ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 110 ภารกิจแดนใต้

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 110 ภารกิจแดนใต้

“ เร็วจริง นี่พวกเรายังกินกันไม่เสร็จเลยนะ”

เหรินหมิงพูดพลางสวาปามเนื้อสัตว์ประหลาดที่เหลือให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

จางหยวนได้ยืนขึ้นก่อนที่จะพูดออกมา “ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านผู้การ พวกเราจะรอช้าไม่ได้ ไปได้แล้ว”

หลังจากออกจากภัตตาคาร หลางซานเอ๋ออดที่จะมากระซิบกระซาบข้างๆเฉินเฉียงไม่ได้ “น้องชายเฉินเฉียง เจ้าคิดว่าท่านผู้การต้องการเรียกพบพวกเราไปทำไม”

เฉินเฉียงได้ส่ายหน้าในทันทีก่อนจะถามกลับไป “แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไงกัน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าว่าท่านผู้การต้องหาตำแหน่งดีๆให้เจ้าในฐานะที่เขาเป็นหลานชายคนหนึ่งแน่ๆ”

“ก็พูดยากอยู่นา เป็นไปได้ว่าผู้การอาจจะตบแต่งเจ้ากับลูกสาวของเขาก็ได้นา ใครจะรู้”

เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็อดที่จะลอบมองไปป้ะสายตากับเว่ยฉิงเชินไม่ได้ และนี่ทำให้ใบหน้าของคนทั้งคู่แดงขึ้นมาในทันที

“เอาล่ะ เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว”

จางหยวนได้ขัดขวางการพูดหยอกเย้าของแต่ละคนและนำทุกคนกลับไปยังตึกจอมพล

พวกเขากลับเข้าไปในห้องข้อมูลก่อนหน้านี้ และเมื่อไปถึง พวกเขาก็พบว่าผู้การในตอนนี้อยู่ในสภาพท่าทางที่ร้อนรน แตกต่างจากสองชั่วโมงก่อนอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเห็นพ่อของตนดูร้อนรนราวกับหนูที่ตกลงไปในหม้อน้ำร้อน เว่ยฉิงเชินจึงเริ่มเดินไปหาและถามขึ้นมา “พ่อ เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อถึงดูร้อนรนขนาดนี้”

เมื่อเห็นว่าทุกคนมาถึง เว่ยหยวนตี้ไม่แม้แต่สนใจลูกสาวของตน เขาเดินไปหาเฉินเฉียงด้วยใบหน้าที่ร้อนรุ่มและวางมือไว้ที่ไหล่ของเฉินเฉียงในทันที

“หลานชาย…. ข้า….”

เว่ยหยวนตี้ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

“ลุงเว่ย เกิดอะไรขึ้น ท่านค่อยๆเล่ามาก็ได้” หลังจากได้ยินน้ำเสียงของเว่ยหยวนตี้แล้วเฉินเฉียงก็อดที่จะขวัญเสียออกมาไม่ได้ เขารู้สึกได้ในทันทีต้องมีอะไรบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้นมา

“เฮ้ออออ”

เว่ยหยวนตี้ได้ถอดถอนลมหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา “หลานชาย พวกเราพึ่งจะได้พบเจอหน้ากันในวันนี้ ความจริงแล้วลุงเว่ยคนนี้ต้องการที่จะมอบโอกาสดีๆให้กับเจ้าอยู่เหมือนกัน”

“ใครจะคิดว่าในวันนี้เองข้าก็ได้ข่าวร้ายมาจากทะเลแดนใต้เมื่อครู่นี้”

“กองกำลังที่เราส่งลงไปร่วมสงครามแดนใต้เสียหายอย่างหนัก แถมสงครามก็ยังกระชั้นเข้ามาอีก ด้วยจำนวนทหารของเขตกันหนันที่น้อยอยู่แล้วเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก และนี่ทำให้พวกเราไม่อาจจะส่งกำลังหนุนไปเพิ่มเติมได้”

แต่กับเรื่องนี้เอง ทางผู้การสูงสุดได้สั่งการลงมาโดยตรง ลุงเลยอยากจะให้กองกำลังเทียนเว่ยของเจ้านั้นรับภารกิจลงไปทางทะเลใต้ แต่ลุงเองก็ไม่รู้ว่ามันจะยังเร็วเกินไปสำหรับเจ้ารึเปล่า

“ท่านผู้การแห่งกันหนัน ข้าขอขอบใจท่านในเรื่องนี้อย่างสุดซึ้ง”

ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้พูดอะไรออกมา จางหยวนได้ก้าวเท้าขึ้นหน้าและพูดออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ “กองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรานั้นขาดโอกาสที่จะได้รับภารกิจสงครามเช่นนี้มานานนับแรมปี ในที่สุดโอกาสก็ได้มาถึงสักที”

“ใช่แล้วครับท่านผู้การ พวกเราเหล่าสมาชิกแห่งกองกำลังเทียนเว่ยถวิลหาในการสงครามแบบนี้มานานมากแล้ว การที่จะปฏิเสธไปต่างหาก ถึงจะสมควรเรียกว่ามันไม่สมควร”

“พวกเราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณท่านที่ยังไม่หลงลืมชื่อกองกำลังของพวกเรา ท่านอย่าได้เป็นกังวลไป กองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรานั้นจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง และพวกเราต้องคว้าชัยมาในครั้งนี้ให้จงได้”

สมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยทั้งแปดคนนั้น ในตอนนี้มีท่าทางตื่นเต้นแบบสุดๆ แถมพวกเขาจะวิ่งไปที่เขตแดนใต้ในทันทีที่ได้ยิน หากไม่ติดว่ามันจะดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป

เฉินเฉียงเองก็ได้ยักไหล่ขึ้นมาก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ลุงเว่ย ท่านเองก็เห็นว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้นพร้อมกันซะขนาดไหน พวกเราต้องการจะเข้าร่วมสงครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เรียบร้อยแล้ว”

“ข้าเองก็เป็นหนึ่งในกองกำลังเทียนเว่ย แน่นอนว่าตัวข้านั้นย่อมไม่ปฏิเสธความต้องการของลุงเว่ยอย่างแน่นอน โปรดออกคำสั่งด้วย”

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงและพวกนั้นต่างก็ไม่มีท่าทางลังเลเลยแม้แต่น้อย นี่กลับทำให้ เว่ยหยวนตี้ รู้สึกลังเลขึ้นมาแทน

“ท่านผู้การ สถานการณ์ทะเลแดนใต้ในตอนนี้วิกฤตนัก พวกเรารอต่อไปไม่ได้แล้วนะครับ”

ในฐานะที่เป็นองครักษ์ส่วนตัว ลีปิงก็ได้พูดออกมาเพื่อรีบเร่งให้ผู้การของตนรีบตัดสินใจ

“ก็ได้ พวกเจ้า จงเข้าร่วมสงครามทางใต้ซะ”

เว่ยหยวนตี้ได้มองไปยังลีปิงก่อนที่จะหันไปมองเฉินเฉียงและพูดขึ้นมา “หลานชาย นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบเจอกัน พวกเรายังทำความรู้จักกันได้ยังไม่ถึงวันดี เจ้าก็ต้องจากข้าไปอีกแล้ว ลุงคนนี้อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลจริงๆ”

“ท่านลุงอย่าได้กังวลไป ข้าจะฆ่าศัตรูอย่างห้าวหาญ เพื่อไม่ให้ท่านลุงต้องผิดหวังที่เชื่อใจข้า”

“ดี ดีมาก สมแล้วที่เป็นทายาทแห่งน้องชายของข้า กล้าหาญ ช่างกล้าหาญนัก”

เว่ยหยวนตี้ได้ตบไหล่ของเฉินเฉียงอย่างหนักราวกับว่าเขาเองได้เข้าร่วมศึกสงครามในครั้งนี้ก็ไม่ปาน ก่อนที่เขาจะรีบพูดออกมา “เด็กๆ พวกเจ้านั้นคือคนของกองกำลังเทียนเว่ย พวกเจ้าเองก็สมควรจะรู้ซึ้งจิตวิญญาณแห่งกองกำลังเทียนเว่ยอย่างผู้การเทียนเว่ยที่ได้รับมาจากการผ่านศึกสงครามได้เป็นอย่างดี พวกเจ้าต้องไม่ทำให้ชื่อเสียงของผู้การต้องมัวหมอง”

“สงครามแดนใต้ในครั้งนี้เองถือได้ว่าเป็นเรื่องด่วน ข้าได้รับข่าวมาว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์เข้าร่วมด้วย นี่จึงถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่พวกเราเหล่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจเลี่ยงได้”

“ถึงแม้ว่ากองกำลังเทียนเว่ยนี้จะมีคนไม่มาก แต่พวกเจ้าแต่ละคนล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าคนในกองกำลังของพวกเราทั้งเขตกันหนันและเมืองเหมันต์จันทรา”

“เด็กน้อยเอ๋ย พวกเจ้า จงแสดงความห้าวหาญของพวกเจ้า ให้กับตาแก่กับข้าที่คอยเฝ้ามองอยู่ที่กันหนันแห่งนี้ได้รับชมด้วยแล้วกัน”

“ข้า ขอรับคำสั่งจากท่านผู้การแห่งกันหนัน กองกำลังเทียนเว่ยจะขอปกปักเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ด้วยชีวิต ต่อให้ตาย พวกเราก็ไม่เสียใจ”

จางหยวนได้กล่าวนำทุกคนและทุกคนก็ได้กล่าวตามประดุจดั่งการกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตน

“ท่านพ่อ ข้า…. อยากจะไปด้วย”

เว่ยฉิงเชินเองหลงใหลได้ปลื้มผู้คนแห่งกองกำลังเทียนเว่ยมานานแล้ว และนี่ก็ทำให้เธอเองอยากจะได้สัมผัสการเป็นคนของกองกำลังเทียนเว่ยดูสักครั้ง

“พูดจาไร้สาระ”

เว่ยหยวนตี้นั้นตกตะลึงจนหันขวับและดุลูกสาวของตนโดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมในทันที “พวกเขาคือกองกำลังที่ตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับศัตรูของมวลมนุษยชาติและป้องกันเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นคือหน้าที่ของพวกเขา”

“แล้วเจ้า ผู้ซึ่งยังเป็นเพียงเด็กที่ยังศึกษาอยู่ในสำนัก แล้วเจ้าจะไปมีความสามารถในการเผชิญหน้ากับความเสี่ยงเหล่านี้ได้ยังไง”

“หากว่าเจ้าสำเร็จการศึกษาแล้วข้ายังพอจะรับฟัง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะยุ่ง รอเจ้าจบก่อนแล้วค่อยหาโอกาสเข้าร่วมในตอนนั้นซะ”

.

“แต่ท่านพ่อ ท่านพี่ใหญ่เฉินเฉียงเองก็ยังคงเป็นศิษย์สำนักเต่าดำเช่นเดียวกัน แล้วทำไมเขายังไปได้ล่ะ” เว่ยฉิงเชินพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ไม่ยอมแพ้ต่อให้เธอจะต้องแพ้อยู่เต็มประตูแล้วก็ตาม

“ศิษย์พี่ใหญ่เฉินเฉียงของเจ้านั้นถึงแม้จะยังเป็นศิษย์ของสำนักเต่าดำก็ตาม แต่เขานั้นในตอนนี้คือคนของกองกำลังเทียนเว่ย เขาเองก็ต้องฟังคำสั่งของจางหยวนเช่นเดียวกัน”

เว่ยหยวนตี้ได้มองไปที่เฉินเฉียงก่อนที่จะพูดออกมา “แน่นอนว่าหากหลานชายไม่ต้องการจะไป ลุงเว่ยคนนี้ไม่ที่จะบังคับเจ้า ยังไงซะเจ้าก็ยังไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากสำนัก”

“ข้า….” เฉินเฉียงนั้นเตรียมที่จะพูดยืนยันว่าจะไป แต่ก่อนที่เขาจะตอบออกมา เว่ยหยวนตี้กลับพูดออกมาก่อนเสียงอย่างนั้น “แต่ข้าก็เชื่อว่าในฐานะผู้สืบเชื้อสายแห่งน้องชายเทียนเว่ย เจ้าย่อมไม่ขี้ขลาดอย่างแน่นอน และสิ่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเกียรติยศแห่งนักรบผู้ปกป้องเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ”

เว่ยหยวนตี้ได้หันไปหาจางหยวนและถามออกมา “จางหยวน เจ้ายังจดจำคำขวัญของกองกำลังได้หรือไม่ พูดออกมาดังๆ”

“กองกำลังเทียนเว่ย อยู่เพื่อสงคราม ตายในสงคราม ตกตายไม่เสียดาย”

จางหยวนและคนทั้งเจ็ดที่อยู่ข้างหลังได้กล่าวคำขวัญออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่รอให้ถาม

“เจ้าได้ยินหรือไม่ หลานชาย นี่คือคำขวัญที่พ่อของเจ้าได้แต่งขึ้นมาไว้เมื่อกาลก่อน เขาได้แต่งมันขึ้นมาด้วยตัวเองในตอนที่ข้ายังอยู่ที่นั่น”

“หลานชาย เจ้าต้องไม่ทำให้พ่อของเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์ต้องผิดหวัง เจ้าต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเจ้าเองมีกึ๋นมากพอขนาดไหนในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง”

“ลุงเว่ย ท่านอย่าได้เป็นกังวล ต่อให้ท่านไม่พูด ข้า เฉินเฉียง ขอสาบานว่าข้าจะอยู่และตายไปพร้อมกับกองกำลังเทียนเว่ยในชีวิตนี้ และจะไม่ขลาดเขลาดั่งที่ท่านว่ามา”

“ดี” เมื่อเห็นดังนี้ เว่ยหยวนตี้ก็เริ่มผ่อนคลายกังวล เขาตบมือและกล่าวเสียงเชียร์ออกมา

“เอาล่ะ ฟังคำสั่ง กองกำลังเทียนเว่ย ขอให้เข้าร่วมสงครามในเขตทะเลแดนใต้ในทันที”

“พ่อ ท่านอย่าบอกนะว่าจะส่งพวกเขาเก้าคนเข้าร่วมสมรภูมิจริงๆน่ะ แล้วองครักษ์ของผู้บัญชาการสูงสุดล่ะคะ พวกเขาเองก็มีกว่าสามร้อยคนไม่ใช่เหรอ พวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งไม่น้อย แล้วทำไมพวกเรายังต้องส่งพวกเขาไปอีก”

“เด็กนี่ เงียบเดี๋ยวนี้นะ เจ้ามาถามอะไรในตอนนี้กัน ถึงแม้ที่กองบัญชาการสูงสุดจะมีองครักษ์อยู่แล้วยังไง พวกเขาเองก็มีภารกิจอื่นเช่นเดียวกัน และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเจ้าบอกกับเจ้าไม่รู้รึไง”

หลังจากกล่าวดุลูกสาวตนไปแล้ว เว่ยหยวนตี้ได้ส่งมอบแผนที่ให้กับจางหยวนและพูดออกมา “ศึกสงครามนี้เร่งด่วนนัก หากเป็นไปได้พวกเจ้ารีบไปในวันนี้เลยก็ดี”

“รับคำสั่ง”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท