เจียงเซี่ยนยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า นางไม่เพียงแต่เขียนจดหมายให้ไทฮองไทเฮา ทว่ายังฝากสิ่งที่นางรู้สึกว่าอร่อยไปด้วยเล็กน้อยให้คนนำไปให้ฮูหยินฝางส่งต่อให้ไทฮองไทเฮา
หลี่เชียนมองเงาร่างที่ยุ่งของนาง พลางนั่งดื่มชาอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง ในใจรู้สึกสงบอย่างที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้
หากพวกเขามีลูก ป้อนลูกกินข้าว อาบน้ำให้ลูก เล่นกับลูก นางก็จะยุ่งแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?
หลี่เชียนยิ้มเล็กน้อย
ปิงเหอขอพบ
หลี่เชียนอารมณ์ดีมาก จึงเรียกปิงเหอเข้าพบทันที
ปิงเหอเหลือบมองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่งอย่างเร็วมาก แล้วถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่าน ในเมืองหลวงส่งข่าวมาว่า จ้าวเซี่ยวกับคุณหนูใหญ่จวนจิ้นอันโหวจะแต่งงานวันที่สิบสี่เดือนสิบสองขอรับ”
จ้าวเซี่ยวจะแต่งงานแล้ว!
หลี่เชียนโล่งอก และอารมณ์ดีมากขึ้น เขาตกรางวัลให้ปิงเหอเป็นจี้ปี่เซียะหยกมันแพะ “เอาไปเล่นเถอะ!”
ปิงเหออึ้งไปแล้วถึงจะได้สติกลับมา เขาหัวเราะและเข้ามารับปี่เซียะ แล้วคุกเข่าคำนับขอบคุณ
เจียงเซี่ยนมาเห็นฉากนี้เข้าพอดี จึงถามอย่างอยากรู้ว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ไม่มีอะไร” หลี่เชียนรู้สึกว่าบรรยากาศของพวกเขาสามีภรรยากำลังดี จึงไม่ใช่เวลาที่จะเอ่ยถึงจ้าวเซี่ยว ไว้ค่อยหาเวลาบอกเจียงเซี่ยนก็ไม่สาย “เขามารายงานเรื่องราวให้ข้า ข้าจึงให้ของรางวัลชิ้นหนึ่ง”
เรื่องแบบนี้มักจะมีในวัง
ดังนั้นพวกขันทีกับนางในจึงชอบรายงานข่าวดีให้ชนชั้นสูงในวัง
เจียงเซี่ยนก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน และถามหลี่เชียนว่า “เดี๋ยวเจ้ายังต้องออกไปอีกหรือไม่? หากไม่ออกไป ข้าจะสั่งให้คนครัวเพิ่มอาหารเย็นอีกสองสามอย่าง!”
น้ำเสียงใช้ชีวิตอยู่บ้านอย่างสิ้นเชิง
หลี่เชียนดีใจมาก และรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่ออกไป ข้าจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าอยากไปไหนหรือไม่?” เห็นดวงอาทิตย์ข้างนอกไปทางตะวันตกแล้ว ก็นึกถึงชิงช้าที่เขาสั่งให้คนตั้งที่สวนดอกไม้ด้านหลังเมื่อหลายวันก่อน จึงเอ่ยอีกว่า “ไม่อย่างนั้น…ข้าไปแกว่งชิงช้าในสวนดอกไม้ด้านหลังเป็นเพื่อนเจ้า?”
เจียงเซี่ยนชอบความสงบไม่ชอบเคลื่อนไหว
นางส่ายหน้าติดกันหลายครั้ง และเอ่ยว่า “อากาศร้อนเกินไป ไม่อยากออกไป”
หลี่เชียนสงสารมาก จึงเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะบอกท่านพ่อว่า พวกเราจะไปพักที่ภูเขามังกรเมฆสักสองสามวัน”
“จะทำแบบนั้นได้อย่างไร!” เจียงเซี่ยนเจอช่วงเวลาที่หลี่เชียนทำเรื่องโง่น้อยมาก นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางเตือนเขาว่า “เพิ่งแต่งงานเดือนแรกห้องหอจะว่างไม่ได้”
หลี่เชียนให้ความสำคัญกับงานแต่งงานของเขากับเจียงเซี่ยนขนาดนี้ จะไม่รู้ธรรมเนียมและความรู้พวกนี้ได้อย่างไร เพียงแต่เขาเป็นห่วงร่างกายของเจียงเซี่ยนมากกว่า
“อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าก็ใช้น้ำแข็งไม่ได้” หลี่เชียนเอ่ยว่า “อย่างไรก็ให้เจ้าทนทรมานอยู่แบบนี้ไม่ได้ เพิ่งแต่งงานเดือนแรกห้องหอจะว่างไม่ได้ นี่ก็เป็นเพียงมารยาทในการเข้าสังคมภายนอกเช่นกัน คนที่ใช้ชีวิตสุขสบายย่อมใช้ชีวิตสุขสบาย คนที่ใช้ชีวิตลำบากย่อมใช้ชีวิตลำบาก เหมือนพ่อกับแม่ของข้า ตอนที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานท่านพ่อก็ถูกทางการค้นพบร่องรอย ท่านพ่อจึงแต่งตัวเป็นพ่อค้านักเดินทางและหนีออกจากเฝินหยาง เพื่อไม่ให้ท่านแม่เดือดร้อนไปด้วย ตอนหลังข้าได้ยินท่านยายบอกว่า ตอนนั้นท่านพ่อกับท่านแม่เพิ่งจะแต่งงานได้เจ็ดวัน…”
แต่สุดท้ายแม่ของเจ้าก็ตาย และไม่ได้อยู่กับหลี่ฉางชิงจนแก่เฒ่าไม่ใช่หรือ?
เจียงเซี่ยนวิจารณ์อยู่ในใจ แล้วยืนกรานว่าจะไม่ไปหลบร้อนที่ภูเขามังกรเมฆ และจะอยู่แต่ในเรือน
หลี่เชียนพาเจียงเซี่ยนไปหลบร้อนที่ภูเขามังกรเมฆก็เพื่อให้เจียงเซี่ยนมีความสุขเช่นกัน ในเมื่อเจียงเซี่ยนรู้สึกว่าอยู่ในเรือนสบายกว่า หลี่เชียนก็ย่อมจะไม่บังคับให้เจียงเซี่ยนไปหลบร้อนที่ภูเขามังกรเมฆ
เขาถือพัดขนนกพัดให้นาง พลางครุ่นคิดในใจว่าต้องบอกให้ชีกูจัดสาวใช้มาพัดให้เจียงเซี่ยนโดยเฉพาะสักสองสามคน
เจียงเซี่ยนจัดของทั้งหมดที่จะส่งไปเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว หลี่เชียนส่งคนส่งไปเมืองหลวงอย่างด่วนที่สุด
เรื่องแต่งงานของจ้าวเซี่ยวกับไช่หรูอี้ก็เริ่มประกาศไปทั่วหล้าแล้วเช่นกัน
เวลานี้เจียงเซี่ยนยังไม่รู้ข่าวนี้ นางเจอเกาเมี่ยวหรงแล้ว
เกาเมี่ยวหรงสวมเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมหังไม่มีลายสีชมพู กระโปรงปักลายสีขาว ผมสีดำสนิทเกล้าเป็นมวยอย่างง่ายๆ จอนผมติดดอกไม้ประดับผมหยกที่เลี้ยงอยู่ในกระถางสองสามดอก หากไม่ใช่ว่าหน้าตาเจือความกังวลอยู่อย่างเบาบางตลอดเวลา ก็ดูสดใสและงดงามเช่นกัน
ทว่าเจียงเซี่ยนดันเกลียดการแต่งตัวแบบนี้ที่สุด
ตอนนั้นพวกสนมของจ้าวอี้ในวัง แต่ละคนต่างก็เจอจ้าวอี้ได้ยากมาก พวกนางคิดว่าเป็นเพราะเจียงเซี่ยนขัดขวาง พอเห็นเจียงเซี่ยนแต่งตัวอย่างเรียบๆ และงดงามมาก ก็แต่งตัวอย่างเรียบๆ มากขึ้นทุกคน แล้วกรูกันเข้ามาอยากทำให้นางมีความสุข อยากให้นางจัดให้พวกนางถวายตัว แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะเจียงเซี่ยนเติบโตที่วังฉือหนิงตั้งแต่เด็ก จึงกลับชอบความคึกคักที่สุด ตอนนั้นนางรับปากว่าจะแต่งตั้งคนสกุลฟางเป็นฮูหยินเฟิ่งเซิ่งแล้ว นอกจากคนสกุลฟางเป็นแม่นมของจ้าวอี้แล้ว ก็มีความเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากกับที่คนสกุลฟางยังไม่พูดก็ยิ้มก่อน ไปไหนก็เต็มไปด้วยเสียงพูดและหัวเราะอย่างมีความสุข จึงทำให้นางชอบมาก
ความคิดฉายวาบผ่านไป เจียงเซี่ยนเหม่อลอยไปชั่วพริบตา
จ้าวอี้ก็ชอบคนสกุลฟางเพราะเหตุนี้หรือเปล่า?
พูดถึง นางกับจ้าวอี้ก็คล้ายกันหลายเรื่อง
เกาเมี่ยวหรงเห็นเจียงเซี่ยนสวมเสื้อสั้นลายแท่งเงินสีขาวกลางเก่ากลางใหม่ กระโปรงหน้าม้าสีฟ้า ผมเกล้ามวยทรงกลมอย่างง่ายๆ มาก ทั้งตัวไม่ได้สวมเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว และยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พิงหมอนอิงใบใหญ่ของเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ตอนที่นางพูด เจียงเซี่ยนก็ยังแลดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…ไม่เห็นนางเป็นแขกที่ต้องเคารพด้วยซ้ำ
นางโกรธจนขอบตาแดงทันที
ทว่านางก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เร็วมาก นางหลุบตาลง และทำท่าทางเหมือนรู้สึกน้อยใจมากพลางเอ่ยต่อว่า “…ฮูหยินเหอขอร้องอย่างจริงใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าถึงรับปากว่าเวลาว่างจะช่วยฮูหยินเหอต้อนรับสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงที่มาเยี่ยมที่จวน ดังนั้นตอนที่คุณหนูสามตระกูลซือมา ข้าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก และพาไปหาท่านหญิงเลย ตรงที่เสียมารยาทไป ขอให้ท่านหญิงโปรดอภัยให้ด้วย!”
เจียงเซี่ยนได้สติกลับมา
นางมองเกาเมี่ยวหรงครั้งหนึ่ง แล้วชี้ม้านั่งที่อยู่ข้างเตียงอุ่น และเอ่ยว่า “นั่ง”
เกาเมี่ยวหรงหางตากระตุก
เจียงเซี่ยน...นางคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?
ดูน้ำเสียงนี้สิ ช่างเหมือนกับฮองไทเฮา ราวกับทุกคนในใต้หล้าต้องคลานอยู่ใต้เท้านาง
นี่อยู่วังฉือหนิงมานานแล้ว จึงเลียนแบบและทำตาม คิดว่าตนเองเป็นไทฮองไทเฮาใช่หรือไม่?
เกาเมี่ยวหรงตำหนิอยู่ในใจ จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมาทางสีหน้าเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงอ้อมค้อมมาก นางเอ่ยว่า “ไม่ต้องแล้ว ท่านหญิง ข้ามาขอโทษท่าน หากท่านไม่ให้อภัยข้า ข้าจะกล้านั่งได้อย่างไร!”
ในความคิดของนาง เจียงเซี่ยนได้ยินนางตำหนิเช่นนี้ ต่อให้ไม่หน้าแดงก็จะลำบากใจเล็กน้อย ทว่าที่นางคิดไม่ถึงคือ เจียงเซี่ยนไม่เพียงแต่ไม่สังเกตเห็นข้อบกพร่องของตนเอง ทว่ายังเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งแต่งเข้ามาก็ได้ยินฮูหยินเอ่ยถึงคุณหนูเกา ยังบอกว่าหากไม่ได้คุณหนูเกาช่วยเหลือ หลายปีนี้นางคงลำบากใจที่ดูแลไม่ทั่วถึง และคุมเรื่องในจวนไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าฟังแล้วก็อยากเชิญคุณหนูเกามาดื่มชาและคุยกันสักหน่อย สุดท้ายข้ายังไม่ทันไปเชิญคุณหนูเกา คุณหนูเกากลับพาคุณหนูสามตระกูลซือมาแล้ว ว่ากันตามหลัก ข้าก็ควรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและพบคุณหนูสามตระกูลซือ ก็ถือว่าไว้หน้าคุณหนูเกาเช่นกัน แต่ข้าคิดไปคิดมา รู้สึกว่าตนเองเพิ่งมาถึง และไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ก็ไปพบคุณหนูสามตระกูลซือที่บุ่มบ่ามบุกเข้ามาแบบนี้แล้ว พวกสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของตระกูลขุนนางไท่หยวนจะคิดหรือไม่ว่าข้าไม่รู้ธรรมเนียมและไม่รู้วิธีต้อนรับแขก ตั้งแต่นี้ไปใครอยากมาพบก็แค่มาหาคุณหนูเกาก็พอ จะไม่ค่อยดีกับชื่อเสียงของข้าและคุณหนูเกา!”
เกาเมี่ยวหรงถูกเจียงเซี่ยนพูดจนเดี๋ยวก็หน้าแดงเดี๋ยวก็หน้าซีด กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นอย่างมาก นานมากถึงจะฝืนเอ่ยออกมาว่า “เพราะข้าละเลยเอง ปกติข้าผ่านอย่างราบรื่น จึงลืมไปชั่วขณะว่าท่านหญิงเพิ่งมาถึง กำลังเป็นช่วงเวลาสร้างบารมี…”
———————————-