เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง “ไว้ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว พวกเจ้าก็เรียกข้า”
หลี่เชียนรู้ว่าวันนี้พวกนางต้องออกจากเมืองไปส่งเจียงลวี่ก็ยังออกไปขี่ม้า แสดงว่าคำนวณเวลาอย่างแม่นยำแล้วว่าจะไม่ทำให้เสียเวลาไปส่งเจียงลวี่
เจียงเซี่ยนหลับไปอย่างไร้ภาระในใจ
จนกระทั่งนางถูกเขย่าปลุก พอลืมตาก็เห็นใบหน้าที่หน้าตาแจ่มใสและจิตใจเฝ้าปรารถนาของหลี่เชียนพอดี
“รีบตื่นเถอะ!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่ข้ากลับมาผ่านแผงอาหารเช้าของไป๋จี้ จึงเอาเต้าหู้ก้อนกลับมาให้เจ้าถ้วยหนึ่งด้วย เจ้าอยู่ในเมืองหลวงน่าจะดื่มน้ำเต้าหู้ เคยกินเต้าหู้ก้อนหรือไม่? ทางเจียงหนานเป็นที่นิยมมาก ฝูเจี้ยนก็กินเต้าหู้ก้อนเหมือนกัน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินหรือไม่ แต่เต้าหู้ก้อนกับซาลาเปาน้ำแกงของไป๋จี้ต่างมีชื่อเสียงมาก ข้าจึงซื้อกลับมาให้เจ้าลองชิมสักหน่อย หากรู้สึกว่าอร่อย ก็ให้คนครัวทำ ถึงอย่างไรของข้างนอกก็ทำไม่สะอาดเท่าในบ้าน วัตถุดิบก็ดีหน่อยเช่นกัน”
เจียงเซี่ยนกำลังหลับสบาย จู่ๆ ก็ถูกเขย่าปลุก จึงพยักหน้าอย่างสะลึมสะลือ หลี่เชียนพยุงนางขึ้นมาและส่งให้ฉิงเค่อช่วยแต่งตัวให้นาง จนกระทั่งผ้าร้อนเช็ดลงบนหน้านาง นางถึงจะได้สติกลับมา
เพราะไปส่งเจียงลวี่กับฮูหยินฉี นางจึงไม่สวมเครื่องประดับอะไร เสื้อกั๊กยาวผ้าไหมหังไม่มีลายสีเขียวขจี เสื้อชั้นเดียวผ้าแพรสีขาวกับกระโปรงปักลาย เกล้ามวยทรงกลมของผู้หญิง เสียบดอกมะลิแถวหนึ่ง ติดดอกทับทิมทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิม และไปห้องพักผ่อนที่วางอาหารเช้าอย่างสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา
แสงแดดยามรุ่งอรุณในเดือนห้าสาดลงบนลูกกรงหน้าต่างที่ติดผ้าไหมสีขาว ส่องจนเจียงเซี่ยนที่ท่าทางงดงามเหมือนต้นหยางกับต้นหลิวในเดือนสาม ผอมเพรียวและบอบบางทว่าก็สดใสและน่ารัก
ดวงตาของหลี่เชียนต่างเป็นประกายขึ้นมา
มองนางค่อยๆ เดินมาทีละก้าว มุมปากปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ
“รีบนั่งลงกินอาหารเช้าเถอะ” หลี่เชียนเอ่ยเสียงนุ่มว่า “พวกเรายังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยาม”
เจียงเซี่ยนชิมเต้าหู้ก้อนที่หลี่เชียนแนะนำ รู้สึกว่ารสชาติไม่เลวทีเดียว เพียงแต่ซาลาเปาน้ำแกงนั้นมันไปหน่อย
หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นครั้งหน้าพวกเราทำกันเอง ทำไส้ผัก”
เจียงเซี่ยนนึกถึงซาลาเปาที่ในวังทำให้ไทฮองไทเฮา และเอ่ยว่า “ทำเป็นมังสวิรัติทั้งหมดได้หรือไม่ ห่อพวกผัก วุ้นเส้น แผ่นเต้าหู้ก็อร่อยมากเหมือนกัน แถมยังชุ่มคอด้วย อย่างอากาศแบบนี้ ใช้สำหรับเป็นอาหารเช้าดีที่สุดแล้ว”
“อื้ม!” หลี่เชียนเห็นนางกินอย่างมีความสุข ก็อยากจะลูบศีรษะของนาง เสียดายที่มือนึ่งถือตะเกียบอยู่ อีกมือก็เคยยกถ้วยแล้ว จึงไม่ค่อยสะอาดนัก “เจ้าก็บอกคนครัว ฝีมือของพวกเขาไม่เลวทีเดียว เพียงแต่ประสบการณ์น้อยไปหน่อย”
เจียงเซี่ยนพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี และเอ่ยว่า “เมื่อก่อนตอนที่ข้าท่องบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูลขุนนาง แม่นมเมิ่งบอกข้าว่า ใต้เท้าสือที่เป็นราชเลขาธิการมายี่สิบปีสมัยฮ่องเต้เซี่ยวจง บ้านอยู่ที่ไห่หนิง ลูกหลานทั้งทำไร่ไถนาและเรียนหนังสือสืบทอดมาหลายรุ่น เป็นขุนนางมาหลายชั่วอายุคน ราชวงศ์ก่อนถึงตอนนี้ แค่ขุนนางใหญ่ที่ปกครองมณฑลต่างๆ ที่เงินเดือนสองพันต้านก็มีหกคนแล้ว เป็นตระกูลใหญ่ของเจียงหนานอย่างแท้จริง ตอนที่ลูกหลานของพวกเขาว่างเคยเล่นทำรายการอาหารเล่มหนึ่ง ในนั้นมีอาหารอย่างหนึ่ง ยัดเนื้อเข้าไปในก้านถั่วงอก แล้วผัด…ข้ารู้สึกว่าอัศจรรย์มาก ไม่เพียงแต่อยากกินอาหารนี้มาตลอด ทว่ายังอยากจัดรายการอาหารออกมาเล่มหนึ่งเหมือนพวกเขาด้วย…”
หลี่เชียนสนับสนุนอย่างเต็มที่ แถมยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไว้มีโอกาส พวกเราต้องไปกินอาหารที่ยัดเนื้อไว้ในก้านถั่วงอกนั้นให้ได้”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางตอบว่า “อือ”
ทั้งสองคนกินไปคุยไป จนเกือบจะพลาดเวลาที่จะไปส่งเจียงลวี่
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะโทษตนเองว่า “ต่อไปอย่าคุยกันตอนกินข้าวดีกว่า”
หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “เมื่อก่อนครอบครัวของพวกเราจะคุยกันตอนกินข้าว ตอนหลังท่านฝูอวี้พูดหลายครั้ง จนกระทั่งท่านแม่เสียชีวิต ท่านพ่อไม่ค่อยพูดแล้ว นิสัยนี้ถึงจะค่อยๆ เปลี่ยนไป”
เจียงเซี่ยนนึกถึงหลี่จี้น้องชายต่างมารดาของหลี่เชียน
นางอดที่จะเอ่ยอย่างอยากรู้ไม่ได้ว่า “แม่แท้ๆ ของหลี่จี้ก็เสียชีวิตแล้วเหมือนกันหรือ?”
เจียงเซี่ยนไม่เห็นในงานแต่งงาน
หลี่เชียนเอ่ยว่า “อืม” รอยยิ้มเลือนหายไปเล็กน้อย และเอ่ยว่า “นางเป็นสาวใช้ประจำตัวท่านแม่ ก่อนตายท่านแม่ให้ท่านพ่อยกนางเป็นอนุภรรยา และมอบข้าให้นาง หากนางยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อก็อาจจะไม่แต่งงานอีกก็ได้ และในบ้านก็คงจะไม่มีเรื่องมากขนาดนี้เช่นกัน”
เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้สึกว่าตงจื้อน่าสนใจมากทีเดียว”
“อาจจะเป็นเพราะอายุห่างกันมากเกินไป” หลี่เชียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทุกครั้งที่เจอนาง หากไม่ใช่ว่าแม่นมของนางติดตามอยู่ข้างกาย ข้าก็จำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าได้ยินไทฮองไทเฮาตรัสว่า ตอนที่นางเพิ่งเข้าวัง ในวังมีองค์หญิงกับองค์หญิงจั่ง[1]สิบกว่าคน แล้วก็เป็นเด็กทั้งนั้น ไม่เจอพักเดียวก็โตจนหน้าตาเปลี่ยนไปแล้ว นางใช้เวลานานมากกว่าจะจำได้ว่าใครเป็นใคร…”
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันราวกับมีเรื่องที่คุยได้ไม่จบ หัวข้อหนึ่งจบแล้ว ก็มักจะดึงอีกหัวข้อหนึ่งออกมาได้เสมอ โดยไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย ทั้งสองคนจึงคุยกันแบบนี้ตลอดทางที่ไปคฤหาสน์ที่เจียงลวี่พักชั่วคราว
เจียงลวี่กำลังเตรียมตัวออกเดินทาง พอเห็นหลี่เชียนประคองเจียงเซี่ยนลงจากรถม้า ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากพวกเจ้าไม่มาอีก ข้าก็จะไปแล้ว!”
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “นี่มันยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่หรือ?”
เจียงลวี่มองนางอย่างเกียจคร้านครั้งหนึ่ง เหมือนคิดว่าไม่คุ้มที่จะทะเลาะกับนาง และเอ่ยกับเจียงหานว่า “พวกเราไปเถอะ!”
เจียงหานยิ้มและขานรับ
เจียงลวี่เดินเฉียดผ่านไหล่พวกเขาไปอย่างแน่วแน่ และขึ้นรถม้าไปก่อน
นี่เป็นอะไรไปน่ะ?!
เจียงเซี่ยนโกรธจนแก้มป่องขึ้นมา
เจียงหานยิ้มและเอ่ยว่า “เจียหนานอย่าโกรธเลย ท่านพี่กำลังอาลัยอาวรณ์เจ้า กลัวว่าเจ้าจะเสียใจ จึงยั่วยุให้เจ้าพูด”
เจียงเซี่ยนก็รู้เช่นกัน แต่กลับรู้สึกว่าเจียงลวี่ทำแบบนี้ก็ดื้อรั้นเกินไปหน่อย
ทั้งๆ ที่ชาติก่อนเขาเป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมามาก!
หรือว่าเป็นเพราะชาติก่อนนางติดต่อกับคนของตระกูลเจียงไม่มากนัก ทั้งสองฝ่ายจึงไม่รู้จักกันอย่างแท้จริงอย่างนั้นหรือ?
เจียงเซี่ยนส่ายหน้า และไปหน้าประตูฉุยฮวา
ฮูหยินฉีกับพี่น้องสกุลฉีหวีผมและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว รอเพียงเจียงลวี่สั่งมา ก็จะขึ้นรถออกเดินทางทันที
พอเจอเจียงเซี่ยน ทั้งสามคนต่างก็ดีใจมาก และเอ่ยประมาณว่าวันหลังพบกันใหม่ แม่บ้านก็มาแจ้งว่าจะออกเดินทางแล้ว
เจียงเซี่ยนมองตามหลังฮูหยินฉีกับพี่น้องสกุลฉีขึ้นรถม้าแล้ว ถึงจะขึ้นรถม้าของตนเอง
คนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองอย่างยิ่งใหญ่
นอกเมือง หลี่ฉางชิงนำเหล้ากับน้ำมาส่งเจียงลวี่ด้วยตนเอง
เจียงลวี่เอ่ยขอบคุณเยอะมาก ไม่เห็นความดื้อรั้นก่อนหน้านี้แม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งคุยกันพอสมควรแล้ว หลี่ฉางชิงจึงให้คนมอบของพื้นเมืองที่เตรียมไว้พร้อมล่วงหน้าให้ มีของให้ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ไทฮองไทเฮา ไทฮองไท่เฟย และมีแม้กระทั่งของเฉาเซวียนด้วย
หลี่ฉางชิงเอ่ยว่า “พวกเฉิงเอินกงมาร่วมงานแต่งงานของจงเฉวียนไกลมาก แม้จะเห็นแก่จวนเจิ้นกั๋วกง นั่นก็ทำให้ตระกูลหลี่ของพวกเรามีหน้ามีตาเช่นกัน ขอให้ซื่อจื่อช่วยส่งต่อของขวัญอันน้อยนิดด้วย”
ยอมอ่อนข้อให้แบบนี้ ใคร่ครวญอย่างรอบคอบแบบนี้ มิน่าเล่าตระกูลหลี่ถึงสามารถอยู่ข้างจวนจิ้งไห่โหวได้อย่างปลอดภัย
เจียงลวี่เคารพคนเก่งมาโดยตลอด
สามารถปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ก็เป็นความสามารถเช่นกัน
เขาขอบคุณหลี่ฉางชิงอย่างนอบน้อม และสัญญาว่าจะส่งของขวัญของพวกเฉาเซวียนถึงจวนของแต่ละคนอย่างแน่นอน
หลี่ฉางชิงขอบคุณติดกันหลายครั้ง
ปิงเหอถือกล่องเล็กสองกล่องมา ชิ้นหนึ่งให้เจียงลวี่ อีกชิ้นให้ฮูหยินฉี บอกว่าเป็นของขวัญที่เจียงเซี่ยนมอบให้ทุกคน
เจียงเซี่ยนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
นางไม่ได้เตรียมอะไรเลย และคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าต้องเตรียมของขวัญให้พวกฮูหยินฝางกับฮูหยินฉี
เมื่อก่อน มีแต่นางตกรางวัลให้คนอื่น ไม่เตรียมของขวัญให้คนอื่น
หลังจากแต่งงาน เรื่องเล็กน้อยบางเรื่องในการใช้ชีวิตของนางก็ยังไม่เปลี่ยนไป
ยังดีที่หลี่เชียนช่วยแก้หน้าให้นาง
นางมองไปที่หลี่เชียน
หลี่เชียนขยิบตาให้นาง
เจียงเซี่ยนโล่งอก
———————————–
[1] องค์หญิงจั่ง ตำแหน่งพระเชษฐภคินีหรือพระขนิษฐาของฮ่องเต้