คุกเข่าคำนับหลี่ฉางชิงแล้ว ยกน้ำชาแล้ว หลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนก็ยืนเคียงข้างกัน รอฮูหยินหลี่ส่งชาให้พวกเขา จะได้คุกเข่าคำนับฮูหยินเหอ
ทว่าใครจะรู้ว่าหลี่ฉางชิงกลับชี้เก้าอี้ไท่ซือที่ว่างเปล่าข้างๆ และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าอ่อนโยนและมีความสุขว่า “ท่านหญิง แม่ของจงเฉวียนไม่อยู่แล้ว แต่ตอนที่นางมีชีวิตอยู่ ก็หวังมาตลอดว่าจงเฉวียนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และสร้างเนื้อสร้างตัวได้ พวกเจ้าก็ถือว่านางยังอยู่ คุกเข่าคำนับนาง และเรียกนางว่าแม่สักครั้งเถอะ!”
เช่นนั้นพวกเขาควรจะเรียกฮูหยินเหอว่าอะไร?
เจียงเซี่ยนมองหลี่ฉางชิงที่สีหน้าเจือความเศร้าเล็กน้อย ทว่ากลับทำอะไรสะเพร่าและบุ่มบ่าม แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
แต่หลี่เชียนกลับเหมือนชินกับสิ่งที่บิดาทำมานานแล้ว เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น และดึงเจียงเซี่ยนให้คุกเข่าลงบนเบาะรองนั่งทรงกลมที่ทำจากธูปฤาษีอีกครั้ง แล้วคำนับเก้าอี้ไท่ซือที่ว่างเปล่าอย่างเคารพนบนอบสามครั้ง และเรียกว่า “ท่านแม่”
เจียงเซี่ยนทำตามทันที
ในดวงตาของหลี่ฉางชิงปรากฏประกายน้ำตาแล้ว
เขาล้วงกำไลหยกมันแพะที่มีรอยสีเหลืองและมีส่วนผสมของเนื้อทองคำที่ธรรมดามากคู่หนึ่งออกมาจากในกระเป๋าและวางลงบนถาดที่วางของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรก และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนพลางถอนหายใจว่า “นี่เป็นสินเดิมของแม่จงเฉวียน เป็นของที่นางนำมาจากบ้านของนาง ตอนที่แม่ของจงเฉวียนป่วยหนักและใกล้จะตายเคยบอกว่า นี่เป็นของเก่าที่บ้านของนางส่งต่อให้ลูกสาวไม่ส่งต่อให้ลูกชาย หากมีลูกสาว ก็จะมอบกำไลนี้ให้ลูกสาว เสียดายที่พวกเราไม่มีลูกสาว ของชิ้นนี้จึงเก็บไว้ให้ภรรยาของจงเฉวียน ข้าก็เก็บเอาไว้สิบกว่าปีแล้ว เวลานี้ก็มอบให้ท่านตามความต้องการของแม่จงเฉวียนแล้วกัน! ขอให้ท่านหญิงโปรดอย่ารังเกียจ”
เจียงเซี่ยนอึ้งไป
นางคิดไม่ถึงว่าผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว หลี่ฉางชิงยังคงคิดถึงแม่แท้ๆ ของหลี่เชียนอยู่ตลอดเวลา
มิน่าเล่าชาติก่อนเขาถึงได้ลาออกเร็วขนาดนั้น
เขาคงจะหลีกทางให้หลี่เชียนกระมัง?
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพเขา
นางจึงคุกเข่าคำนับเก้าอี้ไท่ซือที่ว่างเปล่าอีกสามครั้ง แล้วถึงจะรับกำไลหยกที่แม่แท้ๆ ของหลี่เชียนทิ้งเอาไว้คู่นั้นด้วยสองมือ และเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ท่านพ่อ ข้าจะเก็บรักษาและดูแลของที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ข้าอย่างดี”
หลี่ฉางชิงหัวเราะ ดูออกว่าดีใจมาก และเอ่ยว่า “จะเก็บรักษาและดูแลหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องส่งต่อกำไลนี้ต่อไป”
ความนัยที่แฝงในนั้นคือ ให้พวกเขารีบสืบทอดสายเลือดของบรรพบุรุษ
คนส่วนใหญ่ต่างก็ฟังเข้าใจ
บางคนแอบซุบซิบกัน บางคนเอ่ยเสียงเบาอย่างหวังดีว่า “ใต้เท้าหลี่ใจร้อนจะอุ้มหลานแล้วนี่นา!”
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังไปทั่วห้อง
หน้าของเจียงเซี่ยนร้อนผะผ่าว
ตระกูลที่สร้างความดีความชอบต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวงในเมืองหลวงนั้น ลูกสะใภ้แทบจะไม่คุยกับพ่อสามี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดออกมาแบบนี้ในโอกาสแบบนี้
แต่นางก็โกรธไม่ลง
ไม่ใช่ว่าไม่ถูกกาลเทศะ แต่นางกลัวล่วงเกินหลี่ฉางชิง ทว่านางเข้าใจความปรารถนาอันล้ำลึกในฐานะบิดาต่อลูกชายของหลี่ฉางชิงอย่างลึกซึ้ง นางจึงไม่อาจมองข้ามความห่วงใยและความรักแบบนี้ได้
จึงทำได้เพียงถลึงตาใส่หลี่เชียนครั้งหนึ่ง และมอบของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกให้
เป็นเสื้อคลุมที่นักบวชลัทธิเต๋าสวมสองชุด รองเท้าสี่คู่ และถุงเท้าหกคู่
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนไม่ได้เป็นคนทำของพวกนี้
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องงานเย็บปักถักร้อยของเจียงเซี่ยนเป็นอย่างไร การแต่งงานนี้ตัดสินใจอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ เจียงเซี่ยนก็ไม่มีทางทำได้
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ตอนที่หลี่ฉางชิงได้รับของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกจากลูกสะใภ้ก็ยังดีใจจนยิ้มไม่หุบ และชมไม่หยุดว่างานเย็บปักถักร้อยสวย
เจียงเซี่ยนรับโดยไม่รู้สึกลำบากใจ
หลี่เชียนเห็นแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ
เขานี่ช่างเป็นแบบอย่างของการประสบหายนะและเดือดร้อนไปด้วยอย่างไร้สาเหตุ
เจียงเซี่ยนไม่พอใจบิดาของเขา ก็มาระบายอารมณ์ใส่เขา
ทว่าเขาจะพูดอะไรได้?
คนหนึ่งเป็นบิดาของเขา อีกคนก็เป็นภรรยาของเขา แถมยังอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
เขาทำได้เพียงส่งสายตาให้ฮูหยินหลี่
ฮูหยินหลี่เห็นใจสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานคู่นี้มาก…พ่อสามีเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้ แม่สามีเป็นคนที่ไม่คุมงาน ต่อไปในบ้านนี้จะทำอย่างไร!
รีบจัดการให้การพบกันเป็นครั้งแรกของญาติของทั้งสองฝ่ายนี้จบเร็วหน่อยดีกว่า!
นางครุ่นคิดแล้วก็รีบยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าสาวควรยกน้ำชาให้ฮูหยินเหอแล้ว!”
ทั้งสองคนคุกเข่าคำนับฮูหยินเหอ เจียงเซี่ยนเห็นหลี่เชียนเรียกฮูหยินเหอว่า “ท่านแม่” ก็เรียกตามเช่นกัน และส่งชาให้
ฮูหยินเหอคารวะตอบพวกเขาครึ่งเดียว และรับถ้วยชาไปด้วยรอยยิ้มฝืนใจเล็กน้อย นางจิบคำเล็กๆ คำหนึ่งเหมือนเป็นสัญลักษณ์ แล้วมอบกำไลทองคำบริสุทธิ์ที่ฝังทับทิมคู่หนึ่งให้เป็นของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรก
เจียงเซี่ยนให้ของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกตอบแทนเหมือนกับหลี่ฉางชิง
ฮูหยินเหอสีหน้าคลายความโกรธลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายเข้ามาดึงนางลุกขึ้นด้วยตนเอง และถามนางอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตรสองสามคำประมาณว่า “เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในบ้าน พอจะกินได้หรือไม่? นอนได้ไหม? หากรู้สึกไม่สบายตรงไหนอย่าลืมบอกข้า ในบ้านมีคนเยอะขนาดนี้ ก็เพื่อรับใช้คน ไม่ต้องรู้สึกเกรงใจจนไม่กล้าสั่งคน”
เจียงเซี่ยนอยากบอกฮูหยินเหอมากว่า ต่อให้ในใจท่านคิดเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาต่อหน้าคนมากขนาดนี้เช่นกัน ในบ้านนี้ต้องดำเนินไปตามปกติ หากไม่มีพวกหญิงรับใช้ จะอาศัยเพียงท่านคนเดียวก็ไม่ได้หรอก
การปกครองผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ต้องใช้การให้รางวัลกับการลงโทษร่วมกัน ไม่ใช่ว่าจะอาศัยการให้รางวัลเพียงอย่างเดียว แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะอาศัยการข่มขู่เพียงอย่างเดียวเช่นกัน…แค่คำพูดของนางก็ล่วงเกินหญิงรับใช้ทั้งจวนสกุลหลี่แล้ว ไม่มีการสนับสนุนจากหลี่ฉางชิงอีก มิน่าเล่านางถึงสั่งใครไม่ได้เลย!
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางขานว่า “เจ้าค่ะ”
ในญาติที่ไม่เกินสามรุ่นก็ไม่มีใครที่ลำดับศักดิ์สูงกว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกแล้ว
เจียงเซี่ยนคิดว่าต่อไปก็ควรจะยกน้ำชาให้ลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของหลี่เชียน และมอบของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกให้น้องชาย แต่ใครจะรู้ว่าหลี่ฉางชิงกลับแนะนำเกาฝูอวี้ที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเขาให้เจียงเซี่ยน “ท่านนี้คือท่านฝูอวี้ พี่น้องร่วมสาบานของข้า จัดอยู่ในอันดับที่เจ็ด พวกเจ้าเรียกเขาว่านายท่านเจ็ดก็ได้”
ที่แท้คนๆ นี้ก็คือกุนซือของตระกูลหลี่
อาจจะเป็นเพราะในห้องนี้ยังมีชายวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้าอีกหลายคน ดูท่าทางแล้ว หากไม่ใช่ขุนนาง ก็เป็นพ่อค้าใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรของตระกูลหลี่หรือพวกคนที่คบหาในวงการขุนนาง เรื่องบางเรื่องคงไม่อาจพูดต่อหน้าคนเหล่านี้ได้กระมัง!
ทว่าการเรียงลำดับแบบนี้ ก็เห็นว่าหลี่ฉางชิงให้ความสำคัญกับเกาฝูอวี้แล้ว
เจียงเซี่ยนยกน้ำชาให้เกาฝูอวี้ตามหลี่เชียน
เพราะเกาฝูอวี้ไม่ใช่คนที่ต้องเตรียมของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกให้ที่ปรากฏอยู่ในรายการของขวัญก่อนหน้านี้ เจียงเซี่ยนไม่ได้เตรียมรองเท้ากับถุงเท้าที่เหมาะสมให้เขา จึงมอบถุงตาข่ายใส่พัดกับถุงใส่แว่นตาให้
เกาฝูอวี้ยิ้มพลางขอบคุณ ของขวัญที่ให้ตอบแทนเป็นสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือที่บรรจุอยู่ในกล่องของขวัญ
เจียงเซี่ยนแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของอุทยานพู่กันและหมึกในเมืองหลวง แถมยังเป็นรุ่นเก่าของปีที่แล้ว มีเงินก็ซื้อได้
เกาฝูอวี้ไม่ได้ใส่ใจกับของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกของนางนัก
ดังนั้นเจียงเซี่ยนจึงไม่ค่อยชอบเขา ดีที่ของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกที่นางให้เกาฝูอวี้ก็เพียงแค่ชี้ไปเช่นกัน
หลังจากนั้นฮูหยินหลี่แนะนำหลี่หลินลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของหลี่เชียน หลี่จี้น้องชายที่เกิดจากอนุภรรยา และหลี่จวีน้องชายกับหลี่ตงจื้อน้องสาวต่างมารดาให้นาง หลี่หลินเป็นชายหนุ่มที่ผอมสูงและหล่อเหลา ตอนที่ยิ้มคล้ายหลี่เชียนเล็กน้อย ซึ่งต่างก็เป็นผู้ชายที่ดูร่าเริงมาก แต่เขาหน้าตาไม่ได้สัดส่วนเท่าหลี่เชียน สายตาก็ไม่สดใสเท่าหลี่เชียนเช่นกัน จึงไม่สะดุดตาเท่าหลี่เชียน
ส่วนหลี่จี้หน้าตาไม่เหมือนทั้งหลี่เชียนและหลี่ฉางชิง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาอ่อนโยน ผิวขาวผ่อง ยิ้มอย่างเขินอาย ตอนที่เจียงเซี่ยนมอบของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกให้เขา เขาขอบคุณเสียงเบา แลดูอ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัย
เจียงเซี่ยนเดาว่าเขาหน้าตาเหมือนแม่แท้ๆ ของเขา
พอคิดถึงตรงนี้ เจียงเซี่ยนก็ตระหนักได้ว่าจนถึงตอนนี้นางเหมือนจะยังไม่เห็นอนุภรรยาของหลี่ฉางชิงเลย เพราะไม่อนุญาตให้เข้าร่วมโอกาสแบบนี้หรือว่าป่วยตายไปแล้ว?
นางเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้สอบถามสถานการณ์ของตระกูลหลี่มาอย่างละเอียด
ส่วนหลี่จวีหน้าตาเหมือนฮูหยินเหอทุกประการ หน้าตาดี ผิวเหมือนหยก สีหน้าหยิ่งยโส มีความอวดดีและทะนงตนที่มีเฉพาะเด็กหนุ่ม เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
หลี่ตงจื้อกับหลี่จวีนั้นแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองคนเหมือนพิมพ์ออกมาจากเบ้าหลอมอันเดียวกัน และต่างก็หน้าตาดีมาก
ทว่าสายตาที่นางมองเจียงเซี่ยนกลับขี้ขลาดเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนอดที่จะเดาไม่ได้ว่านี่เป็นเพราะบิดาเป็นคนสั่งสอนลูกชาย และมารดาเป็นคนสั่งสอนลูกสาวหรือเปล่า
————————————