว เจ้าอย่าทำให้ไทฮองไทเฮาผิดหวังเชียว”
เช่นโต๊ะไหว้ฟ้าดินก็ควรจะตั้งอยู่ในห้องหอ ทว่าไทฮองไทเฮาคิดว่าเจียงเซี่ยนได้กลิ่นธูปนานแล้วจะไม่สบาย จึงขอให้ตระกูลหลี่ย้ายโต๊ะไหว้ฟ้าดินไปไว้ที่ห้องด้านนอก
หลี่เชียนก็ตอบเสียงเบาเช่นกันว่า “ข้ารู้แล้ว”
เวลานี้เขาหวังเพียงว่างานแต่งงานจะจบเร็วขึ้น เจียงเซี่ยนจะได้พักผ่อนเร็วหน่อย
————————————-