ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 193 เงินตรา

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 193 เงินตรา

เมื่อเห็นฉากนี้ เจ้าของร้านร่างอ้วนได้พุ่งตรงเข้าไปในทันที

“ออกไปห่างๆเลยเว้ย”

เฉียวกังที่เตะเจ้าของร้านร่างอ้วนไปในทันทีและพูดออกมาอย่างดูแคลน “ไอ้อ้วนระยำ นี่แกคิดจะโกงเงินข้ารึไง เมื่อไหร่ที่กำไลสื่อสารมาถึงมือข้าก่อนแกถึงจะได้ไปเว้ย ว่าไงล่ะไอ้อ้วน แก่นคริสตัลแค่นี้พอไหมล่ะ”

เจ้าของร้านที่ถูกเฉียวกังเตะจนล้มกลิ้งไปแล้ว แต่สำหรับเขานั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาแต่อย่างใด เขาได้หยุดเท้าของตัวเองลงเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปทางเฉินเฉียงและพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านนายพล โปรดแสดงจิตวิญญาณของท่านให้ดูด้วยว่าท่านนั้นทรงพลังพอจะสู้ไหว”

เฉินเฉียงได้หัวเราะออกมา “ก็ได้”

เฉียวกังได้มองไปที่เฉินเฉียงอย่างดูแคลนและพูดออกมา “เฉินเฉียง เจ้ามีอันดับเหนือกว่าข้าแล้วยังไงกัน”

“เจ้ารู้รึเปล่าว่าท่านจ้าวนั้นตกรางวัลให้พวกเราที่เข้าร่วมคนละเท่าไหร่”

“เข้ามอบแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลางให้พวกเราคนละห้าล้านก้อนเลยนะเว้ย”

“เป็นไง เจ้านึกเสียใจรึยัง”

“เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

“พวกเรานั้นได้รับรางวัลมากว่าคนละห้าล้านแก่นคริสตัลขั้นกลางเลยนะเว้ย แล้วพวกแกล่ะ คงไม่ได้อะไรเลยสินะ”

เมื่อเฉียวกังพูดออกมานั้น เฉินเฉียงและพวกต่างก็ตกตะลึงและนิ่งอึ้งไป

พวกเขาไม่คิดว่านายพลจ้าวผู้นั้นจะเลือดขึ้นหน้าถึงขนาดเอาแก่นคริสตัลมากมายมาถมดินเล่นแบบนี้

คนละห้าล้านก้อน ไม่ต้องถึงห้าล้านก้อน แค่ล้านเดียวก็มากกว่ารางวัลผลงานที่พวกเขาได้รับมารวมกันตลอดหลายปีมานี้ซะอีก แถมในครั้งนี้ พวกคนเหล่านี้แม้แต่ขนก็ยังไม่มี

หากมองในมุมนี้ หลินเฟิงนั้นช่างขี้เหนียวนัก

เมื่อเห็นว่าเฉียวกังนั้นมีแก่นคริสตัลมากมายขนาดนี้ นี่ทำให้เขานั้นนึกถึงชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาในทันที

“เจ้าของร้าน เรามาคุยธุรกิจกันหน่อยดีกว่าไหม ข้าว่าวันนี้เรามาแบ่งแก่นคริสตัลที่ได้มาจากไอ้โง่นี่กันดีกว่า เอาเปล่า”

เจ้าของร้านที่มัวแต่มองเฉียวกังราวกับตัวทำเงินอยู่นี้ พร้อมกับคิดว่าในครานี้คงได้เงินก้อนใหญ่เป็นแน่อยู่นั้น เมื่อได้ยินคำพูดชวนของเฉินเฉียงเข้า เขาก็พูดตอบรับออกไปโดยลืมไปว่านี่คือเสียงที่ส่งผ่านเข้ามาในห้วงจิตสำนึกที่มีชื่อว่าส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณ และนี่ทำให้เขานั้นพยักหน้าและพูดตอบรับออกมาในทันที “ฮ่าฮ่าฮ่า ดี”

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาจากเจ้าของร้านร่างอ้วน เขาก็เหมือนจะพึ่งนึกขึ้นมาได้ เมื่อเฉียวกังได้เห็นก็นึกสับสนและขมวดคิ้วในทันที

“อะแฮ่ม หอสมบัติแห่งนี้นั้นล้วนแล้วค้าขายอย่างเป็นธรรมมาโดยตลอด ราคาค่างวดของกำไลสื่อสารชุดนี้นั้นข้าขอบอกตามตรงว่าอย่างมากก็สองหมื่นแก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลาง”

“อย่างไรก็ตาม ของที่นี่นั้นล้วนแล้วเป็นของที่ดีที่สุด ในเมื่อทั้งสองท่านต้องการจะแย่งกันซื้อ คนที่ได้ไปมากกว่าย่อมได้รับมันไป”

“สหายทั้งสอง โปรดรอสักครู่ ใครกันแน่ที่ยาจกนั้น เดี๋ยวพวกเราก็จะรับรู้กันในครั้งนี้ ”

หลังจากพูดจบ เจ้าของร้านร่างอ้วนก็ได้เอ่ยถามกับเฉินเฉียงอีกครา “ท่านนายพล ท่านคิดจะยอมจ่ายแค่ไหนกัน”

เฉินเฉียงได้เม้มปากเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ไอ้อ้วน อย่ามายุยงกันซะดีกว่า มันก็แค่สองหมื่นแก่นคริสตัลล่ะวะ พี่สาวหลัวหลัน จ่ายเงิน”

เมื่อเม่ยหลัวหลันได้ยินเธอก็รีบนำแก่นคริสตัลที่เธอได้มาจากก้อนหน้านี้ออกมา หลังจากนับจำนวนดูก็เห็นว่าขาดไปอีกร้อยก้อน เธอจึงได้มองเฉินเฉียงในทันใด

เฉินเฉียงได้หันไปมองอีกทาง “เจิ้งยี่ พี่สาวซวนเอ๋อ ออกไปก่อน”

เจิ้งยี่และหลิวซวนเอ๋อรีบนำแก่นคริสตัลออกมาจนได้ตามจำนวนและนำออกมาวาง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างน่าขันนัก”

เฉียวกังที่เห็นเฉินเฉียงต้องกุลีกุจอคนทั้งทีมถึงจะได้นั้นก็ได้หัวเราะออกมา

“เฉินเฉียง นี่เจ้าเป็นนายพลเว่ยหวู่ไม่ใช่รึไงกัน”

“เจ้าได้ถึงอันดับสองในการประลองสี่สำนักเลยนะโว้ย”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกก็คือเงินนั่นแหล่ะว้า”

เมื่อพูดจบ เฉียวกังก็ได้เอาแก่นคริสตัลออกมาสองหมื่นก้อนแล้วโยนให้เจ้าของร้านแล้วพูดออกมา “ไอ้อ้วนระยำ นี่คือทิปของแก เอาไอ้เศษเสี้ยวแก่นคริสตัลพวกนั้นกวาดลงถังขยะให้หน่อย”

“ต่อให้ข้าต้องจ่ายให้กับแก่นคริสตัลของมันทุกก้อน ข้าก็จะไม่ให้พวกจนๆแบบนี้ได้กำไลสื่อสารไปสักอัน ฮ่าฮ่าฮ่า”

เพียงไม่นาน นักรับต่างก็เริ่มเข้ามามุงดูที่ร้านหอสมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเห็นท่าทางของเฉียวกังแล้ว พวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก

ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาคือคนของกองกำลังทั่วไป พวกเขานั้นต่างก็เป็นผู้ที่อยู่ด่านหน้าคอยต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์มาตลอดทั้งปี แต่พวกเขานั้นก็ยังไม่ร่ำรวยเท่าเฉียวกัง

ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากเฉียวกังจะใช้เงินมาสะกดข่มนักรบคนอื่นแล้ว เขานั้นยังดูหมิ่นในเกียรติของนักรบด้วยการทำให้นักรบคนอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกด้วย

นี่มันเกินจะรับได้

“นี่มันหน้าด้านเกินไปแล้ว นี่หรือคือคนของตึกจอมพลภาคกลาง ในอนาคต ข้าจะไม่มีทางเลือกเข้าตึกจอมพลภาคกลางอย่างแน่นอน ช่างน่ารังเกียจนัก”

“ข้าว่าเฉียวกังคนนั้นช่างโง่นัก ได้เพียงที่สี่แต่กล้าที่จะหาเรื่องคนที่ได้อันดับหนึ่งและอันดับสอง”

“หากคนเช่นนี้ไม่ได้รับบทเรียนล่ะก็ แม้แต่สวรรค์ก็ยากที่จะลงทัณฑ์”

เฉียวกังในตอนนี้ได้ยินสิ่งที่ผู้คนด้านนอกพูดคุยกันอย่างชัดเจน

แต่เขาไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย

เขาทำเพียงแค่สบถออกมาเบาๆเพียงเท่านั้น “เฮอะ ก็แค่ไอ้พวกยาจกล่ะว้า”

หลังจากพูดจบ เขาก็ได้มองยังเฉินเฉียงอย่างเดียดฉันท์และพูดออกมา

“ว่าไง เฉินเฉียง ที่นี่แกจะเอาอะไรมาสู้กับข้าหะ”

“ยุคนี้สมัยนี้นะโว้ย ใครร่ำรวยกว่าก็ชนะไป ถูกต้องหรือเปล่า พี่น้องทั้งหลาย”

เหล่าองครักษ์ที่มากับเฉียวกังนั้น ความจริงแล้วพวกเขาต่างก็ไม่ได้ชื่นชอบกับท่าทางของเฉียวกังแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อเขาเป็นกัปตัน พวกเขาจึงทำได้เพียงเออออไปด้วยเพียงเท่านั้น

ยังไงซะ ตอนนี้ นี่คือหน้าตาตึกจอมพลภาคกลาง

“เฮ้อออออ” เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมาในทันพลางถอดถอนลมหายใจและพูดออกมา “เฉียวกัง ข้ายอมรับในคำพูดของเจ้า”

“นั่นก็คือใครไม่มีเงินย่อมต้องเสียหน้า”

“แต่ข้านั้นไม่มีแก่นคริสตัลมากมายขนาดนั้นจริงๆในตอนนี้”

“งั้นก็ไสหัวไปซะ”

เฉียวกังได้ตะคอกออกมา

อย่างไรก็ตาม เฉียวกังต้องตกตะลึงในฉากที่เห็น นั่นก็เพราะเฉินเฉียงได้นำกล่องหยกออกมาจากแหวนและมอบให้เจ้าของร้าน

“เจ้าของร้าน ถึงแม้ว่าข้านั้นจะไม่มีแก่นคริสตัลมากพอ” เฉินเฉียงได้พูดทิ้งช่วง ก่อนที่เขาจะเผยของที่อยู่ในกล่องหยกออกมา “แต่ข้านั้นสามารถใช้มันแทนได้รึเปล่า”

“หากว่าราคาของมันยังเท่าเดิมล่ะก็ ข้ายินดีที่จะขายมัน ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้านั้นจะต้องซื้อกำไลสื่อสารให้กับเหล่าพี่ชายของข้าให้ได้”

“เฉินเฉียง อย่า…”

เจิ้งยี่ จงหยวน และคนอื่นๆรีบกล่าวห้ามปรามในทันทีที่เห็น “เฉินเฉียง แก่นโลหิตนี้มันประเมินค่าไม่ได้เลยนะ ต่อให้ต้องใช้แก่นคริสตัลระดับนายพลขั้นกลางกว่าสิบล้านก้อนก็ยังหามันมาไม่ได้ มันไม่คุ้มค่ากันหรอก”

“ไม่สิ ราคาสิบล้านก้อนนั้นแลกกับมันได้เพียงแค่หยดเดียวเพียงเท่านั้น ไม่สิ ต่อให้ดูดซับแก่นคริสตัลขั้นกลางกว่าสิบล้านก้อนก็ยังได้ไม่เท่ากับแก่นโลหิตเพียงหยดเดียว แม้แต่ระดับราชากว่าจะดูดซับขวดนี้หมดก็นานมากเลยนะ”

“มันต้องบอกว่าแก่นคริสตัลก็ไม่อาจจะเทียบเท่ามันได้แม้แต่น้อย”

“มันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเจ้าจะเอามาแลกกับของแบบนี้เนี่ยนะ”

“มันไม่คุ้มเลยจริง พวกเราไม่ต้องใช้กำไลสื่อสารนั่นหรอก”

เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดออกมา “เรื่องนั้นข้าก็รู้ดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะต้องเข้าร่วมกับเหล่าพี่ชายในนามกองกำลังอย่างเต็มตัว แล้วข้าจะไม่สนความปลอดภัยของพวกท่านได้อย่างไร”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าได้ตัดสินใจแล้ว มันเทียบไม่ได้กับพวกท่านที่ได้เข้าร่วมสงครามกับข้า ข้าเองยังแบ่งมันไว้อีกสองหยดไว้แล้ว กับหนึ่งหยดนี้ไม่สำคัญแต่อย่างใด”

หลังจากพูดจบลงเฉินเฉียงได้พูดออกมาด้วยมือไพล่หลังอย่างเย็นชา “เจ้าสกุลเฉียว ข้าจะสู้กับเจ้าจนกว่าจะตายกันไปข้างในวันนี้ เจ้าไม่มีเงินสินะ แค่หยดนี้เพียงแก่นโลหิตหยดนี้เดียวของข้านั้นก็มีค่าเกินกว่าแก่นคริสตัลสิบล้านก้อนเข้าไปแล้ว”

“หากมีกึ๋นพอก็เสนอราคามา”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ใช้คลื่นพลังปิดกั้นแหวนของตน เพื่อไม่ให้คนอื่นตรวจสอบได้ พร้อมกับมือของเขาที่สั่นอย่างไม่อาจหยุดได้

“ไอ้ฉิบหาย เฉินเฉียงบ้าไปแล้ว นี่เขากล้าใช้แก่นโลหิตมาซื้อกำไลสื่อสารเนี่ยนะ”

“นี่มันเกินกว่าที่ข้าจะรับได้แล้ว โลกนี้มันบ้าไปแล้ว”

“ข้าว่าเฉียวกังมันต้องไม่กล้าเสนอราคาแล้วแหงๆ เฉินเฉียงยังมีแก่นโลหิตอีกสองหยดนา”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท