คุยมาถึงขั้นนี้ หลี่ฉางชิงก็ฟังเสียงออกเล็กน้อยเช่นกัน เขาคล้ายจะรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับเดาไม่ถูกว่าทำไมถึงผิดปกติ
ก่อนที่จะแต่งงานเขาเป็นชายโสด หลังจากแต่งงานแล้ว เรื่องในบ้านก็มอบให้แม่แท้ๆ ของหลี่เชียนหมด แม้ตอนหลังแม่แท้ๆ ของหลี่เชียนจะป่วยตาย ทุกเรื่องในบ้านก็มีการจัดการหมด หากไม่ใช่ว่าแม่แท้ๆ ของหลี่จี้ก็ป่วยตายไปเช่นกัน และลูกชายสองคนยังเล็ก ในบ้านต้องการคนควบคุมอาหารการกินภายในบ้านสักคนจริงๆ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานอีกด้วยซ้ำ
เขาคิดไม่ถึงว่าระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิงจะแตกต่างกันเช่นนี้
แม่แท้ๆ ของหลี่เชียนนั้นไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เขาไม่ต้องเป็นห่วงทุกเรื่อง สนใจแค่เอาเงินกลับมาก็พอแล้ว ส่วนแม่แท้ๆ ของหลี่จี้แม้จะไม่ดีเท่าแม่แท้ๆ ของหลี่เชียน ทว่าก็ไม่เคยทำให้เขาเป็นห่วงเรื่องในบ้านเช่นกัน จนกระทั่งคนสกุลเหอแต่งเข้ามา ไม่ถึงสองปีเขาก็เสียใจแล้ว
คนสกุลเหอไม่เพียงแต่ดูแลหลี่เชียนกับหลี่จี้ไม่ได้ ทว่ายังคุมแม้กระทั่งพวกหญิงรับใช้ในบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ และมักจะลากเขาไปตัดสินอยู่เสมอ
เขารำคาญเป็นอย่างมาก
จนอยากหย่าอยู่หลายครั้ง
แม้แต่ห้องห้องหนึ่งยังไม่ปัดกวาด แล้วจะปกครองใต้หล้าได้อย่างไร
เขากลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะเขาว่าไม่รู้เรื่องแม้กระทั่งเรื่องของเรือนด้านในกับเรือนด้านหลัง คิดว่าเขาไม่มีความสามารถ จึงจำเป็นต้องอดทนช่วยฮูหยินเหอควบคุมเรือนด้านหลังอยู่เสมอ
หลี่ฉางชิงถึงจะรู้ว่าที่แท้เรือนด้านในมีเรื่องมากขนาดนี้
ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย ถึงจะรู้ ก็รู้แค่สิ่งที่เขาพบเจอเช่นกัน แม้แต่พวกมารยาท เขาก็ค่อยๆ เรียนรู้หลังจากเชิญเกาฝูอวี้มาเป็นผู้ช่วยแล้ว เรื่องมารยาทของเรือนด้านในนี้ เกาฝูอวี้ก็สอนไม่ได้เช่นกัน
เขาเห็นพ่อสามีนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงนั้นเล็กน้อย และลูกสะใภ้ยุ่งอยู่กับทอดขนมแป้งที่เตาด้านหลังที่บ้านเกิดมาตั้งแต่เด็ก…ตอนนี้ฐานะของเขาแตกต่างไปแล้ว แน่นอนว่าลูกสะใภ้ของเขาไม่ได้ยุ่งอยู่กับการทอดขนมให้เขาที่เตา ยิ่งกว่านั้นลูกสะใภ้ของเขาเป็นท่านหญิงที่ฐานะสูงศักดิ์ที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน ให้นางกินข้าวโต๊ะเดียวกับพ่อสามีอย่างเขา เขาก็ดีกับลูกสะใภ้คนนี้พอแล้วกระมัง?
แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินเหอกับเจียงเซี่ยนกลับอ้างนู่นอ้างนี่ บนหน้าไม่มีความยินดีแม้แต่นิดเดียว ส่วนลูกชายก็พูดจาวกไปวนมากับเขาเช่นกัน เขาใจเต้นตึกตัก รู้ว่าตนเองอาจจะทำผิดแล้ว
ทว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจถามลูกชายว่าตนเองผิดตรงไหนกันแน่ต่อหน้าลูกสะใภ้ได้กระมัง?
ส่วนคนสกุลเหอ...ต่อให้นางรู้ เวลานี้เขาถามนาง ก็เกรงว่านางจะตะโกนออกมาเช่นกัน เขาไม่ถามดีกว่า!
หลี่ฉางชิงครุ่นคิด และตัดสินใจว่าจะวางตัวเยือกเย็น จึงเอ่ยกับหลี่เชียนว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเร่งทุกคนมา! ทำไมกินข้าวก็ไม่ใส่ใจ”
หลี่เชียนยิ้มและไปสั่งหญิงรับใช้
ส่วนเจียงเซี่ยนลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าจะไปดูหน่อยว่าอาหารทำไปถึงไหนแล้ว?” นางเอ่ยจบก็เดินออกไปทันที โดยไม่รอให้คนสกุลเหอพูด
ฮูหยินเหอเห็นในห้องไม่มีคนแล้ว ก็อดที่จะบ่นไม่ได้ว่า “พ่อสามีบ้านไหนกินข้าวโต๊ะเดียวกับลูกสะใภ้ ยังดีที่ท่านหญิงไม่รู้ธรรมเนียมของตระกูลเรา ให้ข้าไปเรียกตงจื้อมา เดี๋ยวตงจื้อมาแล้ว ข้ากับท่านหญิงและตงจื้อจะไปรับประทานอาหารที่ห้องด้านใน ท่านกับพวกคุณชายใหญ่และคุณชายรองก็รับประทานอาหารที่ห้องด้านนอก”
หน้าของหลี่ฉางชิงขึ้นสีแดงก่ำทันที และพูดไม่ออก
เพราะเขาไม่คุมเรื่องของเรือนด้านใน จึงเคยผิดพลาดไม่น้อย เมื่อก่อนฮูหยินเหอก็เคยว่าเขาไม่น้อยเช่นกัน แต่เรื่องราวผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป ทว่าครั้งนี้เขาเสียหน้าต่อหน้าลูกสะใภ้ที่แต่งเข้ามาใหม่ แถมสะใภ้ใหม่ยังมาจากตระกูลขุนนาง ฐานะไม่ธรรมดา…
เขาอยากจะสั่งสอนฮูหยินเหออย่างรุนแรงสักสองสามคำ…ในเมื่อเขาทำผิดแล้ว ทำไมนางไม่บอกเขาตั้งแต่แรก เขาจะได้ไม่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนผิดครั้งหนึ่งไม่เป็นไร หากผิดต่อไปตลอด นั่นก็คือสมองมีปัญหาแล้ว
หลี่ฉางชิงมองฮูหยินเหอสั่งให้หญิงรับใช้ตั้งโต๊ะตัวหนึ่งที่ห้องด้านในใหม่ แล้วคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายปีนี้ ทันใดนั้นก็ท้อแท้เป็นอย่างมาก
ผู้คนกล่าวว่าสั่งสอนลูกต่อหน้าทุกคน สั่งสอนภรรยาลับหลังผู้คน
เขาสอนภรรยาของตนเองได้ไม่ดี เวลานี้มีลูกสะใภ้แล้ว ยังเปลี่ยนได้อย่างนั้นหรือ!
ก็แบบนี้แล้วกัน!
หลี่ฉางชิงเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ รอพวกลูกมารับประทานอาหาร
ส่วนฮูหยินเหอคอยสั่งสาวใช้ว่าวางตะเกียบกับถ้วยอย่างไร
เจียงเซี่ยนยิ้มและเดินเข้ามาเอ่ยว่า “ฮูหยิน เรียกอาหารได้ตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินเหอพยักหน้า นางซาบซึ้งที่เจียงเซี่ยนแก้หน้าให้มาก จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ารู้ว่าในวังให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ แต่นี่ไม่ใช่ในวัง ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบขนาดนั้นเช่นกัน ต่อไปนอกจากปรนนิบัติทั้งเช้าและเย็นแล้ว เวลาอื่นท่านอยากทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องสนใจข้า”
น้ำเสียงจริงใจมาก
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางขานว่า “เจ้าค่ะ”
หลี่ตงจื้อกับเกาเมี่ยวหรงเดินเข้ามาโดยมีสาวใช้กับแม่บ้านล้อมอย่างแน่นหนา
ทุกคนอดที่จะอึ้งไปไม่ได้
เกาเมี่ยวหรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วว่า “ตงจื้อบอกว่าทำการบ้านที่สั่งให้นางเมื่อหลายวันก่อนเสร็จแล้ว ข้าจึงคิดว่าจะให้นางเขียนตามแบบคัดลายมืออีกสักสองสามแผ่น ใครจะรู้ว่านานไปหน่อย ถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงแล้ว ตงจื้อให้ข้าอยู่รับประทานอาหารเที่ยงที่เรือนของนาง พวกเราเพิ่งจะนั่งลง ฮูหยินก็เรียกตงจื้อมา ตงจื้อกลัวว่าข้าจะคิดมาก จะให้ข้าตามมาด้วยให้ได้ ข้าจึงตามมา…”
ฮูหยินเหอรีบเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดิมทีก็เป็นงานเลี้ยงของสมาชิกในครอบครัวอยู่แล้ว เจ้าอยู่ที่บ้านของพวกเรามานานขนาดนี้ ก็เหมือนคนในครอบครัวตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่ว่าหลายวันนี้ท่านหญิงเพิ่งมาถึง ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ชิน ก็ให้คนไปเรียกเจ้าตั้งนานแล้ว” และเอ่ยอีกว่า “พอดีเลยวันนี้คนครัวทำไก่ต้ม ของที่เจ้าชอบที่สุด เจ้าก็อยู่รับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันเถอะ!”
เกาเมี่ยวหรงได้ยินแล้วก็ยิ้มและย่อตัวคารวะท่านหญิง แล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิง ทำให้ท่านหัวเราะแล้ว วันนี้ข้ามากินข้าวฟรี!”
นางยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดจาสุภาพเรียบร้อย ทำให้คนรู้สึกชอบ
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางเอ่ยว่า “อาหารแค่มื้อเดียว คุณหนูเกาเกรงใจเกินไปแล้ว” นางเอ่ยจบก็สั่งฉิงเค่อว่า “เพิ่มถ้วยกับตะเกียบให้คุณหนูเกา”
เกาเมี่ยวหรงยิ้มและเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
หลี่ฉางชิงเห็นเกาเมี่ยวหรงก็ไม่ได้ทำหน้าประหลาดใจ กลับเอ่ยเรื่องชีวิตประจำวันในครอบครัวกับนาง “อาของเจ้าล่ะ? เป็นหวัดดีขึ้นหรือยัง?”
จะเห็นได้ว่าเกาเมี่ยวหรงมาที่เรือนหลักบ่อย
“ขอบคุณท่านลุงมาก” เกาเมี่ยวหรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาสั่งยากินเองสองสามชุดแล้ว ดีขึ้นมากแล้ว เช้าวันนี้ยังรำดาบในลานบ้านด้วยเจ้าค่ะ”
หลี่ฉางชิงพยักหน้า และเอ่ยว่า “ตอนที่ยังหนุ่มอาของเจ้าถูกทรมานมามากเกินไป จึงใช้ร่างกายไปหมดสิ้นตั้งนานแล้ว พวกเจ้าที่เป็นลูกหลาน ต้องดูแลเขาให้มากหน่อยถึงจะถูก”
“ท่านลุงพูดถูก” เกาเมี่ยวหรงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เพราะอาการป่วยของท่านอา ท่านพี่ขอลากับสำนักการศึกษาสองวันแล้ว และคอยดูแลท่านอาอยู่ข้างกายตลอดเจ้าค่ะ”
หลี่ฉางชิงพยักหน้าอย่างพอใจ
หลี่เชียนเข้ามาแล้ว
พอเห็นเกาเมี่ยวหรง เขาก็แปลกใจเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “คุณหนูเกามาหรือ!”
เกาเมี่ยวหรงยิ้มพลางขานรับ กำลังอยากพูดอะไรบางอย่างกับหลี่เชียน หลี่หลิน หลี่จี้ และหลี่จวีก็ทยอยเดินเข้ามา
สายตาของหลี่ฉางชิงจับจ้องไปที่ลูกชายคนเล็กที่เดินคอตกอยู่หลังสุดอยู่ทันที
เขาตวาดด่าว่า “ในบ้านขาดแคลนอาหารของเจ้าหรือเสื้อผ้าของเจ้า เจ้าถึงยืดแม้แต่ตัวให้ตรงไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
หลี่ตงจื้อตกใจมาก
เกาเมี่ยวหรงรีบกอดหลี่ตงจื้อไว้ในอ้อมแขน
หลี่จวีก้มหน้าไม่พูดไม่จา ทว่ากลับเม้มปากแน่นมาก
ฮูหยินเหอมองเจียงเซี่ยนอย่างกระอักกระอ่วนครั้งหนึ่ง และเอ่ยกับหลี่ฉางชิงเสียงเบาว่า “ใต้เท้า ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว…”
หมายความว่ามีเรื่องอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน
หลี่ฉางชิงก็มองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่งเช่นกัน เขาทำเสียงไม่พอใจ และไม่พูดะไรอีก
ฮูหยินเหอเหมือนยกภูเขาออกจากอก และรีบเรียกให้หญิงรับใช้นำมาอาหารมา
ทุกคนรับประทานอาหารเที่ยงโดยแยกผู้ชายกับผู้หญิงคนละโต๊ะ
หลี่ฉางชิงถึงมั่นใจว่าตนเองพลาดตรงไหน
เขาจากไปอย่างกลัดกลุ้มทันที โดยไม่ดื่มแม้แต่ชา
————————————