เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็ส่งสายตาให้หลี่เชียน
ถึงแม้หลี่เชียนจะความคิดรอบคอบ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าวางไว้ที่ไหนเช่นกัน
สำหรับเจียงเซี่ยนนั้น เขาสังเกตอย่างจริงจังและละเอียด จึงครุ่นคิดได้พอสมควร ทว่าสำหรับบิดาที่นิสัยเปิดเผยและทำอะไรบุ่มบ่ามของเขานั้น เขาก็ค่อนข้างรู้เพียงฝ่ายเดียวอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็จิตใจหดหู่จนจากไปคนเดียวแล้ว
ถึงอย่างไรสองพ่อลูกก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เรื่องข้างนอกไม่มีเรื่องใดพอที่จะส่งผลกระทบต่อหลี่ฉางชิงได้ หลี่เชียนก็ไม่ค่อยเข้าใจจิตใจของบิดา จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องร่วมมือทำอะไรบางอย่างกับเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนคิดว่าเลี้ยงลูกชายไม่ดีเท่าเลี้ยงลูกสาว
ลูกสาวเป็นเสื้อนวมตัวเล็กที่ติดตัวมารดา มารดาไม่สบายใจเล็กน้อยไม่เพียงแต่รู้ ทว่ายังสามารถปลอบใจอยู่ข้างๆ ได้ด้วย ลูกชายที่เอาใจใส่อย่างหลี่เชียนนั้น เวลาที่เผชิญหน้ากับบิดาก็เดาแม้แต่ความคิดไม่ถูกด้วยซ้ำ
นางจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อของหลี่เชียนเบาๆ แล้วกระซิบว่า “ท่านพ่อต้องยังไม่พอใจเรื่องที่ชายหญิงร่วมโต๊ะกันเมื่อครู่อยู่อย่างแน่นอน เจ้าเข้าไปปลอบใจเขาหน่อย บอกว่าเป็นความต้องการของข้า สะใภ้ใหม่แต่งเข้ามา เดิมทีอยากแสดงความกตัญญูต่อหน้าเขา จึงจะช่วยหยิบถ้วยกับตะเกียบ และคีบอาหารให้เขา”
พอเจียงเซี่ยนเอ่ยปาก หลี่เชียนก็เข้าใจแล้ว
เขามองเจียงเซี่ยนและหัวเราะ
เจียงเซี่ยนอดที่จะเอ่ยอย่างไม่พอใจไม่ได้ว่า “ให้เจ้าไปถ่ายทอดคำพูด! หัวเราะอะไร?”
หลี่เชียนก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน แล้วจู่ๆ ก็ก้มหน้าเอ่ยข้างหูนางว่า “เป่าหนิง หากไม่ใช่ว่าทุกคนต่างมองอยู่ ข้าอยากจูบเจ้าสักครั้งจริงๆ เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะให้คนไปซื้อขนมข้าวที่เจ้าชอบที่สุดเป็นของว่างตอนบ่ายให้เจ้า”
เขาเอ่ยจบก็ตามออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเช่นกันว่าเจียงเซี่ยนจะสีหน้าเป็นอย่างไร
เจียงเซี่ยนไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าของตนเองต้องแดงก่ำอย่างแน่นอน
นางคิดว่าตอนนี้เรื่องสำคัญที่นางต้องจัดการอย่างเร่งด่วนในเวลานี้คือเลียนแบบหลี่เชียน คิดหาทางทำให้ความรู้สึกและความปรารถนาต่างๆ ของตนเองต่างไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่งจะต้องปล่อยไก่
แม้จะเป็นเช่นนั้น นางก็ยังหันไปคุยกับฮูหยินเหอเล็กน้อยอย่างเยือกเย็น และลุกขึ้นบอกลา
ฮูหยินเหอไม่ได้รั้งนางไว้ และถามนางว่าตอนบ่ายจะมารับประทานอาหารเย็นหรือจะรับประทานในเรือนของตนเอง แล้วเอ่ยว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวข้า ข้าไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพวกกฎระเบียบนัก มีพวกกฎระเบียบมาก ก็ทำให้พวกเราไม่เหมือนคนในครอบครัว”
ทว่าในใจนางกลับกลุ้มเป็นอย่างมาก
เจียงเซี่ยนแต่งเข้ามา ก็แหกกฎบางข้อของเมื่อก่อนครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเดี๋ยวหลี่ฉางชิงจะแหกกฎอะไรในบ้านเพื่อเจียงเซี่ยนอีกหรือไม่ ดังนั้นเวลานี้เผชิญหน้ากับเจียงเซี่ยน นางจึงตัดสินใจที่จะไม่เอ่ยถึงกฎระเบียบอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้เจียงเซี่ยนมีความสุข ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายหลี่ฉางชิงจะทำอย่างไร แทนที่นางจะตั้งกฎให้เจียงเซี่ยนในเวลานี้ และสุดท้ายกลับถูกหลี่ฉางชิงปฏิเสธ ทำให้นางเสียหน้า สู้ไม่ยุ่งเรื่องอะไรเลยดีกว่า จะเจียงเซี่ยนก็ดีหรือหลี่ฉางชิงก็ตาม ชอบทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นแล้วกัน
เจียงเซี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกกลุ้มมากเช่นกัน
ถึงอย่างไรตระกูลหลี่ก็มีเพียงไม่กี่คน จะทำอะไรจึงไม่มีขั้นตอนและกฎเกณฑ์ในการทำงานอย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างอาศัยการเอ่ยปาก ทว่าไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่มีทางทำอะไรสำเร็จ แบบนี้ต่อไปจะไม่วุ่นวายทั้งบ้านอย่างนั้นหรือ?
หรือว่านางจะช่วยฮูหยินเหอดูแลบ้านด้วย?
แต่นางไม่ชอบงานพวกนี้จริงๆ
เจียงเซี่ยนตัดสินใจกลับไปปรึกษาพวกชีกูแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
นางยิ้มและขอบคุณฮูหยินเหอ บอกว่าตนเองเหนื่อยนิดหน่อยจริงๆ หากรู้สึกสบายขึ้นหน่อยแล้ว นางจะมารับประทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินเหออย่างแน่นอน
แน่นอนว่า หากไม่สบาย ก็คงจะมาไม่ได้แล้ว
เจียงเซี่ยนกับฮูหยินเหอต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ทั้งสองคนยิ้มและพูดคุยกันอีกเล็กน้อย เจียงเซี่ยนถึงจะบอกลา
พวกหลี่หลินก็บอกลาฮูหยินเหอเช่นกัน
ฮูหยินเหอยิ้มและให้คนออกไปส่งพวกเขาข้างนอก
ตอนที่พวกเขาก้าวออกจากเรือนหลัก บังเอิญเห็นสาวใช้ล้อมเจียงเซี่ยนอย่างแน่นหนาเข้าไปทางประตูพระจันทร์ที่ไปเรือนตะวันตกพอดี
หลี่จี้ก็เอ่ยว่า “ไม่รู้ทำไม ท่านหญิงเจียหนานดูเหมือนคนที่อ่อนโยนมาก แต่ข้าอยู่ต่อหน้านางกลับรู้สึกประหม่าจนหายใจไม่ค่อยออก”
ดังนั้นตั้งแต่เจียงเซี่ยนแต่งมา เขาจึงยังไม่เคยคุยกับเจียงเซี่ยนแม้แต่คำเดียว
หลี่จวีได้ยินแล้วก็ทำเสียงดูถูกเบาๆ และเอ่ยว่า “ข้าว่าพี่รองกลัวขบวนเสด็จของท่านหญิงกระมัง?”
ความนัยที่แฝงในนั้นคือจะบอกว่าหลี่จี้ประจบประแจงและพึ่งพาอาศัยผู้มีอำนาจ
หลี่จี้เดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
หลี่ตงจื้อทนมองไม่ได้ จึงเรียก “พี่สาม” และเอ่ยว่า “ตอนบ่ายท่านไม่ต้องเรียนหนังสือหรือ? พี่เกาเพิ่งจะเขียนให้ข้าสามหน้า เดี๋ยวข้ายังต้องกลับไปเขียนตามที่ห้องอีก!”
หลี่จวีถลึงตาใส่น้องสาวของเขาทีหนึ่ง แล้วสะบัดมือจากไปทันที
หลี่หลินเห็นแล้วก็ฝืนยิ้ม และเอ่ยกับหลี่จี้ว่า “เขาเป็นเด็ก เจ้าอย่าลดตัวลงไปทะเลาะกับเขาเลย”
หลี่จี้ยิ้ม และเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าเป็นพี่ชาย แน่นอนว่าต้องยอมให้เขาอยู่แล้ว”
“เจ้าคิดแบบนี้ก็ถูกแล้ว!” หลี่หลินปลอบใจหลี่จี้อย่างไม่สบายใจนัก
หลี่จี้หลุบตาลงและฟัง
ทุกคนอยู่ในเรือนหลักประมาณหนึ่งถ้วยชา ถึงจะต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
———————————–
ทางหลี่ฉางชิงนั้นพอได้ยินคำพูดของหลี่เชียนก็เข้าใจทันที ทว่าหลังจากนั้นก็ทำหน้าขรึม และเอ่ยว่า “เจ้าก็ไม่ต้องเอาคำพูดนี้มาหลอกข้าเช่นกัน ข้ารู้ว่านางเติบโตในวัง มีกฎระเบียบมากมาย ข้าก็ไม่ได้หวังว่านางจะให้ความสำคัญกับพ่อสามีอย่างข้าด้วยซ้ำ แค่หวังว่าทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบและรักใคร่ปรองดองกันก็พอ…”
“ท่านพ่อ!” หลี่เชียนขัดจังหวะหลี่ฉางชิง และเอ่ยว่า “ทำไมท่านยังเหมือนเด็กที่แค้นใจ ไม่ว่าอย่างไร ท่านหญิงให้ตามออกมาอธิบายกับท่านก็ล้วนเป็นความหวังดีกระมัง? ท่านคงปฏิเสธไม่ได้ใช่หรือไม่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพูดจาแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร? ปกติท่านไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา!”
หลี่ฉางชิงอาย จึงทำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย แล้วเอามือไพล่หลังจะจากไป
หลี่เชียนรั้งหลี่ฉางชิงเอาไว้ และเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ฮูหยินเหอเป็นคนไม่คุมอำนาจ แต่เรื่องในบ้านนี้กลับไม่อาจทำอย่างมั่วซั่วแบบนี้ได้ อย่าให้ถึงเวลานั้นพวกเราพ่อลูกพยายามหาเงินเข้าบ้านอย่างสุดชีวิตอยู่ข้างนอก สุดท้ายในบ้านเหมือนรูหนู อย่างไรก็เติมไม่เต็ม พวกเราก็เสียแรงเปล่าอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตั้งกฎระเบียบในบ้านนี้ขึ้นมา”
“เช่นนั้นก็ให้ท่านหญิงรับผิดชอบแล้วกัน” หลี่ฉางชิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากจะพูดถึงกฎระเบียบ ก็ไม่มีกฎระเบียบของตระกูลไหนที่จะมากและเข้มงวดไปกว่ากฎระเบียบของราชสำนักแล้ว ให้นางหยิบมาใช้สักสองสามอันก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
นั่นจะไม่ทำให้เป่าหนิงของเขายุ่งมากอย่างนั้นหรือ?
หลี่เชียนไม่ทำ
เขาออกความคิดให้บิดาว่า “ท่านว่า ต้องปรึกษาแม่นมเหมียวหรือไม่ นางช่วยท่านแม่ดูแลบ้านนี้ตั้งแต่ตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ เวลานี้ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว เรื่องในบ้านก็ไม่มีเรื่องที่นางไม่รู้”
ที่สำคัญที่สุดคือ แม่นมเหมียวไม่เพียงแต่มีจิตใจซื่อสัตย์ ทว่ายังมีความสามารถด้วย
หลี่ฉางชิงก็คิดว่าความคิดนี้ดีเช่นกัน จึงเอ่ยว่า “เรื่องพวกนี้เจ้าก็อย่ามาปรึกษาข้าเลย พวกเจ้าดูและตัดสินใจเองแล้วกัน” แล้วเอ่ยถึงร่องรอยของเซ่ารุ่ยกับหลี่เชียน “…ตามท่านกั๋วกงน้อยไปแล้ว เขามีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับท่านกั๋วกงน้อยหรือเปล่า? ข้าเห็นเขาแลดูร้อนใจมาก”
หลี่เชียนไม่คิดที่จะบอกหลี่ฉางชิงเรื่องที่เขาร่วมมือกันค้าของเถื่อนกับจินเซียว
เขาแอบคิดว่าบิดาของเขาจะต้องเชื่อฟังฝูอวี้อย่างแน่นอน และไม่ว่าฝูอวี้จะเห็นด้วยหรือคัดค้าน เขาก็ไม่อยากฟังเกาฝูอวี้บ่นและตำหนิอีกแล้วทั้งนั้น
หลี่เชียนแสร้งทำเป็นไม่รู้ และเอ่ยว่า “บางทีอาจจะมีเรื่องด่วนจริงๆ ก็ได้? หลายวันก่อนเขายังให้ข้าช่วยแนะนำเขาให้ท่านกั๋วกงน้อยด้วย แต่ข้าไม่รับปาก”
หลี่ฉางชิงแปลกใจเล็กน้อย ทว่าก็คิดว่าความเกรงกลัวของลูกชายก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
ตระกูลหลี่มีรากฐานเพียงเท่านี้ ก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงทุกเรื่อง
———————————–