มู่หนานจือ – บทที่ 275 สนทนากันยามราตรี

มู่หนานจือ

หลี่เชียนเอ่ยโดยไม่ปิดบังเจียงเซี่ยนว่า “หม่าเซี่ยงหย่วน เขาถามข้าโดยเฉพาะว่าตงเยว่เป็นเด็กรับใช้ข้างกายข้าหรือเด็กรับใช้ข้างกายเจ้า ข้าคิดว่าเขาพูดจามีลับลมคมใน เพื่อความปลอดภัย หลายวันนี้จึงให้ตงเยว่อยู่กับเด็กรับใช้ของข้า”

เอ่ยถึงหม่าเซี่ยงหย่วนแม่ทัพเมืองเซวียนในเวลานี้ เจียงเซี่ยนก็มีเรื่องจะคุยกับหลี่เชียน

นางใช้ขี้ผึ้งหอมทามือ และนั่งลงตรงขอบเตียง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าเจอหม่าเซี่ยงหย่วนแล้วหรือ? เขาให้ความรู้สึกที่ไม่ดีกับเจ้าหรือ?”

ไม่อย่างนั้นหลี่เชียนก็คงจะไม่จัดให้ตงเยว่อยู่กับเด็กรับใช้ของเขาเพราะคำพูดของหม่าเซี่ยงหย่วนเพียงประโยคเดียว

หลี่เชียนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะว่าอย่างไรดีล่ะ? คนๆ นี้ดูเหมือนเปิดเผยตรงไปตรงมา ใจกว้าง และมีน้ำใจมาก แต่ไม่รู้ทำไม…ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาไม่ควรจะทำแบบนั้น เขาควรจะเป็นคนที่ค่อนข้างอาฆาตแค้น ทว่ายังเรียกไม่ได้ว่าเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ก็ไม่ควรจะใจกว้างขนาดนั้นเช่นกัน…วันนี้ไม่เพียงแต่หม่าเซี่ยงหย่วนที่มา จินไห่เทากับเซ่ารุ่ยก็มาเช่นกัน หลายปีนี้ตระกูลเซ่าเฝ้าด่านอวี๋หลินจนร่ำรวยมาก เซ่ารุ่ยก็เริ่มสะเพร่าเล็กน้อยเช่นกัน ตอนที่ดื่มเหล้ามงคล พวกหลี่ขุย จ้าวซี และหูอี่เหลียงต่างก็อยู่ด้วย ตามหลัก หูอี่เหลียงเป็นผู้ว่าราชการมณฑลซานซี หูอี่เหลียงก็ควรจะเป็นคนนั่งที่นั่งของผู้ที่มีฐานะสูงถึงจะถูก ทว่าหูอี่เหลียงถ่อมตนมาก คิดว่าเซ่ารุ่ยอายุมากสุด จึงให้เซ่ารุ่ยนั่ง เซ่ารุ่ยก็ไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว ให้นั่งก็นั่งไป ข้าเห็นสีหน้าของหม่าเซี่ยงหย่วนในตอนนั้นผิดปกติเล็กน้อย ตอนหลังข้าถึงรู้ว่า ที่แท้หม่าเซี่ยงหย่วนแก่กว่าเซ่ารุ่ยหลายเดือน เพียงแต่หม่าเซี่ยงหย่วนย้ายมาจากทางเหลียวตง เขาสนิทกับเลี่ยวซิวเหวินผู้บัญชาการเหลียวตงมาก และเมืองเซวียนก็เป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเจียงมาตลอด เขาจะอยู่ที่เมืองเซวียนได้นานแค่ไหนกันแน่ ทุกคนต่างก็ไม่มั่นใจ และไม่อยากเข้าไปพัวพันในนั้น ดังนั้นเขามาซานซีเกือบสองปีแล้ว แต่ทุกคนก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับเขานัก จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องรู้วันเกิดของเขาแล้ว”

เรื่องนี้บอกได้เพียงว่าความรู้สึกของหลี่เชียนเฉียบไวมากทีเดียว

ชาติก่อนหลังจากหม่าเซี่ยงหย่วนเป็นคนนำทางนำชนกลุ่มน้อยทางเหนือบุกเข้าโจมตีเมืองหลวง ลุงของนางก็เคยวิเคราะห์หม่าเซี่ยงหย่วนให้นางฟัง โดยบอกว่าเขาหน้าไหว้หลังหลอก ดูเหมือนเปิดเผยตรงไปตรงมาและใจกว้าง ความจริงแล้วจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว และเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น คนแบบนี้ต่อให้ไม่ถูกน้องชายของคนสกุลฟางใส่ร้าย ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งเขาก็จะทำลายแคว้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

อย่าว่าแต่คบหาเลย เขาไม่ใช่คนที่อยู่ในค่ายด้วยซ้ำ

ทว่าเวลานี้เจียงเซี่ยนกลับสนใจอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า นางถามหลี่เชียนอย่างสนใจมาก “หูอี่เหลียงมาดื่มเหล้ามงคลแล้ว เขามอบของขวัญอะไรให้พวกเราหรือ?”

พวกเรา!

เจียงเซี่ยนพูดว่าพวกเรา!

หลี่เชียนรู้สึกว่าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ไพเราะมากกว่านี้มาก่อนในชีวิต

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เขามอบผลงานภาพวาดของตัวเขาเองให้ชิ้นหนึ่ง”

เจียงเซี่ยนหัวเราะเยาะ

นางก็รู้ว่า ด้วยความขี้เหนียวของหูอี่เหลียง ไม่มีทางที่จะมอบของขวัญที่ล้ำค่ามากกว่าให้นาง

ทว่าแม้หูอี่เหลียงจะเป็นคนโลภมาก แต่กลับลายมือสวยและวาดภาพสวย ในแวดวงปัญญาชนก็เป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นที่มีชื่อเสียง ชาติก่อนเขาถูกนางฆ่า ชาตินี้เขาเป็นเสนาบดีกรมคลังไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะผ่านภัยพิบัตินี้ไปได้หรือไม่

ทว่าหลี่เชียนสามารถตอบนางได้ทันทีที่นางเอ่ยข้อสงสัย ก็แสดงว่าสนใจเรื่องพวกนี้เช่นกัน

หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลังจากที่ข้าเคยได้ยินเจ้าบอกนิสัยของเขา ก็คบหาและไปมาหาสู่กับเขาตามที่เจ้าบอก แล้วก็ใช้ได้จริงๆ ด้วย! ดังนั้นครั้งนี้ตอนที่ข้าไปส่งเทียบเชิญให้เขาจึงบอกเขาโดยเฉพาะด้วยว่า ที่จวนจัดงานเลี้ยง ให้เขาไม่ต้องนำของขวัญมา แถมยังมอบแกะทองคำเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ให้เขา เพราะไปเยี่ยมเยียนเขาด้วย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมอบของขวัญให้ แม้ภาพนั้นจะไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ทำได้เพียงทำเป็นฉากกั้นสำหรับตกแต่งและวางบนโต๊ะ แต่ไม่ว่ายังไงก็มอบของขวัญให้พวกเราชิ้นหนึ่ง”

เพราะขี้เหนียวเกินไป ดังนั้นจู่ๆ เขาก็มอบของขวัญให้ คนรับของขวัญจึงกลับดีใจปนไม่สบายใจเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม

ภายใต้โคมมงคลสีแดงเข้ม นัยน์ตางดงามระยิบระยับเหมือนดวงดาว

ทำให้เขาใจเต้น

เขาอดไม่ได้ที่จะดึงมือของเจียงเซี่ยน และเอ่ยเสียงเบาว่า “ดึกแล้ว พวกเราก็รีบนอนเถอะ! มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

เจียงเซี่ยนเห็นสายตาของเขาแวววาว เหมือนมีกองไฟลุกไหม้อยู่ในดวงตา ก็รู้สึกไม่สบายใจมาก และอดไม่ได้ที่เอ่ยเสียงเบาว่า “คืน…คืนนี้เจ้าจะนอนที่นี่จริงๆ หรือ?”

“แน่นอน!” หลี่เชียนตอบอย่างเด็ดขาด “พวกเราแต่งงานกันแล้ว พวกเราย่อมต้องอยู่ด้วยกัน”

เจียงเซี่ยนหน้าแดง และนึกถึงชาติก่อนมีครั้งหนึ่งที่หลี่เชียนมาเข้าเฝ้านางที่เมืองหลวงด้วยเรื่องที่กานซู่เพิ่มทหาร นางเป็นหวัดพอดี จึงเลื่อนการพบกันในวันนั้นไปหลังจากนั้นสองสามวัน ปรากฏว่าหลี่เชียนยืนกรานที่จะพบนาง นางไม่อยากทะเลาะเรื่องข้อราชการกับเขา จึงบอกเขาอย่างชัดเจน แต่หลี่เชียนกลับบอกนางว่า เพียงแค่อยากมาเยี่ยม และจะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่กานซู่เพิ่มทหารเด็ดขาด นางใจอ่อนง่ายเวลาป่วยมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ที่นางช่วยหลี่เชียนหลายครั้งก็ล้วนเป็นเพราะอ่านสาส์นของหลี่เชียนตอนที่ป่วยทั้งนั้น หลี่เชียนก็น่าจะรู้อยู่บ้างเช่นกัน นางจึงเกลียดเรื่องที่เขาอยากพบนางมาก เฉาเซวียนไม่รู้เบื้องหลัง และออกหน้าเตือนนางว่า หลี่เชียนก็รักษามารยาทของเจ้านายกับขุนนางอย่างเคร่งครัดเช่นกัน ไม่รู้อย่างเด็ดขาดว่านางไม่สบายเล็กน้อยแต่กลับไม่มาเยี่ยม หากนางปฏิเสธการเยี่ยมของเขา เกรงว่าจะทำให้ในราชสำนักเดาว่านางไม่พอใจหลี่เชียน และไม่เป็นผลดีต่อการปฏิรูปที่ดินที่พวกเขาเตรียมจะดำเนินการหลังจากนี้

นางจำเป็นต้องเรียกหลี่เชียนเข้าเฝ้า

ครั้งนั้นหลี่เชียนถามเพียงแค่อาการป่วยของนางตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากรู้ว่านางใกล้หายดีแล้ว ก็อ่านบันทึกการเดินทางให้นางฟังผ่านฉากกั้นไม่กี่หน้า เห็นนางสีหน้าไม่ค่อยดี ก็ลุกขึ้นบอกลาทันที

หลังจากนั้นพบกันอีกครั้ง ทั้งสองคนก็ทะเลาะและโต้เถียงกันเรื่องที่กานซู่เพิ่มทหารอย่างรุนแรง…

คิดว่าตอนที่หลี่เชียนเข้าเมืองหลวงจะต้องตัดสินใจแน่วแน่แล้วอย่างแน่นอน

ทว่าเขาบอกว่าจะไม่คุยเรื่องพวกนี้ต่อหน้านางก็ไม่คุย

นางควรจะเชื่อใจเขาขึ้นอีกนิดหรือไม่?!

เจียงเซี่ยนหลุบตาลงและขึ้นเตียง

หลี่เชียนดีใจมาก และหลีกทางให้ด้านใน

เจียงเซี่ยนมองขายาวของเขาที่วางอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน หากนางไม่ข้ามตัวเขาไป ก็ต้องคลานไปทางเท้าของเขา

แบบไหนนางก็ไม่อยากทำทั้งนั้น

เจ้าคนสารเลวนี่ตั้งใจใช่หรือไม่?

สายตาของเจียงเซี่ยนอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย

แต่สายตาที่หลี่เชียนมองนางกลับบริสุทธ์และสดใส แถมยังเจือความงุนงงเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนหลับตา และเตะน่องของเขาพลางเอ่ยว่า “เจ้านอนข้างใน หรือไม่เจ้าก็ลงไปและให้ข้าขึ้นเตียงก่อน…”

ความผิดหวังอย่างเบาบางฉายวาบผ่านไปในดวงตาของหลี่เชียนอย่างเร็วมาก

เสียดายที่เจียงเซี่ยนกำลังโกรธ จึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติให้ดวงตาของหลี่เชียน แน่นอนว่า นี่ก็เกี่ยวข้องกับที่หลังจากหลี่เชียนได้ยินก็ลุกขึ้นยืนทันที และให้เจียงเซี่ยนขึ้นเตียงก่อนเช่นกัน

“เจ้านอนข้างในดีกว่า” เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “หากตอนกลางคืนเจ้าอยากดื่มน้ำ ข้าก็จะได้รินให้เจ้า”

ดีขนาดนี้จริงๆ หรือ?

เจียงเซี่ยนตัดสินใจว่าอีกเดี๋ยวจะลองทดสอบเขา

นางหลบอยู่ข้างในอย่างแผ่วเบา ดึงผ้าห่มมาถึงอก และหลับตาลง

จู่ๆ หลี่เชียนก็ลุกขึ้น

เจียงเซี่ยนตกใจมาก จึงรีบลืมตาขึ้น

ก็เห็นว่าเขาโน้มตัวไปย้ายโคมวังหลวงที่วางอยู่ตรงหัวเตียงของพวกนางลงไปบนพื้น

แบบนี้…ก็ส่องไม่ถึงหัวเตียงของพวกนางแล้ว

เจียงเซี่ยนลังเลอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยว่า “ตอนที่เจ้านอนไม่ชอบจุดโคมไฟเอาไว้หรือ?”

“ตอนที่นอนใครจะจุดโคมไฟเอาไว้กัน” หลี่เชียนเอ่ย และทันใดนั้นก็รู้ว่าตนเองพูดผิดแล้ว

คนธรรมดาต่างไม่จุดโคมไฟ และนอนเร็วตื่นเช้า เพื่อน้ำมันตะเกียงไม่กี่เหลี่ยง[1]

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับเติบโตในสถานที่ที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า ตอนที่นางนอน ก็ต้องจุดโคมไฟเอาไว้เช่นกัน

“เช่นนั้นข้าย้ายโคมไฟมาดีกว่า!” หลี่เชียนเอ่ยพลางลุกขึ้นไปหยิบโคมไฟ

———————————-

[1] 1 เหลี่ยง = 50 กรัม

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท