บทที่ 186 สมาชิกใหม่ของกองกำลังเทียนเว่ย
“ฮ่าฮ่าฮ่า จางหยวน ดูสิว่าข้าพาใครมา”
ที่ฝั่งของตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา ที่ข้างๆธงพลนั้น กัวเหลียงที่เดินเข้าไปหาจางหยวนพร้อมกับหญิงสาวสองนางที่ตามเขาไป
ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมานี้ จางหยวนและคนในกองกำลังอีกเจ็ดคนนั้นได้เติบโตขึ้นมาบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางหยวนที่ในตอนนี้ไม่เพียงจะทะลวงผ่านเป็นนายพลวิญญาณขั้นกลางตอนปลายแล้ว เขานั้นยังมีจิตใจที่มั่นคงประดุจเหล็กกล้าอีกด้วย
“โอ้ กัวเหลียง ไม่ได้พบกันนานเลยจริงๆ ข้าไม่คิดว่าเจ้าเองก็จะตัดผ่านเป็นนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้วเหมือนกัน ดีจริงๆนะเนี่ย”
“มียิ่งกว่านั้นอีกนา…” กัวเหลียงได้ส่งสายตาไปยังหลิวซวนเอ๋อที่ปรากฏกายอยู่ข้างหลังเขา “ศิษย์พี่จางหยวน ศิษย์น้องหลิวนั้นถือว่าไม่แย่นัก เธอในตอนนี้เปิดจุดชีพจรลับได้สิบเอ็ดจุดแล้ว อีกไม่นานเธอก็จะทันท่านแล้วนะ”
หลิวซวนเอ๋อที่ในตอนนี้แต่งชุดแดงบาดตาได้เดินมาหาจางหยวนด้วยท่าทีปรีดาและใบหน้าที่แดงระเรื่อ
“นะนะนี่นี่คือซวนเอ๋อ….เหรอ”
“อ้าว อ้าว อ้าว พี่จางหยวน นี่ท่านกลายเป็นตัวโง่งมไปแล้วรึไงกัน แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นศิษย์น้องหลิวอย่างแน่แท้ นางมากับหนี่เฟิงของข้า รวมถึงตัวข้าด้วยที่ต้องการเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ย”
“หรือออออ ท่านไม่ยินดีที่จะรับพวกเรากัน”
“หากเป็นแบบนั้นพวกเราไปเข้าร่วมกับกองกำลังอื่นก็ได้”
หลังจากพูดจบ กัวเหลียงก็ได้จับบ่าของหลิวซวนเอ๋อและจูงมือของหนี่เฟิงเตรียมที่จะจากไป
อย่างไรก็ตาม หลิวซวนเอ๋อนั้นไม่มีท่าทีจะขยับตัวเองตามแต่อย่างใด เธอยืนนิ่งและหนักแน่นประดุจหินผา พร้อมทั้งสายตาที่มองไปยังจางหยวนอย่างลึกซึ้ง
กัวเหลียงที่เห็นฉากนี้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดออกมา “หนี่เฟิง ดูเหมือนว่าเราจะหมดหวังกับศิษย์น้องหลิวแล้วล่ะ พวกเราไปกันดีกว่า”
“หากเจ้าจะไปก็ไปคนเดียวสิยะ” หนี่เฟิงได้สะบัดแขนของตนในทันทีจนทำให้กัวเหลียงมีท่าทีห่อเหี่ยวในทันใด
“นี่เจ้ากล้าพูดอย่างนี้ได้ยังไง” กัวเหลียงได้ทรุดเข่าลงกับพื้นพลางทำท่าไร้เรี่ยวแรงออกมา “ฮึกฮึก ข้า ข้าอุตส่าห์พาเจ้ามาที่นี่ แล้ว แล้วทำไมข้าต้องจากไปคนเดียวด้วย ฮึกฮึก”
“ไม่เอาน่า โอ๋โอ๋น้า กัวน้อย ใครบอกเจ้ากันว่าข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว มามะ มาเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยกันน้า….”
เมื่อได้ยินได้เห็นฉากนี้ จางหยวนและเม่ยหลัวหลันได้วิ่งเข้าไปดึงตัวหลิวซวนเอ๋อและหนี่เฟิงมาไว้ในอ้อมกอด
“สุดยอดไปเลย ทีนี้ก็มีผู้หญิงในกองกำลังของเราอีกสองคนแล้ว ข้าจะไม่รู้สึกเหงาอีกแล้ว”
“มามะน้องสาว มาให้ข้าแนะนำเจ้าให้รู้จักคนอื่น”
เมื่อเม่ยหลัวหลันได้พูดจบลง เธอก็แนะนำหญิงสาวให้คนอื่นได้รู้จัก
เมื่อเห็นฉากนี้ หลางซานเอ๋อและหลู่จี้ก็ได้มองทั้งหลิวซวนเอ๋อและหนี่ฟางชนิดไม่วางตา นี่ทำให้กัวเหลียงวิ่งสี่คูณร้อยมาประกบหนี่เฟิงในทันที และพูดออกมาด้วยท่าทางประดุจเหยี่ยวหวงลูกเจี๋ยบก็ไม่ปาน “นี่พวกเจ้ามองอะไรกัน”
“บอกไว้ก่อนนะว่าหนี่เฟิงเป็นผู้หญิงของข้า”
“แล้วก็พวกเจ้าอย่าได้สนใจหลิวซวนเอ๋อจะดีกว่า นางคือคนรักของกัปตันจางของพวกเจ้าที่แยกจากกันเมื่อสี่ปีก่อน”
“อย่ากังวลเรื่องนางเลยน่า”
“อะไร นี่ข้าบอกเจ้าขนาดนี้เจ้ายังคิดเป็นกังวลอีกรึไงกัน” จางหยวนได้ถามออกมา
กัวเหลียงจึงได้ชี้ไปที่เหรินหมิง
จางหยวนเมื่อเห็นก็ได้รีบตะครุบมือของกัวเหลียงและกดลงและพูดออกมา “กัว เจ้าอย่ามาทำตัวไร้สาระแบบนี้นะเว้ย”
เหรินหมิงนั้นมันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ ถึงหน้ามาจะเถื่อน และนิสัยดูดิบและปากเสียไปบ้าง แต่หมอนี่นั้นมีนางในดวงใจเพียงคนเดียวคือนักรบสาวเพียงหนึ่งในกองกำลังของเราหรือก็คือเม่ยหลัวหลันเป็นภรรยาอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องเป็นกังวลไป
“แล้วก็ ข้าไม่ใช่กัปตันของกองกำลังแต่อย่างใด”
“ว่าแต่ เมื่อไหร่เฉินเฉียงจะออกมาล่ะ”
เมื่อจางหยวนและพวกมาถึงที่ตึกจอมพลเขตกันหนันแห่งนี้ พวกเขาก็พบว่า ไม่เพียงเฉินเฉียงจะยังไม่ตาย แถมพวกเขานั้นยังได้รู้อีกว่า เฉินเฉียงนั้นได้อันดับสองในการประลองสี่สำนักในครั้งนี้
หลังจากได้รับฟังข่าวที่น่าปลื้มปีตินี้ จางหยวนและพวกได้ทำการฉลองกันไปหนึ่งวันเต็ม
“พี่จางหยวน ข้าว่าอย่าพึ่งหวังในตัวศิษย์น้องมากนักเลยนา”
“เขานั้นประสบความสำเร็จตั้งมากมายในครั้งนี้ ข้าคิดว่าไม่เพียงตึกจอมพลเขตกันหนันเท่านั้น แม้แต่ตึกจอมพลภาคกลางก็ยังคิดดึงตัวเขาไป”
จางหยวนได้ยิ้มและส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ “กัว เจ้ากล้าพนันกับข้าไหมล่ะ”
“ข้าพนันได้เลยว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ว่ายังไงก็ต้องดิ้นรนเข้าร่วมกับพวกเราให้ได้ เจ้าเชื่อข้ารึเปล่า”
“เข้าร่วมกับพวกเราเนี่ยนะ”
กัวเหลียงได้ชี้ไปที่คนทั้งสิบเอ็ดคนของกองกำลังแล้วพูดออกมา “พี่จางหยวน พี่ต้องพูดเล่นแน่ๆ”
“ลองดูกองกำลังอื่นสิ พวกเขามีไม่น้อยก็ร้อยคน และมากสุดก็อยู่ที่ห้าถึงหกร้อยคนด้วยซ้ำ”
“แล้วดูพวกเราสิ มีเพียงแค่สิบเอ็ดคนเองนะ มันห่างกันมากเกินไป แล้วแบบนี้ ศิษย์น้องจะยอมร่วมกองกำลังกับเราได้ยังไงกัน”
“อะไร อะไร มีสิบเอ็ดคนแล้วผิดตรงไหนกัน ถึงก่อนหน้านี้พวกเราจะมีแปดคนแต่พวกเราทั้งแปดก็สร้างผลงานที่ดีเยี่ยมและชนะศึกมาโดยตลอดนะ” เม่ยหลัวหลันเป็นคนแรกที่ออกมาพูดตอบโต้คำพูดของกัวเหลียง
ตามมาด้วยเสียงอันทุ้มต่ำของรองหัวหน้าอย่างหลิวไฮ่ “ถ้าเจ้าดูถูกกองกำลังของเรานักล่ะก็ ออกไปจากกองกำลังของเราเดี๋ยวนี้”
หลางซานเอ๋อ หนุ่มรูปงามได้เม้มริมฝีปากแน่น “ฮึ่ม”
หลู่จี้ หนุ่มวิชาการได้พูดออกมา “พวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นทหารเจนศึก”
เหรินหมิง ผู้มีใบหน้าดิบเถื่อนแต่รักเดียวใจเดียวได้พูดออกมา “ภรรยาของข้าพูดถูกต้องแล้ว”
หนี่เฟิงได้เข้าไปลูบ(บีบ)ก้นของกัวเหลียงอย่างหนักแล้วพูดออกมา “เจ้านี่น่ารำคาญเสียจริง”
“นายพลเว่ยหวู่นั้นยังหลงเหลือสิ่งที่ต้องรักษาไว้กับกองกำลังของพวกเรา” หวังต้าลู่พูดออกมา “แล้วเขาจะไม่กลับมาที่นี่ได้ยังไง”
กัวเหลียงที่ได้ยินแล้วก็รู้ในทันทีว่าคนในกองกำลังทุกคนกำลังโกรธขึ้นมาจริงๆ เขาก็รีบยิ้มและพูดออกมา “ฮี่ฮี่ฮี่ แหม่ ทุกท่านก็คิดเป็นจริงเป็นจัง ตัวข้าเพียงพูดเล่นก็เท่านั้นเอง”
“ข้ารู้จักศิษย์น้องดีกว่าใครน่า หากว่าเขาบอกว่าจะเข้าร่วม ต่อให้ต้องดิ้นให้ตายเขาก็จะเข้าร่วมอยู่ดี”
ด้วยการที่กัวเหลียงนั้นพึ่งจะเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ย หากเขามีเรื่องกับทุกคนล่ะก็ เขาบอกได้เลยว่าชีวิตที่เหลือของเขานับจากนี้คงจะมีแต่สีแดงฉานเป็นแน่ เขาจึงต้องพยายามปรับความเข้าใจให้ได้โดยเร็ว
“จางหยวน ศิษย์น้องเฉินเฉียงเข้าไปบ่มเพาะในตึกจอมพลกันหนันหนึ่งเดือนน่ะ กว่าเขาจะออกมาก็เป็นหนึ่งเดือนให้หลังนู่นแหละ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลิวซวนเอ๋อ จางหยวนก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาหันหลังกลับไปมองธงพลที่ปลิวไสวอยู่ข้างหลังเขา บนธงนี้มีการปักตัวอักษรสีทองอร่ามเอาไว้ว่า กองกำลังเทียนเว่ย
ก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงที่เป็นเพียงนักรบสายเลือดทหารขั้นกลางได้กล้าเอ่ยปากออกมาว่าต้องการชิงธงพลผืนนี้ไปจากจางหยวน
ในตอนนั้น จางหยวนมองเฉินเฉียงเป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่กล้าพูดจาโอหังออกมาอย่างไม่คิดเพียงเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเขานั้นถึงรับปากเฉินเฉียงที่จะสู้กับเขาในเวลาห้าปีให้หลังนะตอนนั้น
นึกไม่ถึงว่า ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงสี่ปีดี ไม่เพียงเฉินเฉียงจะมีระดับการบ่มเพาะที่พัฒนาอย่างรวดเร็วแล้ว เขานั้นยังได้รับชื่อว่าเป็นนายพลเว่ยหวู่ด้วยพลังของตนเอง แถมเขายังครองใจและได้รับความเคารพจากเหล่านักรบของกองกำลังเทียนเว่ยไปเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนี้ เพียงแค่เฉินเฉียงยังคงรักษาสัญญาของเขาที่ว่าจะเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยได้ล่ะก็ เขานั้นยินดีที่จะมอบธงพลนี้ให้ด้วยมือของเขาเอง
….
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในห้องบ่มเพาะหมายเลขสองของตึกจอมพลเขตกันหนันนั้น เฉินเฉียงที่อยู่ข้างใน ในตอนนี้ได้เปิดจุดชีพจรลับได้สิบแปดจุดแล้ว
และเป็นไปตามที่ราชาสวรรค์กล่าวเอาไว้ หากว่าเขาบ่มเพาะจนได้รับสิ่งที่เรียกว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้มาได้แล้วเมื่อตอนก่อนที่จะข้ามขั้น ยามที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นกลางได้ จุดชีพจรลับอีกสามจุดก็เปิดขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หากเขาไม่ฝืนกลั้นพลังสายเลือดเอาไว้ล่ะก็ เขาบอกได้เลยว่าด้วยปริมาณพลังสายเลือดที่ใช้เปิดจุดนั้น เขาสามารถทะลวงผ่านไปได้ถึงสี่ไม่ก็ห้าจุดในคราวเดียวอย่างไม่มีปัญหา
แต่อย่างไรก็ตาม เขานั้นยังคงฟื้นกลั้นไม่ให้ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป และคิดที่จะขัดเกลาแต่ละจุดชีพจรลับแต่ละจุดไปอย่างช้าๆ
ในช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินเฉียงยังดูดซับแก่นคริสตัลไปอีกจำนวนหนึ่งจนทำให้ในตอนนี้ค่าการรวมทักษะของเขาเพิ่มขึ้นมาดังเดิม
เจ้าของระบบ: เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง
การหลอมรวมทักษะ: 1
ค่าพลังงาน:641,300
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:356
ค่าความแข็งแกร่ง:389
ค่าความเร็ว:326
ค่าพลังจิต:697
ในช่วงสามวันสุดท้ายนี้ เฉินเฉียงมุ่งเน้นไปที่การเติมพลังงานสายเลือดใส่จุดชีพจรลับ เขานั่งลงพร้อมตั้งมั่นในการใช้เคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทร และเพิ่มค่าพลังจิตของเขาอย่างต่อเนื่อง
เป็นเพียงตอนที่ประตูห้องบ่มเพาะได้เปิดออกแล้ว เขาจึงได้รับรู้ว่าเวลาได้หมดลงแล้วจึงได้ยืนขึ้นมา
“ศิษย์เฉินเฉียง โปรดตามข้าไปยังลานประลองและเลือกกองกำลังที่เจ้าต้องการจะเข้าร่วม”