หลี่เชียนได้ยินแล้วก็อดที่จะลังเลเล็กน้อยไม่ได้
เขาไม่เหมือนกับหลี่ฉางชิง
หลี่ฉางชิงคิดว่าหลี่เชียนแต่งงานกับผู้หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าอย่างท่านหญิงเจียหนานแล้ว มีการสนับสนุนจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ผูกสัมพันธ์กับราชวงศ์แล้ว ก็พอสำหรับตระกูลหลี่แล้ว ไว้ผ่านไปอีกสามสี่ห้าปี ท่านหญิงเจียหนานมีหลานชายหลานสาวให้เขาอีกสักสองสามคน ตระกูลหลี่ก็เปลี่ยนหน้าตาใหม่เช่นกัน แม้จะไม่มีอำนาจมากเท่าตระกูลเจียง แต่ก็ไม่เหมือนอย่างตอนนี้ที่ใครๆ ต่างก็กล้าเหยียบย่ำพวกเขา
ไม่มีวิกฤตและความกดดันในการดำรงชีวิตแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้นแล้วเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นการแต่งงานเป็นเรื่องที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตของคน หลี่เชียนควรจะเสวยสุขให้เต็มที่ถึงจะถูก
หลี่เชียนรู้สึกได้ถึงความคิดและความหวังดีของบิดา ทว่ากลับไม่อาจรับได้
หากเขาไม่ได้ไปเมืองหลวง ไม่ได้เห็นว่าตระกูลเจียงเผชิญหน้ากับพระประสงค์ของฮ่องเต้ในราชสำนักอย่างหน้าไหว้หลังหลอกอย่างไร ไม่ได้เห็นคู่หมั้นที่รอเลือกสามคนของเจียงเซี่ยน ไม่ได้ใช้กำลังช่วงชิงคนรักของคนอื่น เขาก็อาจจะคิดเหมือนกับบิดาของเขาก็ได้
เมื่อก่อนตระกูลหลี่ก็ร่ำรวยมาก ตอนนี้มีอำนาจอีก ก็ปลอดภัยชั่วคราวแล้ว
พวกเขาทำอะไรอีก ตระกูลหลี่ก็จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนักอยู่ดี
ก็ควรจะพักสักหน่อย ทำให้พวกสิ่งที่ช่วงชิงมาก่อนหน้านี้ตกตะกอนลงมา มีลูก อบรมสั่งสอนลูก อีกสิบปีหรือยี่สิบปีหลังจากนี้ ตระกูลหลี่ก็จะเปลี่ยนไปต่างจากเดิมตามธรรมชาติ
แต่เขาไปเมืองหลวง เจอคนที่รอเลือกให้เป็นคู่หมั้นของเจียงเซี่ยนสามคน แล้วก็สร้างความแค้นที่แย่งภรรยากับจ้าวเซี่ยวแล้ว เขาต้องปกป้องความปลอดภัยของเจียงเซี่ยน เขาต้องมอบรังเล็กๆ ที่ปลอดภัยให้ลูกของเขากับเจียงเซี่ยน จึงต้องต่อสู้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสักวันหนึ่งเขาสามารถเผชิญหน้ากับอำนาจอันแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่น่าเกรงขามของจวนจิ้งไห่โหวได้และยังคงมีความสามารถในการต่อสู้เช่นเดิม และเอาชนะพวกเขา ตอนนั้นเขาถึงจะสามารถปกป้องความปลอดภัยของเจียงเซี่ยนได้อย่างแท้จริง และถึงจะปกป้องลูกของเขากับเจียงเซี่ยนได้
เพียงแต่หากเขาเอ่ยเรื่องพวกนี้ให้บิดาฟัง แม้บิดาจะเข้าใจทว่าก็ยากที่จะเข้าใจความรู้สึกถึงอันตรายในใจเขาได้เช่นกัน และอาจจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ อาจจะยังรู้สึกว่าเขาหัวรุนแรงเกินไป ไม่สุขุมพอ
และคนที่เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ อาจจะมีแต่เจียงเซี่ยน
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับนางมาก
ทว่าก็ทะเยอทะยานมากและมีปณิธานอันยิ่งใหญ่เช่นกัน
หลี่ฉางชิงพูดแบบนี้ อาจจะทำให้หลี่เชียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นางไม่รอให้หลี่เชียนเอ่ยปากก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วว่า “ตอนนี้เพิ่งจะปลายเดือนห้า ตอนปลายเดือนแปดพวกเราจะกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เฝินหยาง ช่วงเดือนเก้าท่านแม่ทัพถึงจะไปเสฉวน น่าจะไม่เป็นไรกระมัง?”
หลี่ฉางชิงได้ยินแล้วก็เกือบจะหมดสติไป
ท่านหญิงเจียหนานรู้หรือไม่กันแน่ว่าเขากำลังช่วยนางรั้งหลี่เชียนให้อยู่บ้านเป็นเพื่อนนางอยู่ พอถึงเดือนสิบ ทางทุ่งหญ้าเริ่มหิมะตก เหล่าชนกลุ่มน้อยทางเหนือไม่มีกินแล้วก็จะเริ่มก่อกวนชาวบ้าน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นกองบัญชาการซานซี ทว่าหากเป็นช่วงที่กองบัญชาการไท่หยวนหรือกองบัญชาการต้าถงต้องการคนเสริมกำลัง หลี่เชียนเป็นแม่ทัพโหยวจีแห่งกองบัญชาการซานซี หากไม่ลงสนามรบก็ต้องไปควบคุมการรบที่ประตูเมือง และด้วยนิสัยของหลี่เชียน เขาจะต้องออกรบนำหน้าทหารอย่างแน่นอน
ไปครั้งหนึ่งไม่อยู่บ้านสองสามเดือน แล้วก็เป็นฤดูหนาวที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะอีก หากมีผู้หญิงสักสองสามคนก็จะรู้สึกมีความสุข
หลี่ฉางชิงเอ่ยปากก็อยากตำหนิเจียงเซี่ยนเล็กน้อย ทว่าพอเหลือบตาขึ้นเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แดงเลือดฝาดและเกลี้ยงเกลาเหมือนเด็กของนาง อย่างไรก็เอ่ยสิ่งที่จะตำหนิไม่ออก
ลูกสะใภ้เด็กเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน!
หลี่ฉางชิงพึมพำอยู่ในใจ และสูดหายใจลึก ทำให้ความโกรธในใจค่อยๆ สลายไป พยายามทำให้เสียงของตนเองฟังดูอ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัย แล้วเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “เจ้านี่นะ ทำไมถึงไม่รู้ความเช่นนี้! เขาไปกลับต้องใช้เวลาเดือนกว่านะ! พอเขากลับมา พวกเราก็เป็นไปได้มากว่าต้องเปิดศึกกับชนกลุ่มน้อยทางเหนือแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่ได้เห็นเขาเกินครึ่งปี แล้วเจ้าก็เพิ่งมาถึง เขาไม่อยู่ข้างกายเจ้า ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่สบายใจ”
เจียงเซี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย
นางคิดไม่ถึงว่าหลี่ฉางชิงที่ดูหยาบคายเช่นนี้ จะกลับเป็นคนละเอียดและเอาใจใส่
หรือว่าหลี่เชียนนิสัยเหมือนเขาอย่างนั้นหรือ?
เจียงเซี่ยนครุ่นคิด พลางมองหลี่ฉางชิงอย่างถูกชะตาขึ้นเล็กน้อย เสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นเช่นกัน “บุรุษที่ดีมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ท่านแม่ทัพไปทำงานสำคัญ ข้าจะถ่วงแข้งถ่วงขาท่านแม่ทัพได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นแม้ข้าจะเติบโตที่วังฉือหนิง แต่ก็เป็นผู้หญิงของจวนเจิ้นกั๋วกง ญาติผู้ชายในตระกูลส่วนใหญ่ก็มาจากทหารเช่นกัน แถมท่านลุงใหญ่ยังดำรงตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองบัญชาการห้าทัพ ต้องไปลาดตระเวนตรวจการที่ต้าถงและเมืองเซวียนทุกปี ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อยู่บ้าน ควบคุมอาหารการกินในบ้าน เลี้ยงลูก ดูแลพ่อแม่สามี ข้าก็เห็นจนชินแล้วเช่นกัน หากท่านแม่ทัพออกรบ ข้ารู้ว่าควรจะฆ่าเวลาอย่างไร ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่ใช่เด็กสาวที่เติบโตในบ้านอุ่นและอ่อนต่อโลก”
คำพูดนั้นราวกับน้ำแร่ใสสะอาดในภูเขาไหลเข้าไปในใจของหลี่ฉางชิง ทำให้รู้สึกเพียงสบายไปทั้งตัว จนยิ้มแทบไม่หุบ
หลี่ตงจื้อเห็นแล้วก็กะพริบตาไม่หยุด
บิดาของนางก็ถูกเกลี้ยกล่อมแบบนี้แล้ว?
ท่านหญิงเก่งจริงๆ!
นางมองเจียหนานอีกครั้ง แล้วในความอ่อนแอปนขี้ขลาดก็มีความเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไร้สาเหตุ
หลี่จวีหลุบตาลง
พี่สะใภ้ใหญ่ของเขาคนนี้พูดเก่งมาก ทว่านั่นก็เป็นการสักแต่จะพูดโดยไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงเช่นกัน ไว้วันไหนที่นางอยู่คนเดียวจริงๆ ก็รู้ความร้ายแรงแล้ว
มีแต่หลี่หลินกับหลี่จี้ที่ยิ้มตาหยี เหมือนฟังเรื่องที่ไม่สำคัญ
ทว่าหลี่เชียนกลับจิตใจหวั่นไหว หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนมากขนาดนี้ เขาอยากอุ้มเจียงเซี่ยนขึ้นมาจูบสักสองสามทีจริงๆ
เจ้าว่าเด็กสาวผู้นี้ ทำไมถึงน่าเข้าใกล้และน่าเอ็นดูขนาดนี้?
หลี่เชียนเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ก็วางใจเถอะ ข้าจะรีบกลับมาให้ทันเวลา”
หลี่ฉางชิงแอบด่าในใจว่า ‘เจ้าเด็กโง่’
เขาหวังว่าลูกชายจะกลับมาเร็วหน่อยหรือ? เขาหวังว่าลูกชายกับลูกสะใภ้จะรักใคร่ปรองดองกัน และมีหลานชายที่อ้วนตุ้ยนุ้ยให้เขาต่างหาก
ทว่าพูดมาถึงตรงนี้แล้ว เขาพูดอีกก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน แถมยังอาจจะทำให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ไม่พอใจด้วย เขาจึงหุบปาก และเรียกให้ทุกคนดื่มชา
หลังจากนั้นหลี่ฉางชิงกับหลี่เชียนก็คุยเรื่องชีวิตประจำวันในครอบครัวอีกเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนพบว่า หลี่ฉางชิงให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตอย่างหลี่เชียนมาก ตอนที่พวกเขาคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินเหอก็ดี หรือหลี่หลินก็ตาม ต่างก็เพียงแค่ฟังอยู่ข้างๆ เหมือนไม่มีใครกล้าสอดปาก
ชาถ้วยหนึ่งหมดแล้ว ทุกคนก็ควรแยกย้ายแล้วเช่นกัน
หลี่หลินหลีกทางให้หลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนไปก่อน
หลี่เชียนยิ้มพลางดึงแขนของหลี่หลิน และเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ถึงข้าจะแต่งงานแล้ว ท่านก็เป็นพี่ใหญ่ของข้าอยู่ดี ท่านไม่จำเป็นต้องหลีกทางให้ข้าเพราะข้าแต่งงานแล้วเป็นผู้ใหญ่ ส่วนท่านยังเป็นเด็ก”
หลี่หลินยังไม่แต่งงาน แล้วก็ไม่ได้หมั้นหมายเช่นกัน
“เจ้าจะไปไหนก็ไป!” เขาพูดไปก็โยนการควบคุมตนเองในห้องพักผ่อนเมื่อครู่ทิ้งไปทันที และยิ้มพลางปรายตามองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “นี่ข้าก็เห็นว่าเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงไว้หน้าเจ้าไม่ใช่หรือ?”
หลี่เชียนยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี และเอ่ยว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องไว้หน้าข้า ในเมื่อท่านเป็นพี่ใหญ่ของข้า ก็เป็นพี่ใหญ่ของข้าตลอดไป”
เจียงเซี่ยนมักจะรู้สึกว่าหลี่เชียนพูดจามีลับลมคมใน
แต่หลี่หลินกลับเหมือนไม่เข้าใจ เขาหัวเราะ และออกไปจากห้องหลักก่อนพวกเขาอย่างสบายใจ “เจ้าพูดเองนะ ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าเสียใจล่ะ!”
“ท่านพูดไปถึงไหนน่ะ!” หลี่เชียนอดที่จะหัวเราะไม่ได้ สีหน้าจริงใจ “แค่ออกไปข้างนอก ท่านยังจริงจังขนาดนี้ นี่หากท่านพ่อให้อั่งเปา ท่านไม่ต้องแย่งกับข้าจนหัวร้างข้างแตกอย่างนั้นหรือ?”
หลี่หลินหัวเราะตลอด ความใจแคบฉายวาบผ่านไปในดวงตาอย่างเบาบาง และเอ่ยว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ท่านอารองแจกอั่งเปาล้วนเป็นปึกหนามาก ท่านหญิง ตอนท่านฉลองปีใหม่ก็รู้แล้ว!”
ประโยคสุดท้าย เขาเอ่ยกับเจียงเซี่ยน
————————————-