ทุกครั้งที่เจียงเซี่ยนมาพบฮูหยินเหอก็ไม่เคยเจอหลี่ตงจื้อ นางจึงถามไปว่า “ปกติน้องหญิงทำอะไรอยู่หรือ? ทุกครั้งที่ข้ามา นางก็ไม่อยู่”
ฮูหยินเหอยิ้มและเอ่ยว่า “นางก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่ฝูเจี้ยน หาคนที่เหมาะสมที่จะสอนนางไม่ได้ จึงฝากฝังคุณหนูเกา ตอนนี้ทุกเช้าเรียนหนังสือกับคุณหนูเกา ตอนบ่ายฝึกคัดตัวอักษร ตอนเย็นยังต้องทำงานเย็บปักถักร้อยเล็กน้อยฝึกฝีมือสักหน่อย”
ตอนเด็กๆ เจียงเซี่ยนก็ผ่านมาแบบนี้เหมือนกัน
เพียงแต่ตอนเช้าอย่างมากที่สุดเรียนหนังสือได้ครึ่งชั่วยามก็จะถูกไทฮองไทเฮาเรียกไปกินของว่าง ตอนบ่ายฝึกคัดตัวอักษรก็อยู่ที่ห้องอุ่นของไทฮองไทเฮา อาจารย์ที่สอนนางเขียนหนังสือยืนอยู่ข้างๆ หากเห็นนางเขียนไม่ดีและเตือนก็จะถูกไทฮองไทเฮาบอกว่า ‘นางยังเด็ก กระดูกยังเติบโตไม่เต็มที่’ กลบเกลื่อนไป…งานเย็บปักถักร้อยในตอนเย็นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว อาจจะเสียสายตาได้ ดังนั้นเรียกพวกนางในที่เก่งงานเย็บปักถักร้อยมาเล่นเป็นเพื่อนนาง ก็ถือว่าเรียนเย็บปักถักร้อยแล้ว
เวลานี้นึกขึ้นได้ ก็มีความสุขจริงๆ
เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม
หลี่ตงจื้อเดินตัวตรงเข้ามาราวกับเด็กสาวที่แสดงความคิดและพฤติกรรมออกมาเหมือนผู้ใหญ่
“ท่านแม่ ท่านหญิง!” นางคารวะฮูหยินเหอกับเจียงเซี่ยนอย่างเคารพนบนอบ
ฮูหยินเหอเห็นนาง รอยยิ้มก็ไหลออกมาจากในดวงตา “รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น!” นางพูดไปก็จะลุกขึ้นไปประคองหลี่ตงจื้อ ทว่าพอกลอกตาไปเห็นเจียงเซี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้เจียงเซี่ยนอย่างเก้อเขิน และนั่งลงอีกครั้ง
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าฮูหยินเหอตลกมาก
ตอนที่หลี่ตงจื้อมานั้น นางรู้แล้วว่าทำไมตนเองถึงถูกเรียกมา จึงขอบคุณเจียงเซี่ยนอย่างนอบน้อมมาก
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางพยักหน้า และเอ่ยว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าชอบกินอะไรบ้าง จึงหยิบทุกอย่างมาอย่างละนิดหน่อย หากรู้สึกว่าอันไหนอร่อย ก็บอกสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย ข้าจะให้พวกเขาติดไม้ติดมือมาจากเมืองหลวงอีก”
หลี่ตงจื้อขอบคุณนางอย่างจริงจังอีกครั้ง
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ในบรรดาเด็กของตระกูลหลี่ หลี่ตงจื้อที่เดิมทีน่าจะถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจริงจังที่สุด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตระกูลหลี่เลี้ยงพวกเด็กแบบนี้มาอย่างไร
เจียงเซี่ยนก็ถามเรื่องการเรียนของนางอย่างใส่ใจ
พอรู้ว่านางอ่าน ‘คัมภีร์สามอักษร’ จบตั้งแต่อายุยังน้อย เจียงเซี่ยนก็ตกรางวัลให้นางเป็นเครื่องประดับผมรูปดอกไม้ไข่มุกอีกสองสามดอก
หลี่ตงจื้อขอบคุณอย่างนอบน้อมและระมัดระวัง
ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็เข้าใจสาเหตุที่หลี่เชียนโอ๋นางเล็กน้อย
หรือว่านางในสายตาของหลี่เชียนก็เหมือนหลี่ตงจื้อในสายตาของนางอย่างนั้นหรือ?
เพราะหลี่เชียนกับหลี่ฉางชิงต่างไม่กลับมารับประทานอาหารเย็น เจียงเซี่ยนจึงอยู่รับประทานอาหารเย็นกับฮูหยินเหอและหลี่ตงจื้อที่เรือนตะวันออกถึงจะกลับไป
หลังจากหลี่เชียนกลับมาก็ถามนางเป็นอย่างแรกว่า “วันนี้ทำอะไรบ้าง” เหมือนเช่นเคย
เจียงเซี่ยนพิงหัวเตียงพลางมองหลี่เชียนเปลี่ยนเสื้อผ้าและคุยกับเขา
กว่าหลี่เชียนจะหวีผมกับล้างหน้าเสร็จและเตรียมตัวขึ้นเตียงนอน ก็เกือบยามห้ายแล้ว
เจียงเซี่ยนง่วงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
หลี่เชียนรีบลูบศีรษะของนาง แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ง่วงแล้วก็นอน อย่ารอข้าเลย” เจียงเซี่ยนจึงนอนลงบนหมอน
เขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และกระซิบข้างหูนางว่า “เป่าหนิง ทางท่านหญิงชิงฮุ่ยไม่เป็นไร แค่ฝ่าบาทกำหนดงานอภิเษกสมรสวันที่ยี่สิบเดือนสามปีหน้า ตระกูลเฉาคิดว่าถึงเวลานั้นชนกับงานอภิเษกสมรสของฝ่าบาทไม่ค่อยดีนัก จะเลื่อนไปเดือนหกก็ช้าเกินไปอีก จึงตัดสินใจเลื่อนงานแต่งงานเร็วขึ้น”
เจียงเซี่ยนตอบอย่างสะลึมสะลือ และหลับไปอย่างเงียบๆ
หลี่เชียนส่ายหน้า ดับไฟ และกอดเจียงเซี่ยน ไม่นานก็หลับไปเช่นกัน
จนตอนที่เจียงเซี่ยนตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้นก็มักจะรู้สึกผิดปกติ พอหลี่เชียนขี่ม้ากลับมาจึงถามเขาว่า “เมื่อวานเจ้าพูดอะไรกับข้าหรือเปล่า?”
หลี่เชียนเห็นนางยังงัวเงีย และสับสนราวกับลูกแมวน้อย ตลกเป็นอย่างมาก จึงแกล้งนางว่า “เมื่อวานข้าพูดกับเจ้าไปมากมาย เจ้าถามถึงเรื่องไหนล่ะ?”
“เมื่อวานเจ้าพูดกับข้าหลายเรื่องหรือ?” เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว และพยายามระลึกความทรงจำ “แต่ทำไมข้าจำได้ว่าข้าพูดกับเจ้าแค่ประโยคเดียว…”
นางเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตากลมโตทั้งกลมและสดใส ใสแจ๋วและใสสะอาดราวกับสามารถสะท้อนเงาที่กลับหัวของคนได้อย่างชัดเจน
จู่ๆ หลี่เชียนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงอดไม่ได้ที่จะหลอกนางอีกครั้ง และเอ่ยสิ่งที่เคยพูดเมื่อวานกับนางอีกรอบ
เจียงเซี่ยนโกรธ จึงผลักหลี่เชียนและเอ่ยว่า “เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว!”
“เปล่า เปล่า!” หลี่เชียนเอ่ยพลางหัวเราะ และหลบไปข้างๆ
ทั้งสองคนหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานนานมาก จนกระทั่งสายแล้ว ทั้งสองคนต้องไปคารวะหลี่ฉางชิงกับฮูหยินเหอ ถึงจะแล้วกันไป
วันนี้หลี่ฉางชิงจะไปสนามฝึกกับหลี่เชียน เจียงเซี่ยนจึงกลับเรือนตะวันตกคนเดียว
เซียงเอ๋อร์กำลังรอนางอยู่หน้าประตู พอเห็นนางก็รีบเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลจินของกองบัญชาการไท่หยวนให้คนส่งเทียบขอพบมา อยากมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
ตามหลัก เพิ่งแต่งงานเดือนแรก ห้องหอจะว่างไม่ได้ พวกญาติก็จะไม่มารบกวนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเช่นกัน และคุณหนูจินก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความ น่าจะมีธุระอะไรบางอย่างกับนาง
เจียงเซี่ยนไม่เห็นเทียบขอพบก็เอ่ยแล้วว่า “ข้าว่างบ่ายวันนี้กับพรุ่งนี้ นางจะมาตอนไหนก็ได้!”
เซียงเอ๋อร์ขานรับและจากไป
จินย่วนเลือกมาเยี่ยมนางตอนบ่าย
เจียงเซี่ยนพบนางในห้องพักผ่อน
นางย่อตัวคารวะอย่างลำบากใจ และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบาว่า “เดิมทีคิดว่าอีกสองสามวันจะแนะนำพวกเพื่อนสนิทให้ท่านหญิง ใครจะรู้ว่าท่านพ่อจะให้ข้าไปร่วมงานแต่งงานของท่านหญิงชิงฮุ่ยที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนท่านแม่ เกรงว่ากว่าจะกลับมาได้ก็ช่วงปีใหม่ จึงตั้งใจมาบอกลาท่านหญิงโดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าท่านหญิงมีของหรือคำพูดอะไรให้ข้านำไปให้ท่านหญิงชิงฮุ่ยหรือฮูหยินฝางหรือไม่”
เจียงเซี่ยนเข้าใจทันที
จินย่วนจะไปดูตัวที่เมืองหลวง
เติ้งเฉิงลู่เป็นคนไม่เลว หากการแต่งงานนี้สำเร็จ ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน
นางยิ้มและเอ่ยว่า “ยังมีของที่จะให้เจ้าช่วยนำไปเมืองหลวงให้ข้าจริงๆ พวกเจ้าไปเมื่อไร? ข้าจะได้เตรียมของ”
จินย่วนหน้าแดงและเอ่ยว่า “ออกเดินทางวันที่ยี่สิบเดือนหก ท่านพ่อบอกว่า ไปถึงเมืองหลวงก่อนเดือนเจ็ดได้จะดีที่สุด”
เข้าสู่เดือนเจ็ดก็เป็นเดือนผีแล้ว คนทั่วไปเดินทางไปต่างถิ่นก็จะหลีกเลี่ยงฤดูนี้
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางคุยกับนางอีกเล็กน้อย จินย่วนก็ลุกขึ้นบอกลา
เจียงเซี่ยนไปเรียกหลี่ไท่หัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลหลี่เข้ามา และถามเขาว่าได้รับเทียบเชิญของตระกูลไป๋หรือไม่
“ได้รับแล้วขอรับ” หลี่ไท่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม โดยมีม่านมุกกั้นอยู่ และเอ่ยว่า “ส่งมาเมื่อวานตอนบ่าย ควรทำอย่างไร ทางใต้เท้ายังไม่มีคำพูดลงมา ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ยังไม่ได้เตรียมขอรับ”
เจียงเซี่ยนสั่งเขาว่า “ข้ายังมีของส่วนหนึ่งที่จะนำไปเมืองหลวงด้วย พวกเจ้ากำหนดวันที่ไปเมืองหลวงแล้ว ก็บอกข้าหน่อย”
หลี่ไท่ขานว่า “ขอรับ” ติดกันหลายครั้ง และออกไป
ทางฮูหยินเหอมาเชิญ “ท่านป้าเหอมาแล้ว ฮูหยินถามว่าตอนเที่ยงท่านหญิงว่างหรือไม่ อยากเชิญท่านหญิงไปร่วมงานเลี้ยงเป็นเพื่อนเจ้าค่ะ!”
เกียรตินี้ต้องให้อยู่แล้ว
เจียงเซี่ยนตกลง และเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วให้ฉิงเค่อพกอั่งเปาสองสามซองไปที่เรือนของฮูหยินเหอ
ป้าเหอดูเหมือนอายุสี่สิบกว่าปี ขาวและอ้วน เวลายิ้มแลดูอ่อนโยนมาก ทว่าตอนที่ทำหน้าขรึม หน้าตากลับฉายแววเฉลียวฉลาดเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนเคยเจอตอนที่ญาติของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรก นางยังให้เงินหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงกับเครื่องประดับทองคำบริสุทธิ์ชุดหนึ่งเป็นของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกด้วย
ทั้งสองคนยิ้มพลางคารวะ และนั่งลงโดยแยกแขกกับเจ้าบ้าน
ป้าเหอไม่หลีกเลี่ยงแม้แต่นิดเดียว นางเอ่ยเรื่องที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่กับฮูหยินเหอต่อ “ปีนี้ถงเอ๋อร์อายุสิบหกแล้ว หากไม่จัดการเรื่องแต่งงานให้เรียบร้อยอีกก็สายแล้ว พี่ชายของเจ้าก็มีลูกเพียงแค่นี้ หากพวกเราไม่อยู่แล้ว นางจะทำอย่างไร? เจ้าไม่อยู่บ้านจึงไม่รู้ เมื่อวานซืนผู้นำตระกูลยังมาปรึกษาเรื่องรับลูกบุญธรรมกับพี่ชายของเจ้าที่บ้านของพวกเราด้วย กิจการที่ข้ากับพี่ชายของเจ้ารวบรวมเอาไว้อย่างยากลำบากก็ทำให้คนนอกสบายแบบนี้อย่างนั้นหรือ…”